Move on ให้ได้สิ
ภายในห้องสตูดิโอถ่ายภาพขณะนี้ช่างภาพกำลังเซ็ตฉากสำหรับถ่ายชุดเครื่องหนังซึ่งมีทั้งรองเท้า กระเป๋าสะพายของสุภาพสตรีหลากหลายขนาดตั้งแต่เล็กไปจนถึงใบใหญ่ที่สามารถใส่เสื้อผ้าได้ ทั้งที่เวลาตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้วแต่ปวีณ์ก็ยังทำงานของเขาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย งานที่รับมาก็ไม่ได้มีงานไหนที่ต้องเร่งทำเพราะเจ้าของสินค้าเชื่อใจในฝีมือการถ่ายภาพของเขาและต้องการให้งานออกมาดีที่สุดจึงให้เวลาเขาเต็มที่ แต่ปวีณ์ยังทำงานหามรุ่งหามค่ำตลอดระยะกว่าสองเดือนที่ผ่านมาจนหนุ่มต้องคอยเอ่ยปากห้ามปราม
“ไอ้วี! นี่มันเที่ยงคืนแล้วนะแกจะทำงานไปถึงไหนวะ กูอยากกลับบ้าน ” สรวิทย์บ่นพลางเอามือปิดปากหาว
“ มึงกลับไปก่อนไป ฉันถ่ายเซ็ตนี้เสร็จเมื่อไหร่ฉันก็จะกลับ ” ปวีณ์พูดทั้งที่นิ้วยังกดชัตเตอร์
“ มึงพูดแบบนี้มาตั้งแต่สามทุ่มแล้ว พอแกถ่ายอันนี้เสร็จแกก็ไปเอาอันนั้นมาถ่าย พออันนั้นเสร็จแกก็ไปหาอย่างอื่นมาถ่ายอีก ใจคอแกจะถ่านงานทุกอย่างให้เสร็จภายในคืนนี้เลยหรือไง ” สรวิทย์บ่นอย่างหัวเสีย
“ ไม่ดีเรอะ กูจะได้หาเงินเข้าร้านให้เยอะ ๆ ไงมึงจะได้มีเงินไปเปย์สาว ๆ อย่างที่แกทำบ่อยๆ ” ปวีณ์พูดประชดประชัน หนุ่มจึงขึงตาใส่เขา
“ ไอ้ได้เงินเข้าร้านมาก ๆ มันก็ดีอยู่หรอกนะ แต่ถ้าได้เงินมาแล้วแกเกิดตายคากล้องล่ะฉันจะทำยังไง ฉันยังไม่ได้หาช่างภาพสำรองเอาไว้แทนแกเลยนะ ” สรวิทย์ประชดบ้าง
“ ฉันฟังมาตั้งนานนึกว่าแกห่วงฉันที่แท้ก็กลัวฉันตายแล้วไม่ทีคนทำงาน ” ปวีณ์เบะปากแต่ก็ยังกดชัตเตอร์ถ่ายภาพกระเป๋าไม่ยอมหยุด
“ พักบ้างเถอะวะไอ้วี ฉันสงสารร่างกายแกว่ะ ” สรวิทย์ขักจะนั่งต่อไปไม่ไหวแล้วจึงเอนตัวชงนอนบนโซฟานวมตัวยาว
“ ไม่ต้องห่วงฉันสบายดี ยังทำงานให้แกได้อีกนาน ” ปวีณ์พดูขึ้นพร้อมกับลดกล้องในมือลงเพราะภาพถ่ายเซ็ตสุดท้ายเป็นที่น่าพอใจแล้ว
“ เสร็จแล้วใช่ไหม ” สรวิทย์ดีดตัวขึ้นมาด้วยความดีใจแล้วจึงรีบลุกขึ้นจากโซฟานวมที่เอนตัวนอนบิดตัวเล็กน้อยเพื่อไล่ความเมื่อยขบ
“ อือ ” ปวีณเก็บอุปกรณ์ถ่ายภาพของเขาลงกระเป๋าส่วนหนุ่มก็เดินมาเก็บสิ้นค้าของลูกค้าใส่กล่องที่ลูกค้าบรรจุมาเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งสองจึงพากันออกมาจากสตูดิโอภาพ
“ แกขี่รถกลับไหวนะ หรือจะเอารถไว้ที่นี่แล้วให้ฉันไปส่งที่คอนโดไหม ” สรวิทย์ถามเพราะเขาเห็นความอิดโรยของปวีณ์รู้สึกไม่ไว้ใจกลัวปวีณ์จะเกิดอุบัติเหตุกลางทาง
