11.3
การเดินทางกลับนิวยอร์กผ่านไปด้วยดี และการเดินทางกลับสู่วิลล่าของรติชาก็ราบรื่นด้วยการนั่งแท็กซี่จากสนามบินกลับมาเอง เพราะคนอื่นๆ ก็ต้องแยกย้ายกลับไปพักยังบ้านของตนเช่นกัน หญิงสาวยกยิ้มเมื่อพบมาตินกับมาธายืนสำรวมรอต้อนรับเธอกลับสู่ที่พัก
“ยินดีต้อนรับกลับครับเลดี้”
“ยินดีต้อนรับกลับค่ะเลดี้”
สองเสียงประสานบอกพร้อมรอยยิ้มทำให้รติชาหัวเราะเบาๆ “มาตินกับมาธาคงเป็นคนดูแลเจ้าชายโซเดอร์วิลแห่งคีทสินะคะ”
“แหม...ดิฉันก็ทำตามกระแสรับสั่งของฝ่าบาทเฉยๆ แหละค่ะเลดี้” มาธารีบบอกก่อนจะยิ้มแป้นและช่วยหิ้วกระเป๋าผ้าใบโตที่คงใส่ของฝากต่างๆ ระหว่างมาตินเข้าไปช่วยหิ้วกระเป๋าเดินทางขึ้นบันไดด้านหน้าเข้าสู่วิลล่าด้วยกัน
“ฉันเลยรู้สึกเหมือนคนบ้าเลย ซื้อของฝากให้มาตินกับมาธาไว้ พอไปเจอชาโดว์แล้วก็อึ้งไปเลยพอรู้ความจริง” เธอเอ่ยเล่า ระหว่างนั่งลงบนโซฟาตัวยาวบริเวณนั่งเล่น และเปิดกระเป๋าผ้าออกเพื่อหยิบกล่องใบกระดาษที่ด้านบนบุพลาสติกใสไว้ ซึ่งบรรจุของที่ระลึกจากคีทส่งให้ทั้งสองคน “ถือว่าไม่เคยได้หรือเคยเห็นแล้วกันนะคะ”
“ขอบคุณมากครับเลดี้” มาตินยิ้มและกล่าวอย่างจริงใจ มองดูจานรองแก้วกาแฟทำจากเรซินที่มีใบไม้หลากหลายแบบอยู่ด้านในทำเป็นลวดลายสวยงาม “ผมก็ไม่เคยมีจานรองแก้วแบบนี้หรอกครับ”
“ขอบคุณนะคะ ดิฉันก็ไม่เคยมีเทียนหอมลายนี้ค่ะ” มาธาตอบรับด้วยรอยยิ้ม กับเทียนกลิ่นหอมอ่อนๆ ประดับด้วยกลีบดอกไม้เป็นรูปดอกไม้ที่แตกต่างไปรอบๆ ตัวเทียน
“ดีใจจัง งั้นก็โอเค” คนซื้อของฝากปรบมือเบาๆ และยิ้มร่าเริง ก่อนจะนั่งจัดการแยกของฝากมิตรสหายที่เธอว่าจะนำไปให้ที่ร้านอาหารที่เคยทำงานเป็นสาวเสิร์ฟอยู่ กับของที่ระลึกของตนเงียบๆ ต่อ โดยที่มาธานำเสื้อผ้าในกระเป๋าเธอไปซักให้และจัดการเก็บของใช้เรียบร้อยแล้ว
“มาตินคะ ฉันจะไปที่ร้านอาหารที่เคยทำงานเสิร์ฟหน่อยนะ”
“ฮะ! จะไปยังไงครับเลดี้” คนที่กำลังนั่งจัดการเอกสารต่างๆ ตามหน้าที่ตกใจ และลุกจากเก้าอี้ที่นั่งทำงาน หลังเลดี้ของตนเดินมาบอกพร้อมสะพายกระเป๋าใบโตไว้เตรียมออกจากวิลล่าแล้ว
