บทที่ 28
การคบหา
ทั้งสองเลือกที่จะเดินไปยังเหลาอาหารแทนการนั่งรถม้า เพราะเหลาอาหารที่เหวยชิงเลือกอยู่ไม่ไกลมากนัก เดินไปสักพักก็ถึง เป็นเหลาอาหารทั่วไปที่ไม่มีคนมาก
ซึ่งหรงเล่อก็ไม่ได้เห็นต่าง นางคิดว่าก็ดีเหมือนกันที่เขาเลือกที่นี่ แม้คนจะน้อยแต่ว่าข่าวลือ อย่างไรก็ไปเร็วกว่าไฟ เพียงปากเดียวดังไปทั่วทั้งเมืองทุกสายตาที่เดินผ่านไปมา หรือคุณหนูคุณชายที่นั่งกินขนมน้ำชาตามร้านที่นางผ่าน ล้วนมองด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
เพราะหรงเล่อเดินกับคุณชายที่หล่อเหลาแต่ว่าอันตรายที่สุดคนหนึ่ง ขึ้นชื่อว่านายน้อยเหวยสิ่งที่เขาถนัดมากที่สุดคือการเกี้ยวพาสตรี
“เดินกับท่านดูเหมือนข้าจะเป็นที่สนใจมากกว่าเดินเพียง
ผู้เดียว”
“กลับกัน ข้าคิดว่าการที่ได้สตรีที่งดงามอย่างเจ้ามาเดินด้วย ทำให้บุรุษทั้งเมืองหลวงอิจฉาข้าต่างหาก”
“เพราะท่านปากหวานเพียงนี้ สตรีทั่วเมืองหลวงถึงได้ชอบท่านนัก”
“แล้วเจ้าไม่หรือ หากไม่มี เหตุใดรับคำชวนข้ากันล่ะ”
ทั้งสองเดินเคียงกันพูดคุยเสียงเบา ด้านหลังก็มีบ่าวคนสนิทของคนทั้งสองเดินตามเงียบ ๆ
“เพราะข้าคิดว่าท่านน่าสนใจ อายุไม่มากแต่ว่าสร้างตัวได้ มีกิจการที่ไม่ง่ายต่อการดูแล แม้ท่านจะเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลเหวยแต่ว่าไม่รับงานของตระกูล หันมาทำกิจการของตนเอง สร้างตัวขึ้นมาจากคำต่อว่านินทาลับหลัง มีทุกวันนี้ได้ท่านเหนื่อยไม่น้อย”
“ใช่ เหนื่อยไม่น้อยเลย เพราะข้าสร้างทุกอย่างขึ้นมาเองหรือเจ้าถึงได้สนใจ”
“ใช่ ข้าชมชอบคนที่ฉลาด อย่างท่านเป็นต้น คิดว่าเราสองมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกัน คงพูดคุยกันรู้เรื่องมากกว่า”
เหวยชิงมองสตรีที่เดินข้างกายด้วยใบหน้านึกไม่ถึง เพราะว่านางไม่เหมือนที่เขาเคยได้ยิน สายตาของนางที่มองเขายามที่เขาช่วยประคอง ทำให้เขาอยากที่จะทำความรู้จักนางมากยิ่งขึ้น นางทำให้เขาที่มากด้วยสตรีข้างกายยังต้องสนใจ ยิ่งได้ฟังแนวความคิดอ่าน เขาก็บอกได้เลยว่านางเป็นเพชรเม็ดงามเม็ดหนึ่ง
ซึ่งเขาคือคนที่ชื่นชอบที่จะทำการสะสมมันไว้
เมื่อมาถึงเหลาอาหาร เหวยชิงตัดสินใจเลือกห้องส่วนตัวบนชั้นสามที่เป็นชั้นพิเศษเพื่อใช้พูดคุย ยามนี้ทั้งเขาและนางถูกจับตามอง การพบหน้ากันจึงต้องใส่ใจ ถึงไม่ได้ทำอะไรปิดบังก็เถอะ นางเป็นสตรีนางมีแต่จะเสียหาย
“เจ้าเดินเข้าเหลาอาหารกับบุรุษครั้งสุดท้ายเมื่อไรกัน”
หรงเล่อเลิกคิ้ว นางมองเขาที่เอ่ยถามสิ่งที่นางไม่คิดว่ามันคือเรื่องจำเป็น แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ความลับที่นางต้องปิด
ใบหน้างดงามเผยรอยยิ้มหวาน
“น่าจะสักหนึ่งสองหรือสามเดือนได้ ข้าเองไม่ได้ใส่ใจที่จะจดจำ จำได้คร่าว ๆ ว่าก่อนจะประสบเหตุทำให้บาดเจ็บ ข้ามาที่เหลาอาหารกับคุณชายม่อเหยียน น่าเสียดายที่เขาไม่มีอะไรน่าดึงดูด ข้าจึงไม่สนใจเขาอีก”
เหวยชิงไม่คิดว่านางจะเอ่ยถึงบุรุษอีกคนที่เคยเป็นข่าวคบหากับนางได้หน้าตายมากขนาดนี้
“ม่อเหยียน บุตรฮูหยินรองสกุลม่อ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าสองคนคบหากันมานาน โดยมีคนเชื่อมสัมพันธไมตรีคือคุณหนูอันลี่สหายสนิทของเจ้า ข่าวนี้ดังมากพอสมควร ลูกค้าที่มาใช้บริการที่หอสุขสันต์เอ่ยถึงหนาหู”
“คนที่พูดถึงข้าคงพูดได้ดีทีเดียว ทำให้นายน้อยเหวยจดจำได้ขึ้นใจมากขนาดนี้ แต่ข่าวมันเป็นเพียงข่าว จริงเท็จไม่รู้ การเอ่ยออกมาจากปากใคร ๆ ก็ทำมันได้ แม้ว่าเรื่องราวที่เอ่ยออกมาไม่จริง คนที่ได้ยินจะเชื่อถือไปแล้วห้าถึงหกส่วน เพราะคนเราสนใจที่จะสอดรู้เรื่องคนอื่นมากกว่าเรื่องของตนเอง”
“เจ้าเอ่ยมาแบบนี้ใช่ว่าเจ้าจะปฏิเสธว่าเจ้ากับม่อเหยียนไม่เคยเป็นคนรัก”
หรงเล่อหัวเราะ นางขบขันกับเรื่องที่ถูกถาม มันน่าตลกดีที่ใคร ๆ ก็ใส่ใจเรื่องของนาง แม้แต่คนตรงหน้าที่งานล้นมือยังเสียสละเวลามาฟัง
“ข้าเคยเอ่ยรับหรือว่าเขาเป็นคนรักข้า”
เหวยชิงหัวเราะเสียงดังชอบใจในคำตอบที่เขาได้รับ ไม่เสียแรงที่เขาเลือกสนใจนางเพราะว่าคำตอบของนางผลักทุกสิ่งออกจากตนเอง
ใช่นางไม่เคยเอ่ยว่าข่าวลือเป็นจริง แต่คนที่พูดว่านางกับ
ม่อเหยียนคือคนรักกันกลับเป็นสหายคนสนิทอย่างอันลี่
สตรีที่พยายามเข้าหาเขาหลายหน แต่เพราะนางดูน่ารำคาญเขาจึงไร้ความใส่ใจ ต่างจากสตรีตรงหน้าที่นางทำให้เขาตื่นเต้นอย่างกับได้ของเล่นชิ้นใหม่
“นั่นสินะ ข้าไม่น่าเอ่ยถามเลยจริง ๆ เพราะคนที่พูดไม่ใช่เจ้า แต่คือคนที่มีปัญหากับเจ้าตอนนี้”
“ข้าไม่นึกว่านายน้อยเหวยจะสนใจข่าวมากขนาดนี้ เพราะดูแล้วท่านจะล่วงรู้ทันทุกข่าว เกรงว่าที่หอสุขสันต์จะมีเรื่องข้ามากมายที่เอาไว้เอ่ยเล่นฆ่าเวลา”
เหวยชิงไม่ปฏิเสธ
“จะพูดเช่นนั้นก็ใช่ เจ้าบอกว่าข้าทำกิจการประสบความสำเร็จ ข้าจะบอกเคล็ดลับหนึ่งให้ การทำหอนางโลมให้เลืองชื่อ หนึ่งคือนางโลมต้องงดงามเรียกสายตาคนมีทุกราคาที่ให้ผู้คนเลือกหา ทั้งขายเพียงร่างกายและไม่ขาย สองคืออาหารรสเลิศและเหล้าชั้นดีที่กินเพียงจอกก็จำไม่ลืม สามคือนางรำและนักดนตรีที่ต้องมีฝีมือเพื่อดึงดูดลูกค้า สี่คือความสะอาดหน้าตาของหอที่น่าเข้าเยี่ยมชม สุดท้ายคือข่าว เพราะคนชมข่าว อย่างที่เจ้าว่าผู้คนไม่สนใจว่าเรื่องไหนจริงไม่จริง แค่มีให้พูดถึงพวกเขาก็มีความสุข โดยที่เอาข่าวพวกนั้นมากลบเรื่องที่ทำให้ตนเองไม่สบายใจ สามารถยกตัวเองเหนือกว่าได้ เท่านี้ที่คนทั่วไปต้องการ”
หรงเล่อมองเหวยชิงด้วยสายตาเลื่อมใส นางคิดว่าที่เขาเติบโตได้เร็วหนึ่งเพราะครอบครัวส่งเสริม ฐานะของเขาดีอยู่แล้วไม่ต้องนับหนึ่งใหม่ แต่ถ้ามีคนช่วยแต่ไร้ฝีมือ กิจการคงอยู่ไม่ได้นาน แต่นี้เขากลับพามันรุ่งเรืองได้เช่นเดิมทั้งที่อายุยังน้อยมากกว่านางเพียงไม่กี่ปี และที่ทำให้นางสนใจคือเขาเริ่มกิจการตั้งแต่อายุสิบหนาว
เป็นการเริ่มทำกิจการที่ไม่คิดว่าจะมีใครทำได้ ไหนจะได้รับผลตอบรับที่ดีอีก
“การตลาดของท่านดีจริง ๆ ไม่แปลกที่ใคร ๆ ก็เที่ยวหอสุข-สันต์ เพราะสตรีที่นั้นเป็นเหตุผลลำดับแรก สตรีหอสุขสันต์ขึ้นชื่อว่างดงามทั้งยังปลอดภัยจากโรค”
“ต้องขอบคุณพวกนางที่ดูแลตนเองดี”
เหวยชิงจิบชา เมื่ออาหารขึ้นโต๊ะคนทั้งสองก็ยังไม่ได้ลงมือ หรงเล่อรับตะเกียบไม้มาถือ นางไม่สนใจพิธีอะไร ที่ว่าควรให้บุรุษกินก่อน นางกับเขาไม่ได้สนิทสนม ไยต้องไว้หน้ามากถึงกับทำให้เขาดูเหนือกว่า
การกระทำของหรงเล่ออยู่ในสายตาของเหวยชิง เขามองนางด้วยรอยยิ้ม และเริ่มลงมือกินอาหารบนโต๊ะรับรสชาติเข้าปาก
กว่าอาหารบนโต๊ะจะพร่องไปกว่าครึ่งและทั้งสองวางตะเกียบ ก็ผ่านมากว่าชั่วยาม หรงเล่อไม่ได้เร่งรีบ นางกินช้ารับรสชาติมองหน้าตาอาหาร ส่วนเหวยชิงก็เช่นกัน ทั้งสองกินอย่าเงียบ ๆ เสมือนอยู่ในโลกของตนเองไม่สนใจรอบข้าง ทำเหมือนที่แห่งนี้มีเพียงตนคนเดียวไร้ความสนใจผู้ร่วมโตะจนกว่าจะอิ่มท้อง
“ข้าคิดว่าที่เจ้าพูดน่าจะถูก เราสองคนมีหลายสิ่งคล้ายกัน”
“เช่นนั้นเราสองเป็นสหายกันดีหรือไม่”
“หืม…เจ้าอยากจะเป็นสหายกับข้า บุรุษเสเพลที่ขึ้นชื่อว่าไร้เมตตากับสตรีเห็นสตรีเป็นเพียงของเล่น ใครที่เห็นเราไปไหนมาไหนด้วยกันคงมองเจ้าไม่ดี แค่วันนี้ที่มาด้วยกันคงเป็นข่าวใหญ่แล้ว ข้าลองใจเจ้าชวนเจ้ามา เจ้าก็ตอบรับมันง่าย ๆ ไม่คิดว่ามันจะเป็นผลเสียหรือ”
“ไม่ มีสหายฉลาดพูดกันรู้เรื่องคือสิ่งที่ข้าใส่ใจมากกว่า ท่านพูดเช่นนี้ไม่อยากเป็นสหายกับข้าหรือ”
“ดี จากนี้เราเป็นสหายกัน”