PROLOGUE
“หากคนเรารู้ว่าตัวเองตายแบบไหน จะยังสามารถนั่งดื่มด่ำกับน้ำชายามเช้าและมีความสุขกับการกินอาหารได้อยู่อีกรึเปล่านะ”
คำพูดเปรยๆ นั้นทำให้สาวใช้คนสนิทของฉันละทิ้งความสนใจจากการทำความสะอาด และแสดงสีหน้างวยงงออกมาว่า ทำไมเช้าวันที่อากาศดีๆ แบบนี้ คุณหนูของตนถึงได้พูดเรื่องไม่เป็นมงคลกัน
ฉันยกแก้วกระเบื้องเคลือบขึ้นมาจากถาดอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้ และใช้มือปัดไอร้อนให้กลิ่นหอมของใบชาพัดโชยขึ้นจมูกต้อนรับยามเช้า ก่อนจะดื่มมันอย่างใจเย็นระหว่างรอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย
“ทำไมคุณหนูถึงถามเช่นนั้นกันล่ะคะ? ”
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่…”
ฉันวางแก้วน้ำชาลง ก่อนจะเอ่ยคำต่อมาอย่างแผ่วเบา
“ฝันร้ายอีกแล้วน่ะ”
“ฝันงั้นเหรอคะ? ”
“อืม ฝันว่าตัวเองกำลังจะตาย”
“คะ...คุณหนู” สาวใช้ทำสีหน้าลนลานอย่างชัดเจน “แบบนี้แย่แล้วนะคะ ต้องรีบแจ้งเรื่องนี้ให้ท่านดัชเชสทราบโดยด่วน”
ฝันก็เหมือนลางบอกเหตุที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่ควรเพิกเฉยต่อมัน ยิ่งเป็นฝันร้ายที่เกี่ยวกับความเป็นความตายด้วยแล้ว ต้องรีบหาทางแก้ไข ทำพิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไปโดยด่วน
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวมันจะไปรบกวนใจท่านแม่เอาเปล่าๆ ” ฉันกล่าวปราม “มันก็แค่ฝัน อย่าได้ไปให้ค่ากับมันมากนักเลย”
ฉันผ่อนลมหายใจออกมา พลางคลี่ยิ้มบาง ส่ายหน้าเบาๆ ให้กับเรื่องไร้สาระพรรคนั้น ก่อนจะวางแก้วชาลง และเริ่มลงมือจัดการอาหารเช้าทันที
อากัปกิริยาที่ดูสบายๆ และท่าทีไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร ทำให้สาวใช้คนสนิทพลอยโล่งใจเมื่อเห็นคุณหนูไม่ได้ติดใจกับฝันร้าย ก่อนจะหันกลับไปจัดการกิจธุระของตนต่อ
ฉันหยิบขนมปังทาแยมขึ้นมาทาน ก่อนจะกลืนมันลงอย่างฝืดคอ
ความฝันนั่นมัน…
น่ากลัว…
หากให้พูดตรงๆ ก็คงบอกว่า ‘โครตน่ากลัว’ เลยละ
หากฝันนั้นมันเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ฉันคงไม่นำมันมาเก็บใส่ใจ ทว่านับตั้งแต่หลังวันเกิดครบรอบอายุ 16 ปีของตนเอง เจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘ฝันร้าย’ นั่น มันก็ตามมาหลอกหลอนหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเทปหนังที่ถูกเล่นฉายซ้ำวนเวียนอยู่ในหัวทุกคืน จนเริ่มทำให้ฉันนึกกลัวว่ามันจะกลายเป็นจริงขึ้นมาในสักวัน
และตัวต้นเหตุที่ผลักฉันจมลงสู่ความตาย ก็คงหนีไม่พ้น…
มาแชล
คู่หมั้นของฉันเอง