“เอ่อ...แท็กซี่ก็ได้” เธอตอบเสียงอ้อมแอ้ม เพราะความจริงเธอก็จะเดินไปเรื่อยๆ เหมือนเคยทำเพื่อไปใช้บริการรถไฟใต้ดินสถานีรถใกล้ๆ ที่พักแห่งนี้ แต่พออีกฝ่ายดูตกใจมากเธอจึงเลือกจะเดินทางด้วยแท็กซี่
“งั้นเดี๋ยวผมจะเรียกให้ครับ และจะไปรออยู่ด้วย จะได้รู้ว่าเลดี้เดินทางไปกับรถคันไหนยังไงตรงตามที่ระบบเรียกบอกหรือเปล่า” เขาก้มศีรษะเล็กน้อยและเดินนำไปทันที ในมือก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดอย่างชำนาญ
“ค่ะ” เธอได้แต่ตอบรับและเดินตามไป ปฏิเสธความหวังดีและหน้าที่ของมาตินไม่ได้หรอก อีกอย่างถ้าเธอเกิดอันตรายอะไรขึ้น พวกเขาคงเจอปัญหาหนักกว่า เพราะเธอก็รับรู้แล้วว่าชาโดว์ของเธอ มีสถานะยิ่งใหญ่มากกว่าการเป็นลูกชายมาเฟียเพียงใด
สมาชิกในร้านอาหารตื่นเต้นดีใจกับการมาเยือนของรติชากันทั่วหน้า เพราะหญิงสาวห่างหายไปนานจากด้วยหน้าที่การงานใหม่ในฐานะนักแสดงละคร ซึ่งสำเร็จตามความฝันที่ตั้งเป้าหมายไว้อย่างดี การที่ได้เป็นนางเอกละครทำให้ไม่มีเวลาว่างเช่นการรับบทตัวรองหรือหมู่มวลในเรื่องมาทำงานเสิร์ฟเช่นอดีต แต่การที่เธอไม่เคยลืมโอกาสที่หาเงินเลี้ยงชีพได้ในร้านอาหารแห่งนี้ก็ทำให้เพื่อนร่วมงานมีความสุขกันมาก
“ต่อไปติชาคงยุ่งกว่านี้ เป็นนางเอกละครที่เริ่มมีข่าวและดังแล้ว” เจนนี่เอ่ยขึ้นระหว่างเปิดดูของฝากกันหมดแล้ว และนั่งบ้างยืนกันบ้างตามมุมต่างๆ ของร้านที่ปิดตามเวลา จึงมีเวลาว่างคุยกันกับคนมาเยี่ยม
“อือ...ฉันยังไม่คุ้นกับโรงละครเท่าที่ร้านเลยนะ” นางเอกละครบอกด้วยสีหน้าหงอยๆ พร้อมรอยยิ้มอ่อนบาง “ถ้าไม่มีร้านนี้ฉันก็ไม่มีเงินใช้ทุกเดือนจริงๆ แหละ บทละครเล็กๆ นานๆ ก็จะได้เล่นสักที”
“พวกเราก็อยู่กันได้แบบประหยัดกันทุกคนอยู่แล้ว ตอนนี้เธอมีรายได้ที่ดีขึ้น ได้โอกาสที่ดี และได้เป็นนางเอกแล้วก็ต้องสู้ต่อไป โดนใครเขาดูถูกอย่าไปยอมด้วยนะ” เจ้าของร้านเตือนและทำท่าทีเข้มดุขึ้นจนหญิงสาวพยักหน้าหัวเราะเบาๆ
“ตอนแรกๆ ก็อย่างที่เคยเล่าแหละนะ เสียงซุบซิบว่าได้เป็นนางเอกเพราะข่าวเรื่องโจรปล้นธนาคาร แต่โอกาสมาก็ต้องคว้าไว้ แล้วฉันก็พยายามโชว์ฝีมือให้ดีที่สุด เสียงนินทาก็ค่อยๆ หายไปเองแหละ” เธอเล่าด้วยรอยยิ้มและรู้สึกอุ่นใจขึ้น
“แล้วคนซุบซิบนินทาขอโทษเธอไหม”
“ไม่หรอก ก็คนนินทายังไงก็ไม่ใส่ใจคำพูดตัวเองหรอก” ว่าแล้วเธอก็ยักไหล่เบ้ปากเล็กน้อย “แต่เวลาตัวเองโดนนินทาหรือคนที่ตัวเองเคยนินทาพูดกลับไปบ้างก็มักโวยวาย คนแบบนั้นไม่น่าไปยุ่งให้มากความหรอกค่ะ”
“ติชาเป็นคนจิตใจดีและมีน้ำใจ ยังไงก็ต้องไปได้ไกลและเจอคนดีๆ อีกมาก” ลิลลี่เอ่ยขึ้นบ้างพร้อมรอยยิ้มแป้นตามประสา “แถมเธอเรียนจบปริญญาตรีด้วย”
“แต่ฉันก็จบการแสดงไง วงการมันก็แข่งขันสูง ไม่งั้นฉันคงอยู่ในวงการละครตั้งแต่เรียนจบได้แล้วแหละ” บอกเล่าแล้วเธอก็ยกยิ้มยามนึกถึงช่วงตอนเรียน “ทุกวงการมีเส้นสายหมด ขนาดร้านอาหารเรายังมีเลยนี่นา”
“อะไร...ฉันออกจาะเป็นกลาง” เจ้าของร้านส่งเสียงแล้วทุกคนก็หัวเราะตาม “ฉันก็แค่ต้องให้กำลังใจคนทำงานดีไม่เคยเบี้ยวไม่เคยหนีงาน โบนัสก็จะดีกว่าคนหยุดบ่อยสิ ไม่งั้นคนทำงานมากกว่าก็น้อยใจแย่”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยไม่ได้โต้แย้งสิ่งใด รับรู้ได้ว่าร้านอาหารแห่งนี้แม้จะไม่ได้ใหญ่โตหรือหรูหราฟู่ฟ่ามากมายนัก แต่ก็มีระเบียบและมาตรฐานของร้านที่ทำให้ลูกค้าติดใจ จนขายดีมาหลายสิบปี เป็นร้านอาหารที่คนทำงานอยู่กันอย่างยาวนานแทบไม่มีใครลาออก เพราะสบายใจกับสมาชิกที่ร่วมงานกัน แถมรติชาเหมือนจะลาออกไปเป็นนักแสดงแต่ก็ไม่ได้รับใครเพิ่มเข้ามา ด้วยงานเสิร์ฟก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นนัก หากความจริงทางเจ้าของร้านก็อาจจะคิดว่าวันข้างหน้าถ้าเธอหมดรอบการแสดงก็อาจกลับมาทำงานเดิมเพื่อเลี้ยงชีพต่อก็ได้
“ไปกินบาบีคิวกัน ฉันเลี้ยงทุกคนเอง ฉันเป็นนางเอกแล้ว” จบคำบอกกล่าวของหญิงสาวทุกคนก็เฮฮาและเข้าไปเตรียมตัวเปลี่ยนชุดกันทันที ระหว่างรติชานั่งรอด้วยรอยยิ้มพลางทอดสายตามองรอบด้านของร้านที่อบอุ่นใจเสมอยามเข้ามาเยือนไม่ว่าจะมาทำงานหรือมานั่งเป็นลูกค้าก็ตาม
.....................
ติชาเป็นคนจิตใจดี และก็น่ารักด้วย ไม่แปลกใจที่ท่านชาโดว์จะหลงหัวปักหัวปำ อิอิ
นิเปิดจองเล่มเรื่องนี้อยู่นะคะ เรื่องนี้ทำมือเองค่ะ ฝากไว้พิจารณาด้วยนะคะ ^__^