“ ไหวดิวะ กูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะ มึงรีบกลับไปนอนเถอะมึงดูแย่กว่ากูอีก ” ปวีณ์จับหน้าสรวิทย์หันเข้ากระจกรถของเขา สรวิทย์มองตัวเองในกระจกแล้วทำหน้าเบ้เมื่อเห็นถุงใต้ตาสีดำคล้ำแถมยังมีรอยตีนกาเป็นริ้ว ๆ อย่างไม่ต้องหยีตาให้มันขึ้นมา
“ เพราะแกนั้นแหละพาฉันอดหลับอดนอนไปด้วย ดูดิหน้าหล่อ ๆ ของฉันหมดกัน ” สรวิทย์โวยวาย
“ แกอยู่เป็นเพื่อนฉันเองนะ ฉันไม่ได้ขอให้แกอยู่ ” ปวีณ์หัวเราะฮึ ๆ ปล่อยมือจากหน้าของหนุ่มแล้วขึ้นรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ของเขา
“ ถึงบ้านแล้วโทรมาบอกด้วยล่ะ ” สรวิทย์กำชับ
“ นี่แกเป็นเมียฉันหรือไง ” ปวีณ์พูด
“ เป็นเพื่อน ทำไมเป็นห่วงไม่ได้ ”
“ เดี๋ยวถึงแล้วจะส่งข้อความไปบอกแล้วกัน ” ปวีณ์สตาร์ทรถเสียงดังกระหึ่มแล้วจึงขี่ออกไปอย่างรวดเร็วจนคนที่มองตามได้แต่นึกเป็นห่วง
“ ไอ้วีเอ่ย แกจะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่วะ สงสัยต้องหาเมียใหม่ให้มันสักคน ” เมื่อคิดขึ้นได้หนุ่มก็รีบกดดูเบอร์โทรศัพท์ที่เขาคิดว่าน่าจะช่วยเหลือเขาได้แล้วรีบโทรออกไปทันที
เสียงเพลงรักหวานแววดังตั้งแต่เช้าตรู่จากบ้านของคุณป้าศรีนวลที่กำลังรดน้ำต้นกุหลาบของแกที่กำลังออกดอกสีแดงสดเต็มต้นส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว ระหว่างร้องเพลงและรดน้ำต้นไม้ป้าศรีนวลก็จะคอยสอดส่ายสายตามองไปยังบ้านข้างเคียงเพื่อดูแลความเรียบร้อยตามปรกติของแก แต่เช้านี้สายตาคมของป้าศรีนวลไปสะดุดกับป้ายประกาศที่ติดอยู่ตรงประตูรั้วบ้านของแพรวา จนแกอดรนทนไม่ไหวจนต้องทิ้งสายยางและสาวเท้ารวดเร็วไปอ่านว่ามันคือประกาศอะไร
“ ประกาศขายบ้าน ” ป้าศรีนวลอุทานเอามือทาบอกไม่อยากจะเชื่อว่าแพรวาจะขายบ้านหลังนี้จริง ๆ
ในระหว่างนั้นแพรวาก็เปิดประตูบ้านออกมาพอดีเห็นป้าศรีนวลยืนอยู่หน้าประตูรั้วก็รู้ทันทีว่าแกจะต้องอยากรู้สาเหตุที่เธอจะขายบ้านอย่างแน่นอน แพรวาจึงเดินออกมาหาป้าศรีนวล
“ คุณป้าคะ ”
“ หนูแพร หนูจะขายบ้านหลังนี้จริง ๆ เหรอลูก ” ป้าศรีนวลยืดตัวขึ้นมองหน้าแพรวา
“ ค่ะ ” แพรวาตอบเพียงสั้นๆ
“ ทำไมล่ะลูก บ้านหลังนี้มันเป็นเรือนหอของหนูกับพี่ปวีณ์ไม่ใช่เหรอ ” ป้าศรีนวลถามอย่างไม่ทันคิด
แพรวาหน้าเจื่อนไปนิดนึงก่อนจะพูดต่อ “ แพรจะย้ายไปอยู่ใกล้ ๆ ที่ทำงานน่ะค่ะ ก็เลยไม่รู้ว่าจะเก็บบ้านหลังนี้เอาไว้ทำไม ”
“ แล้วนี่หนูบอกใครบ้างล่ะลูกว่าจะขายบ้านน่ะ ” อันที่จริงแกอยากจะถามว่าแพรวาได้ลอกปวีณ์ไหมว่าจะขายเรือนหอ
