เมื่อถึงจวนกุ่ยอ๋องก็จัดแจงโอบอุ้มเซี่ยหลุนเฟิงเข้าเรือน เหล่าสาวใช้ต่างตกตะลึงในรูปลักษณ์ของเยว่ไท่จง เขาหล่อเหลางดงามจนคนเหล่านั้นไม่อยากเชื่อ เหล่าสาวใช้ต่างกันยื้อแย่งเข้ารับใช้หวังเพียงได้มองหน้าเขาใกล้ๆ แล้วเอาไปเล่าให้กันฟัง
“ท่านอ๋องถอดหน้ากากเช่นนี้คิดดีแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋อวี๋พ่อบ้านประจำจวนพลันเอ่ยถาม ขณะเยว่ไท่จงสัมผัสมือของเซี่ยหลุนเฟิงที่หลับไม่ได้สติอย่างเหม่อลอย
“หากข้าไม่ถอดมันออก อีกเพียงชั่วพริบตา หลุนเฟิงก็จะไร้ลมหายใจ”
“แต่...”
เยว่ไท่จงมองพ่อบ้าน ตนเข้าใจดี พ่อบ้านตนต้องการบอกว่าเซี่ยหลุนเฟิงคือบุรุษ บุรุษไม่มีทางสืบสกุลได้ หากเขาจะครองบัลลังก์ เขาต้องไม่มีเพียงเซี่ยหลุนเฟิง
“ข้าไม่เคยหวังในบัลลังก์ ข้าสวมหน้ากากก็เพราะช่วยท่านแม่ ท่านก็ทราบดี...และตอนนี้ข้าก็ถอดหน้ากากออกมาเพื่อปกป้องรักแรกของข้า มันผิดมากหรือ”
“ข้าน้อยมิกล้าท่านอ๋อง ข้าน้อยเพียงแค่อยากจะเตือนท่านถึงชีวิตของพระมเหสี”
“ท่านพ่อสั่งขังฮองเฮา”
“แต่...”
“ข้าทราบดีว่าขังได้ไม่นานเดี๋ยวนางก็ได้ออกมา แต่เวลาแค่เพียงน้อยนิดนั่นมันสามารถทำให้ข้าหาหนทางแก้ไขได้ทัน”
ไป๋อวี๋ถอนใจเฮือกใหญ่ เยว่ไท่จงจึงเอ่ยปาก
“ท่านไปตามมารดาของเซี่ยหลุนเฟิงมา”
“ขอรับ”
ท่านอ๋องนั่งรออวิ๋นซื่อ ขณะนั้นอวิ๋นซื่อก็เข้ามาอย่างเงียบเชียบ นางมองเยว่ไท่จงที่พรมจูบมือของบุตรชายตน ก็ทราบทันใดว่าทั้งสองรักกันแน่แท้
“ท่านอ๋อง”
เยว่ไท่จงได้ยินเสียงอวิ๋นซื่อก็ไม่หันมาทันที แต่เขาทำเหมือนยกมือขึ้นเช็ดน้ำตนให้แห้งก่อนหันกลับมา
อวิ๋นซื่อตกตะลึงกับใบหน้าใต้หน้ากาก
“ทะ...ท่านอ๋องหรือ”
“อืม ข้าเอง”
“แล้ว คำสาป...”
“ท่านอาบน้ำร้อนมาก่อนข้า มีศักดินาสูงศักดิ์ ข้าจะไม่ดูถูกท่าน แต่ท่านต้องคิดเสียบ้างว่าเรื่องใดแต่งเรื่องใดจริง”
เยว่ไท่จงเงียบไปชั่วครู่ อวิ๋นซื่อพลันเกิดรู้สึกผิดขึ้นมา
“หม่อมฉันขออภัย”
“ช่างเถิด ดูแลบุตรชายท่านแทนข้าด้วย หลายวันนี้เขาจะหลับไม่รู้ตัวเพราะดื่มยาพิษ”
“เหตุใดบุตรข้าถึงดื่มยาพิษ”
เยว่ไท่จงมองอวิ๋นซื่อ
“ท่านจะเกลียดข้าก็ได้เพราะหลุนเฟิงทำเพื่อข้า ทั้งหมดเขาทำเพื่อข้า” เยว่ไท่จงเงียบไปนาน คิดหวนถึงเหตุการณ์เสี่ยงตายนับไม่ถ้วน ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะตนทั้งหมด “แต่ข้าไม่เคยทำเพื่อหลุนเฟิงได้สักครั้ง”
หญิงวัยกลางคนได้ยินคำพูดแสนเจ็บปวดก็เกิดสงสารยิ่ง นางเป็นมารดาของเซี่ยหลุนเฟิงมีหรือจะไม่ทราบนิสัยของบุตรชาย เซี่ยหลุนเฟิงเป็นบุรุษที่หนักแน่นดุจหินผา และไม่เอาตัวไปผูกพันกับผู้ใด
คำว่าบุญคุณยิ่งใหญ่กับเซี่ยหลุนเฟิงเป็นอย่างมาก
“หม่อมฉันเป็นมารดาของเฟิงเอ๋อร์ ย่อมรู้ดีว่าบุตรชายมิเคยสนใจผู้อื่น เขาหยิ่งยโสในวรยุทธ์ของตนเอง หม่อมฉันไม่อาจเดาได้ว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ แต่แน่นอนว่าเฟิงเอ๋อร์เต็มใจทำ เขาเป็นคนที่ไม่มีผู้ใดบังคับได้”
เยว่ไท่จงทราบดี เซี่ยหลุนเฟิงเคยบอกว่าเขาฉุดตนออกมาจากจวนตระกูลเซี่ย เขามอบสินสอดให้เป็นสิ่งของเพื่อตัดขาดตระกูลนั้น
แต่ทุกอย่างในตอนนี้ไม่คุ้มกันเสียเลย
ชีวิตของเซี่ยหลุนเฟิงมีค่ามากกว่าสินสอดเหล่านั้นเสียอีก
“ข้าฝากท่านดูแลด้วย” ว่าจบเยว่ไท่จงก็รีบกลับออกไป หากอยู่นานกว่านี้ความรู้สึกผิดก็ยิ่งมีมาก
เพราะขณะนี้ความรู้สึกผิดในใจของเขามากล้นจนไม่กล้ามองแม้เพียงเสี้ยวหน้าเซี่ยหลุนเฟิง
ข้าปล่อยให้เจ้าถูกทรมานหลายอย่าง แต่ข้าขี้ขลาดไม่กล้าแม้แต่จะขัดขวาง
อย่ารักข้าเลยเซี่ยหลุนเฟิง
เพราะข้าก็จะไม่รักเจ้า
หากข้าตายตอนอายุยี่สิบเจ็ด
เจ้าจะอยู่อย่างไร
ได้โปรดอย่ารักข้าเลยเซี่ยหลุนเฟิง
ท้องพระโรง
ในท้องพระโรงว่างเปล่า ขุนนางมีเพียงฝ่ายตงฉิน ฝ่ายกังฉินที่หนุนหลังพระมเหสีต่างลงนามขอออกจากตำแหน่ง แน่นอนว่าขุนนางต่างเมืองก็พร้อมเพรียงกันลาออก ราษฎรต่างพากันลำบาก
ฮ่องเต้กริ้วเป็นอย่างมาก เป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน สุดท้ายพระองค์ก็ทรงทนการกดดันของขุนนางไม่ได้
จนกระทั่งพระองค์ต้องจำใจสั่งให้ฮองเฮากลับมาดำรงตำแหน่ง
เมื่อนั้นขุนนางก็กลับมาเต็มท้องพระโรงอีกครั้ง แต่หากเทียบกับอำนาจของฮองเฮา พระองค์ก็เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดเท่านั้น
ครานี้ฮ่องเต้เสด็จผ่านนาง ฮองเฮามองพระองค์ด้วยแววตาดั่งผู้ชนะ
“จำไว้ฝ่าบาท ข้าอยู่เหนือบัลลังก์ท่าน”
“ข้ายอมเจ้า แต่หากวันใดข้าทนไม่ไหวขึ้นมา”
ฮองเฮายกมือขึ้นป้องปากหัวเราะอย่างเยาะเย้ย
“กล่าวถึงชาติหน้าหรือเพคะฝ่าบาท”
“ข้าไม่น่าปล่อยนางงูพิษเช่นเจ้าไว้”
“นางงูพิษอย่างข้านี้แหละ ที่ทำให้พระองค์มีถึงทุกวันนี้ ข้าถามท่านหน่อยว่า ถ้าหากข้าไม่ช่วยพูดให้บิดาข้าหนุนหลังท่านขึ้นบัลลังก์ ท่านจะมีอย่างทุกวันนี้หรือไม่ ท่านเป็นเพียงแค่องค์ชายไม่เอาไหน วันๆ เอาแต่ดื่มสุราเคล้านารี เรื่องท่านโจษจันไปทั่ว แม้มันจะผ่านมาเป็นสามสิบปีแล้ว แต่ข้าไม่เคยลืม”
องค์ฮ่องเต้ถึงกับกล่าวไม่ออก พระองค์ทรงโกรธเคืองฮองเฮา แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะทุกอย่างเป็นจริงดั่งนางว่า
“ถ้าหากตอนนั้นข้าไม่น่ามืดตามมัว หลงในบัลลังก์นี้ ข้าคงไม่ยอมให้ลูกชู้มาเสวยสุขในตำแหน่งอ๋องเท่าทุกวันนี้”
“ฝ่าบาทเพคะ! พระองค์กล่าวเช่นนี้ระวังสายเลือดของพระองค์จะตายนะเพคะ”
“นี่เจ้าขู่ข้าหรือ”
“ท่านก็ทราบดีว่าข้าทำได้มากกว่าที่ท่านคิดไว้”
ฮองเฮามีขุนนางหนุนหลังอยู่มาก คราแรกนางก็มีเพียงเสนาบดีฝั่งขวาที่เป็นบิดาของนาง แต่เมื่อเสนาบดีสิ้นอายุขัยไป ฮ่องเต้ก็ทรงสบายพระทัยคิดว่าฮองเฮาหมดเส้นสายในวังหลวงแล้ว แต่ที่ไหนได้ ขุนนางในวังนับร้อย ขุนนางตำแหน่งเล็กน้อยนับพัน ทหารในกำมือเยอะยิ่งกว่าแม่ทัพ เพราะแม่ทัพเสียเองที่จงรักภักดีต่อนาง
พระองค์ในตอนนี้เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดให้นางทำตามใจเท่านั้น...
ทว่า เมื่อลับหลังนาง ฮ่องเต้กับเปลี่ยนแววพระเนตร พระองค์หาได้กลัวฮองเฮาไม่ ทุกอย่างพึ่งเริ่มต้น หรือว่าแท้จริงแล้วพระองค์เองก็กำลังสวมหน้ากากอยู่เช่นกัน หน้ากากซึ่งสร้างขึ้นมาโค่นล้มกลุ่มกบฏที่หยั่งรากลึกอยู่ใต้ดิน หน้ากากที่ทำให้พวกมันไม่ทันระวังตัวว่ากำลังจะมีภัยมาเยือนในไม่ช้า...