“ ยังเลยค่ะ ยังไม่ได้บอกใคร ” แพรวาตอบ
“ เหรอ.... ” ดวงตาคมใต้กรอบแว่นรูปหัวใจเป็นประกายวิบวับชั่วแว่บก่อนจะกลับมาเป็นปรกติ
“ เอาอย่างนี้ดีไหมจ๊ะป้าจะช่วยประกาศให้ ป้ารู้จักคนยออะเผื่อว่ามีใครสนใจ ” ป้าศรีนวลเสนอตัว
“ ขอบคุณค่ะ ” แพรวาตอบรับ
“ นึกแล้วก็ใจหายนะ ถ้าหนูแพรย้ายออกไปแล้วป้าจะคุยกับใคร ป้าคงเหงาแย่เลย ” ป้าศรีนวลทำหน้าระห้อย
“ คุณป้าไม่เหงาหรอกค่ะ คุณป้ามีเพื่อนเยอะแยะหนูขอตัวไปทำงานก่อนนะคะจะสายแล้ว ” แพรวายกมือไหว้ป้าศรีนวลแล้วจึงเดินไปขึ้นรถของเธอ
ป้าศรีนวลขยับออกจากประตูรั้วไปยืนอยู่ฝั่งบ้านของแกมองรถของแพรวาที่ขับออกไปจนพ้นซอย แกทำหน้าครุ่นคิดอีกครั้งแล้วจึงพยักหน้าบอกกับตัวเองว่า
“ พ่อปวีณ์จะต้องยังไม่รู้เรื่องนี้แน่ ๆ ” คิดได้ดังนั้นร่างอวบอ้วนก็สาวเท้ารวดเร็วราวลมพัดกลับเข้าไปในบ้านทันที
นาฬิกาติดผนังภายในห้องสตูดิโอถ่ายภาพบอกเวลาเจ็ดโมงเช้าโดยปรกติแล้วเวลานี้ยังไม่มีใครมาทำงานด้วยพนักงานของที่นี่จะเข้างานเก้าโมง แต่เช้านี้อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในห้องทั้งฉากและไฟที่ใช้ในการถ่ายภาพเตรียมพร้อมแล้วทุกอย่างด้วยฝีมือของช่างภาพมือหนึ่งที่มาถึงสตูดิโอตั้งแต่ยังไม่หกโมง
ปวีณ์จัดแจงเอาสิ้นค้าที่ยังถ่ายค้างอยู่มาเข้าฉากจัดไฟและเตรียมตั้งกล้องถ่ายรูป เสียงประตูห้องก็เปิดขึ้นพร้อมเสียงทักทายอย่างอารมณ์ดีของเพื่อนรักและหุ้นส่วนของเขา
“ นี่กูคิดว่าฉันมาเช้าแล้วนะ แต่ก็มีคนมาเช้ากว่ากูอีกว่ะ มึงได้นอนบ้างไหม? ” สรวิทย์เดินเข้ามาตรงหน้าของปวีณ์แล้วจ้องมองอย่างหาคำตอบ
“ มึงจะมาจ้องหน้ากูทำไม ” ปวีณ์เอามือดันหน้าของหนุ่มให้หันไปทางอื่น
“ มึงรู้ตัวไหมว่าขอบตาดำมาก ”
“ อะไรของมึงวะ ” ปวีณ์ทำเสียงรำคาญเต็มที
“ ไอ้วีคืนนี้มีงานเลี้ยงรุ่นที่เดอะโคลซี่ มึงต้องไปกับกู ” สรวิทย์พูดเชิงบังคับ
“ ไม่ไปได้ไหมวะ ” ปวีณ์ทำหน้าหน่าย
“ ไม่ได้ฉันบอกเพื่อน ๆ ไปแล้วว่าแกจะไป ” สรวิทย์ทำเสียงจริงจัง
“ ไม่มีฉันคนเดียวพวกแกก็กินเหล้ากันได้ ”
“ ฉันบอกว่าแกต้องไป ก็คือต้องไปอย่าขัดขืนเข้าใจไหม ” สรวิทย์ใช้แขนล็อกคอปวีณ์เอาไว้แน่น
“ ไอ้หนุ่น! ” ปวีณ์โวยวายพยายามจะเอามือของหนุ่มออก
“ บอกมาก่อนว่าจะไป ” สรวิทย์ยิ่งรัดแน่นขึ้น จนปวีณรู้สึกอึดอัดจึงพยักหน้ารับ
“ ไปก็ไป มึงปล่อยกูได้แล้ว ”
“ ดีมาก ” สรวิทย์ยิ้มแล้วผิวปากเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี