เขากลับมาแล้ว!
เพียงแค่เห็นแสงไฟที่ระเบียงห้องจากตึกหรูฝั่งตรงข้ามสว่างขึ้นหัวใจที่เหี่ยวเฉาของฉันก็เต้นแรงขึ้นมาในทันทีและเป็นตามที่ฉันคาดไว้ไม่มีผิด เขาหายไปสิบสี่วันและจะกลับมาในวันที่สิบห้าเหมือนเคย ตลอดเวลาห้าปีที่เขาย้ายมาอยู่ที่ตึกฝั่งตรงข้าม เขาทำแบบนี้เสมอ และเพราะฉันว่างมากพอที่จะสนใจเรื่องของเขา ฉันเลยได้รู้ว่าเขาน่ะโสดแถมรวยมาก เพราะใครก็ตามที่อาศัยอยู่ที่นั่นก็ต้องได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีอยู่แล้ว...แม่ฉันบอกว่าราคาห้องที่แพงที่สุดของตึกนั้นไม่ต่ำกว่าร้อยล้านด้วยซ้ำ ซึ่งตอนแรกฉันก็สงสัยว่าทำไมคอนโดหรูหราแบบนั้นถึงได้มาสร้างที่ย่านแออัดซอมซ่อแห่งนี้ แทนที่จะเป็นริมแม่น้ำหรือใจกลางเมือง แล้วคำตอบที่ได้จากแม่ก็คือ...เหล่านายทุนเคยมีความคิดที่จะกวาดล้างที่แห่งนี้แล้วเปลี่ยนให้เป็นย่านไฮโซ จากนั้นก็สร้างห้างสรรพสินค้าและสถานที่อำนวยความสะดวกมากมาย แต่ติดตรงที่เจ้าของโรงพยาบาลที่แม่ฉันทำงานอยู่ไม่ยอมขายที่พักนี้สักทีน่ะสิ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะถ้าเขาเกิดเปลี่ยนใจขายขึ้นมา ฉันกับแม่ก็ไม่มีที่อยู่ เหนือสิ่งอื่นใด...ชายหนุ่มที่ตึกฝั่งตรงข้ามนั่น เขาน่ะหล่อสุดๆ ไปเลย!
และเพราะเหตุผลข้อหลังเลยทำให้ตลอดเวลาสิบสี่วันที่เขากลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ฉันแทบไม่เปิดโทรทัศน์เลย เพราะดูเขาสนุกกว่าเยอะ ถึงแม้วันๆ เขาจะแทบไม่ทำอะไรเลยก็เถอะ ต้องบอกก่อนว่าระเบียงห้องของเขาห่างจากระเบียงห้องฉันไม่มากนัก ฉันจึงสามารถใช้สายตาอันดีเลิศของตัวเองแอบส่องจนเห็นไปถึงข้างในได้ แต่การได้ดูเขาเดินไปเดินมาในห้องน่ะมันเพลิดเพลินต่อฉันสุดๆ และฉากพีคของวันที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ เขาจะออกมาที่ระเบียงทุกๆ สี่ชั่วโมง แต่ฉันก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเขาออกมาทำอะไร เพราะเขาไม่ได้ปลูกต้นไม้ บุหรี่เขาก็ไม่สูบ สิ่งที่เขาทำก็แค่ออกมายืนนิ่งๆ เท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว แค่เขายืนเฉยๆ ให้ฉันแอบมองก็พอ
ฉันเฝ้ามองเขามานาน...จากความสงสัยมันกลายเป็นว่าฉันน่ะเสพติดการเฝ้ามองเขาเข้าแล้วล่ะ
“ข้าวผัด”
เสียงแม่เรียกชื่อฉันดังมาจากในห้องนอน ใช่...ชื่ออาหารสิ้นคิดนั่นคือชื่อฉันเองและฉันคือยัยหมาหัวเน่าที่โลกลืม ฝังตัวรอวันตายอยู่ในหอพักพยาบาล ตึกเก่าๆ ที่หากมีแผ่นดินไหวเพียงสามริกเตอร์ก็คงถล่มจมลงใต้ดินเป็นที่แรก
“ข้าวผัดลูก”
“ค่ะแม่”
ฉันตอบรับก่อนจะใช้มือปลดที่ล็อกล้อแล้วหมุนวีลแชร์กลับตัวเคลื่อนไปด้านหน้าเพื่อไปหาแม่ที่กำลังเร่งเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมจะออกไปทำงาน
“แม่ทำข้าวผัดไว้ให้ กินด้วยล่ะ อย่าปล่อยให้มันเสียอีก คืนนี้แม่เข้ากะดึกจะกลับมาอีกทีก็เช้า จำที่แม่บอกได้ใช่ไหม” แม่มองฉันรอฟังคำตอบ อืม...ก็เหมือนทุกครั้งก่อนที่แม่จะไปทำงานนั่นแหละ
“ใครเคาะห้องห้ามเปิด มีอะไรให้โทรหาแม่ ห้ามออกไปไหน กินข้าวแล้วกินยา อย่านอนดึก” ฉันตอบแม่น้ำเสียงเบื่อหน่าย
“ดีมาก สิ้นเดือนนี้เงินเดือนออกแม่จะออกรถใหม่ให้ลูกเป็นของขวัญเกิด” แม่มองดูรถหรือวีลแชร์แสนเก่าก่อนจะเอื้อมมือมาลูบแก้มฉันพร้อมรอยยิ้มหวาน
“ค่ะแม่” ฉันตอบรับตามที่คิดว่าแม่อยากได้ยิน เพราะการไม่ทำให้แม่คิดมากหรือเป็นห่วงอาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ฉันจะช่วยแม่ได้
“แม่ไปทำงานล่ะ”
“เดินทางปลอดภัยค่ะแม่” ฉันโบกมือให้แม่ก่อนจะหมุนวีลแชร์พาตัวเองกลับมาที่ระเบียง ที่จริงฉันไม่อยากได้วีลแชร์คันใหม่นักหรอกเพราะฉันมีสิ่งที่อยากได้มากกว่าแต่รู้ว่ามันเกินความสามารถของแม่ที่จะหามาให้ได้...ขาใหม่ไงล่ะ
แปดปีก่อน ตอนนั้นฉันอายุสิบสอง ที่จริงฉันจำอะไรไม่ได้เลย แต่จากที่แม่เล่าคือฉันตกลงมาจากตึกสี่ชั้น แม่สวดมนต์ขอพรให้ฉันไม่ตายและมันได้ผลคือฉันรอด เพียงแต่แค่ครึ่งเดียวเท่านั้นเพราะฉันหลับไม่ตื่นเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่เป็นเดือน แม่ที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวใช้เงินที่มีทั้งหมดไปกับการรักษา มีบ้านขายบ้านมีรถขายรถ พอฉันฟื้นขึ้นมาจากอาการครึ่งเป็นครึ่งตายหมอก็ดันบอกแม่ว่าขาทั้งสองข้างของฉันใช้การไม่ได้ เหอะ...อย่างที่ผู้ใหญ่หลายคนชอบพูดไง ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง
แต่อย่าคิดว่าเรื่องของฉันมันเศร้าขนาดนั้นนะ เพราะฉันไม่ได้เศร้านักหรอกที่เดินไม่ได้ หากไม่นับว่ามันอาจเป็นสิ่งเดียวที่นำพาฉันไปเคาะประตูห้องเขาได้...ฉันคิดดังไปหรือเปล่านะ? อย่าหมั่นไส้กันเลย ฉันก็ทำได้แค่คิดนั่นล่ะ มีปัญญาทำให้มันเกิดขึ้นจริงเสียที่ไหน แต่ก็นั่นล่ะ ถึงฉันจะพิการเดินไม่ได้แต่ฉันก็เป็นวัยรุ่นอายุยี่สิบคนหนึ่งที่อยากจะเจอสิ่งแปลกใหม่ในชีวิต อยากรู้อยากลองเหมือนคนทั่วไป แต่สิ่งที่ทำได้คือการดูทีวี เล่นมือถือ เสิร์ชอินเทอร์เน็ตเท่านั้น เพราะแบบนี้ผู้ชายคนหนึ่งเลยน่าสนใจมากสำหรับฉันยังไงล่ะ และเวลานี้สิ่งที่ดึงดูดวัยรุ่นเพศหญิงอย่างฉันมากก็คือการเฝ้ามองเขาที่อยู่ตรงข้ามนั่นเอง อย่ามองแรง ฉันแค่ชอบเขานิดหน่อย…นิดหน่อยจริงๆนะ เชื่อฉันสิ และมันก็ช่วยไม่ได้ที่นอกจากมองเขาแล้วไม่มีอะไรสนุกๆ ในชีวิตให้ฉันทำเลยจริงๆ
และด้วยความที่กระจกบานเลื่อนของห้องเขามันใสเสียจนมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ฉันเลยเห็นว่าเขากำลังจะเดินออกมาที่ระเบียง จังหวะนั้นฉันจึงรีบคว้ากระบอกฉีดน้ำจากโต๊ะไม้ริมระเบียงห้องแสร้งทำเป็นว่ารดน้ำต้นไม้ ทั้งๆ ที่เมื่อเช้าก็เพิ่งรดมันไป ประตูระเบียงเปิดออก เขามองมาที่ฉัน ถึงสายตาฉันไม่ได้จ้องเขาตรงๆ ก็รู้ว่าเขากำลังมองมา ในมือของเขาเหมือนมีเครื่องอะไรสักอย่าง จากตรงนี้มันไกลเกินกว่าจะเห็นชัดแต่คงเป็นโทรศัพท์มือถือของเขา เขาเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยจากเมื่อห้าปีก่อนที่ฉันได้เจอเขาครั้งแรก ตอนนั้นเขาหล่อยังไง ผ่านไปห้าปีมันก็เป็นแบบนั้น ถึงแม้สายตาและท่าทางของเขาจะดูเงียบขรึมและดุดันก็เถอะ
ใจฉันเต้นถี่แรงไม่เป็นจังหวะเมื่อเราสบตากันอย่างไม่ตั้งใจ เพราะฉันเผลอจ้องมองความหล่ออันน่าประหลาดใจนั้นไม่วางตาเลยทำให้เขารู้ตัวแน่ๆ บางครั้งฉันก็คิดว่าฉันอาจจะบ้าผู้ชายจริงๆ
เขากลับเข้าไปข้างในจนได้! เป็นแบบนี้ทุกครั้งเลยให้ตายเถอะ! ทุกครั้งที่เราสบตากันเขาไม่เคยยิ้ม ไม่เคยมองฉันเกินสามวิเลยสักครั้ง เขาจะกลับเข้าไปด้านในทันที เพราะแบบนี้ไงฉันถึงทำได้แค่เพ้อถึงเขา
ตือดึ๊ง...
เสียงข้อความดังขึ้น ฉันละสายตาจากระเบียงห้องเขาแล้วหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะริมระเบียงมากดอ่าน เป็นข้อความจากครูแม็กซี่ ครูสอนพิเศษที่แม่จ้างมาสอนฉันให้มีความรู้ทันเด็กคนอื่นๆ นั่นเอง
T.Maxxie : ข้าวผัดจ๊ะ อยู่ห้องหรือเปล่าลูก
FriedRice : อยู่ค่ะครู มีอะไรเหรอคะ
T.Maxxie : พอดีครูหาหนังสือแกรมม่าไม่เจอ ไม่แน่ใจว่าลืมไว้ที่ห้องข้าวผัดหรือเปล่า
FriedRice : ใช่ค่ะ ข้าวเก็บไว้ให้แล้วค่ะครู
T.Maxxie : ดีเลย งั้นอีกสักพักครูเข้าไปเอานะ พรุ่งนี้ครูต้องใช้สอน
FriedRice : โอเคค่ะครู
พอคุยกับครูแม็กซี่เสร็จฉันก็เปิดโซเชียลแอปฯ มาเลื่อนอ่านคอนเทนต์ไปเรื่อย ฉันไม่มีเพื่อน ตั้งแต่ตกตึกฉันก็ไม่ได้ไปโรงเรียนเหมือนคนปกติ เพื่อนวัยเด็กเคยมีไหมก็ไม่รู้หรอก เพราะฉันจำอะไรไม่ได้เลยหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา...อีกอย่างแม่ไม่ชอบให้ฉันออกไปไหน ไม่ใช่เพราะแม่อายที่ฉันเป็นแบบนี้หรอกนะแต่เพราะแม่กลัวฉันจะอายเองมากกว่า ถึงจะบอกไปหลายครั้งแล้วก็ตามว่าฉันไม่อาย ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเราเข้าใจตรงกันว่าฉันไม่ได้อาย แม่ก็ยังยกเรื่องกลัวฉันจะเหนื่อยหรือลำบากเข้ามาพูดอีกอยู่ดี ฉันเลยจำใจต้องยอมให้มันเป็นอย่างนั้นเพราะคิดว่าเถียงไปก็เท่านั้น ยังไงแม่ก็ไม่ยอมให้ฉันออกไปไหนอยู่ดี
ไม่นานเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ฉันหมุนล้อวีลแชร์ไปหยุดที่หน้าประตู ใช้แขนสองข้างเท้ากับพนักพิงยันตัวให้สูงเพื่อส่องดูตาแมวที่ประตู พอเห็นว่าเป็นครูแม็กซี่ฉันก็เปิดประตูทันที ครูแม็กซี่คือข้อยกเว้นจากแม่ เพราะถึงครูจะมีร่างกายเป็นผู้ชายแต่ใจครูสาวมากเลยผ่านการอนุมัติจากแม่
“สวัสดีค่ะครู” ฉันยกมือไหว้ครูพร้อมรอยยิ้ม ปิดประตูห้องเมื่อครูเดินเข้ามาข้างใน
“อยู่คนเดียวเหรอลูกสาว” ครูชอบเรียกฉันแบบนั้นแล้วแทนตัวเองว่าคุณแม่
“ค่ะ วันนี้แม่เข้ากะดึก หนังสือครูวางอยู่บนโต๊ะค่ะ” ฉันยิ้มตอบ
“ดีเลย วันนี้ครูจะได้เริ่มสอนบทเรียนพิเศษสักที” อยู่ๆ ครูแม็กซี่ก็พูดจาแปลกๆ กับฉัน แล้วเดินไปล็อกลูกบิดประตูตามด้วยลงกลอนอีกชั้น
“บทเรียนพิเศษคืออะไรคะครู วันนี้เราไม่มีเรียนด้วยกันนะคะ” ฉันเลิกคิ้วถามมองครูที่เอาแต่จ้องหน้าฉันนิ่ง
“ครูใจดี ไม่มีเรียนก็สอนได้ ไม่คิดเงิน” ครูแม็กซี่ค่อยๆ เดินเข้ามาหาฉันขณะที่พับแขนเสื้อขึ้นทีละข้าง ท่าทีตุ้งติ้งติดสาวของครูหายไป เพียงเท่านั้นใจฉันก็เต้นแรง มือเท้าสั่นไปหมด...
“ครูแม็กซี่...” ฉันเอ่ยชื่อครูที่เคยสนิท ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นคนที่ฉันไม่รู้จักด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ครูชอบให้หนูเรียกชื่อครู เรียกอีกได้ไหม เรียกเบาๆ กระซิบเบาๆ ที่หูครู”
ตัวฉันแข็งทื่อเมื่อครูแม็กซี่นั่งลงตรงหน้าฉัน ล็อกล้อวีลแชร์ไม่ให้มันเคลื่อนไหวก่อนจะเริ่มใช้มือลูบไล้ตามต้นขาของฉันช้าๆ
“ฮึก! คะ...ครู อย่า...” ฉันกัดปากกลั้นน้ำตา พยายามจะขัดขืนแต่ครูก็ใช้มืออีกข้างรวบแขนฉันเอาไว้แน่น และจะให้ยกขาถีบเขาก็ไม่ได้เพราะสมองฉันไม่มีปัญญาจะสั่งการให้มันขยับด้วยซ้ำ
“ขาขาวๆ หน้าสวยๆ ผิวดีๆ แบบนี้ รู้ไหมว่าครูต้องอดทนแค่ไหนที่ทำได้แค่มอง ต้องแกล้งแสดงเป็นตุ๊ดเพื่อจะได้เข้ามาสอน ทนอยู่หลายเดือนก็เพื่อเวลานี้แหละ” ไอ้โรคจิตในคราบครูเลียปากตัวเอง เหยียดยิ้มจ้องฉันราวกับว่าเป็นของหวานของมัน
“ถ้าครูทำอะไรหนู หนูจะร้องให้คนช่วย” ฉันแสร้งทำเป็นเข้มแข็งใช้คำพูดปกป้องตัวเอง
“ใครจะมาช่วยหนูได้ บนตึกเก่าๆ นี้มีคนอยู่แค่ไม่กี่ห้อง รู้หรือเปล่าว่าชั้นนี้ทั้งชั้นมีห้องหนูแค่ห้องเดียวที่มีคนอยู่ พวกเขาย้ายออกไปกันหมดแล้วเพราะตึกกำลังจะถูกทุบ อีกอย่างครูล็อกห้องลงกลอนขนาดนี้ต้องเป็นวิญญาณแล้วล่ะที่จะลอยล่องหนเข้ามาได้”
ช็อก...ฉันไม่รู้ว่ามาก่อนว่าเพื่อนบ้านชั้นเดียวกันย้ายออกไปหมดแล้วและตึกกำลังจะโดนทุบ แม่ไม่บอกอะไรฉันเลย นี่อาจจะเป็นจุดจบของฉันจริงๆ ก็ได้ จากที่เคยเกือบต้องตายเมื่อแปดปีก่อน ตอนนี้ฉันกำลังจะต้องตายทั้งเป็นเพราะถูกข่มขืนอย่างนั้นใช่ไหม
“ไอ้ชั่ว...ขนาดคนพิการแกยังคิดอุบาทว์ จิตใจคงสกปรกไม่ต่างอะไรกับเศษขยะค้างปี” ไม่เหลือความจำเป็นจะพูดดี เพราะยังไงคนอย่างมันก็คงไม่ปล่อยฉันไปแน่
เพียะ!
หน้าฉันหันตามแรงกระแทก รู้สึกแสบที่มุมปาก กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเต็มจมูก
“ปากดีนักนะ! รู้หรือเปล่าว่าแม่แกค้างค่าจ้างฉันมากี่เดือนแล้วข้าวผัด ที่ฉันทนสอนมาจนถึงทุกวันนี้ก็นับว่าเป็นบุญหัวแกแค่ไหน!” ไอ้สารเลวลุกขึ้นยืนชี้นิ้วด่าฉันหลังจากที่มันตบจนหน้าหัน
“ก็เพราะแกหวังอย่างอื่นเป็นค่าจ้างไง!”
“ก็ถูกของแก...มานี่เลย! ฉันขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับแกแล้ว” ว่าแล้วไอ้สารเลวแม็กซี่ก็เข้ามาช้อนตัวฉันขึ้นจากวีลแชร์ ขณะที่มันกำลังหมุนตัวจะอุ้มฉันเข้าไปในห้องนอน สายตาของฉันเหลือบผ่านระเบียงห้องไปสบเข้ากับสายตาคู่หนึ่งที่กำลังมองมาจากอีกฝั่ง...ชายหนุ่มที่ฉันเฝ้ามอง ตอนนี้เขากำลังมองมาที่ฉัน...
ได้โปรด...ช่วยฉันด้วย จะวิธีไหนก็ได้ แต่ได้โปรดช่วยฉันจากไอ้โรคจิตนี่ที...
ตุบ!
ไอ้แม็กซี่โยนฉันลงบนเตียงอย่างแรงก่อนที่มันจะขึ้นคร่อมตัวฉันไว้ น้ำตาฉันไหลออกมา อาจเป็นเพราะรู้ตัวแล้วว่าตัวเองกำลังจะต้องเจอกับความทรมานของจริง สุดท้ายแล้วโลกภายนอกที่แม่บอกว่ามันน่ากลัวแค่ไหน มันต่างอะไรกับโลกในห้องแคบๆ ที่ฉันอยู่อย่างนั้นเหรอ...ฉันว่ามันก็เลวร้ายพอๆ กันน่ะแหละ
“กรี๊ด!!!” ฉันแหกปากร้องจนสุดเสียงเมื่อไอ้เลวแม็กซี่มันใช้มือเพียงข้างเดียวรวบแขนทั้งสองของฉันไว้แล้วใช้มืออีกข้างปลดกระดุมกางเกง ฉันแทบอยากจะกลั้นใจตายเมื่อไอ้เลวแม็กซี่เริ่มลูบคลำลงตรงหน้าท้องของฉัน สัมผัสหยาบกร้านจากฝ่ามือนั้นสร้างความทรมานให้ฉันอย่างถึงที่สุด แต่ไม่ว่าฉันจะดิ้นและขัดขืนยังไงก็เหมือนว่ามันจะไม่เป็นผล ไอ้แม็กซี่ยังคงสนุกกับการเคลื่อนมือไปตามผิวเนื้อของฉัน...จนถึงตอนนี้ฉันคิดว่าเนื้อตัวของฉันมันสกปรกเหลือเกิน!
ขยะแขยงที่สุด...ฉันดิ้นแล้วดิ้นอีกจนเริ่มไม่เหลือแรงจะขัดขืน ลมหายใจของฉันเริ่มจะขาดช่วง แม้จะแหกปากร้องดังแค่ไหนก็รู้สึกเหมือนไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง สมองของฉันมันหนักอึ้งไปหมด ฉันสัมผัสได้เพียงความโหดร้ายและจิตใจอันหยาบช้าของคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นครู ความหนักอึ้งที่ถาโถมเข้ามาทำให้ดวงตาของฉันกะพริบช้าลงเรื่อยๆ ความมืดมืดเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้ แต่ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ ดวงตาของฉันก็เบิกโตขึ้นมาเมื่อเห็นแสงสีฟ้าปรากฏขึ้นด้านหลังไอ้แม็กซี่ที่คร่อมฉันอยู่ก่อนที่...
ฉึบ!
ฉันแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นดาบยาวขนาดใหญ่ทะลุออกจากกลางอกของแม็กซี่ มันไม่มีโอกาสได้ร้องระบายความเจ็บปวดด้วยซ้ำ ฉันเบิกตามองค้างและคิดว่านี่ต้องเป็นเรื่องที่บ้าที่สุดในชีวิตที่ฉันต้องเผชิญเพราะอยู่ๆ ร่างของแม็กซี่ก็ค่อยๆ สลายไปต่อหน้าต่อตา...
ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งและเหมือนกับว่ามันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ร่างของแม็กซี่ที่คร่อมฉันสลายคล้ายระเหยจนเป็นไอหายไปในอากาศและตอนนี้ตรงหน้าฉันคือเขา...ชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามที่ฉันแอบมองมาตลอดห้าปีที่ตอนนี้ทั้งตัวเรืองรองไปด้วยแสงสีฟ้า...นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ฉันเห็นก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลง
ปังๆๆๆ
เสียงเคาะประตูห้องปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมาแต่ไม่ทันที่จะได้คิดอะไรมากฉันก็ต้องใช้มือสองข้างพาตัวเองลงจากเตียงแล้วยันไปตามพื้นปีนขึ้นไปนั่งบนวีลแชร์ที่จอดอยู่หน้าประตูห้อง
พอส่องตาแมวเห็นว่าเป็นแม่ฉันก็รีบเปิดประตูทันที แม่ถือถุงกับข้าวเข้ามา มองฉันอย่างแปลกใจก่อนจะยิงคำถามรัวใส่ฉันไม่ยั้ง
“ปากไปโดนอะไรมาข้าวผัด แล้วอยู่ๆ ทำไมลงกลอนประตู แม่ทุบห้องอยู่พักใหญ่” ฉันไม่ทันได้ตอบอะไรพอแม่พูดถึงปากฉันก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที แล้วภาพที่ตัวเองโดนตบก็ปรากฏขึ้นในหัวก่อนที่จะตามด้วยภาพมากมายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
แม่เดินเข้าห้องน้ำ ทันทีประตูปิดลงฉันก็รีบดันวีลแชร์พาตัวเองไปที่ระเบียงห้องทันที เมื่อคืนครูแม็กซี่มาที่ห้อง ฉันเกือบจะโดนมันข่มขืนแต่เขามาช่วยฉันไว้โดยการใช้ดาบแทงไอ้โรคจิตนั่นจากด้านหลังทะลุออกกลางอก แล้วจากนั้นแม็กซี่ก็สลายไป...
ภาพที่แม็กซี่สลายไปมันยังคงติดตาฉันอยู่ ฉันพาตัวเองกลับมาที่ห้องนอนมองหาร่องรอยการตายของแม็กซี่แต่ก็ไม่เจอ ไม่มีเลือดหรือแม้เศษเถ้าถ่านอะไรด้วยซ้ำ เหลือไว้เพียงรองเท้ากับกระเป๋าของมัน ฉันรีบเอาทั้งสองอย่างนั่นยัดใส่ใต้เตียงเพรากลัวแม่จะมาเห็น ส่วนเขา...ที่ทั้งตัวเรืองแสงสีฟ้าเหมือนมีเปลวไฟปกคลุมอยู่รอบตัวนั่นคืออะไร เรื่องทั้งหมดนี้มันคืออะไรเพราะฉันมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่าฉันไม่ได้ฝันแน่
“ข้าวผัด แม่จะออกไปทำธุระสักหน่อย คงจะกลับมาไม่ทันข้าวเที่ยง ลูกกินไปก่อนเลยแล้วอย่าลืมกินยาด้วยล่ะ” แม่พูดไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไป ส่วนฉันก็ไม่ได้จับประเด็นอะไรทั้งนั้นเพราะตอนนี้ในสมองคิดแต่ว่าเขาเป็นตัวอะไรแน่
“ได้ยินที่แม่พูดหรือเปล่าข้าวผัด” แม่ถามย้ำเมื่อเห็นว่าฉันไม่ตอบรับอะไร
“ได้ยินแล้วแม่” ฉันตอบสั้นๆ มองดูแม่จัดการธุระส่วนตัว ส่งแม่ที่ประตูห้องแล้วปิดล็อกพร้อมใส่กลอน...ใช่ ฉันจำได้ว่าไอ้แม็กซี่มันใส่กลอนนี่ อย่างนั้นแล้วเขาคนนั้นเข้ามาได้ยังไงทั้งๆ ที่ประตูห้องยังคงอยู่ในสภาพปกติ ไม่มีรอยทุบใดๆ ทั้งนั้น สายตาฉันมองกลับไปที่ระเบียงเพราะตอนนี้ความเป็นไปได้เดียวที่เขาจะเข้าห้องฉันได้คือทางระเบียงนี่เท่านั้น แต่ในเวลากระชั้นชิดขนาดนั้นเขาจะมาทันช่วยฉันได้ยังไงถ้าเขาปีนขึ้นมาสิบสองชั้น
“กระโดด”
“ใช่สิ...เขาต้องกระโดดมาแน่ มันเป็นทางอื่นไปไม่ได้เลย ว่าแต่เขาเอาแรงจากไหนมากระโดดในเมื่อตึกมันห่างกันตั้งเยอะ”
แล้วฉันก็นิ่งไปเมื่อตั้งสติได้ว่าตัวเองได้ยินเสียงของคนอื่นในห้องที่อยู่คนเดียวและฉันก็เพิ่งตอบเขาไป...ให้ตายเถอะ หัวใจฉันเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อหันไปเห็นว่าหนุ่มฝั่งตรงข้ามยืนอยู่ด้านหลังฉัน
“คะ...คุณเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง” ฉันถลึงตาถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก พระเจ้า พอได้เห็นเขาใกล้ๆ มันยิ่งทำให้ฉันอยากจะบ้า เขาสูงมาก ผิวก็ขาว ดวงตาสีทองคมเข้ม ท่าทางดุดันเหมือนพวกพระเอกหนังสงคราม เอาเป็นว่าฉันขอเคลมเลยแล้วกันว่าเขาคือผู้ชายที่โคตรเท่ เท่ระเบิดไปเลย
“เจ้าถามว่าข้าเข้ามาในห้องเจ้าได้อย่างไรในขณะที่สมองของเจ้ากำลังคิดถึงสิ่งอื่นอยู่” น้ำเสียงดุดันของเขาทำฉันกลัวเล็กน้อย...อืม ขอเปลี่ยนเป็นกลัวมากดีกว่า
เขาจ้องมองฉันไม่กะพริบตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว สายตาดุดันเปลี่ยนเป็นสงสัยในขณะที่ตัวฉันเกร็งไปทั้งร่างด้วยความกลัว ถึงเขาจะหล่อแค่ไหนแต่ถ้าไม่ใช่คนปกติธรรมดาก็น่ากลัวเหมือนกันนั่นล่ะ
“ข้าเพิ่งช่วยชีวิตเจ้าไป ไม่มีความจำเป็นใดที่เจ้าต้องกลัวข้าสักนิด” เขาเอ่ยก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ฉัน กอดอกจ้องฉันนิ่ง ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีความเป็นมิตรอะไรเกิดขึ้นบนใบหน้าของเขาเลยแถมยังรู้ด้วยว่าฉันคิดอะไรอยู่ในหัวแล้วแบบนี้จะไม่ให้กลัวได้ยังไง
“คะ...คุณเป็นตัวอะไรอะ รู้ความคิดฉันได้ยังไง แล้วจะมั่นใจได้แค่ไหนว่าคุณจะไม่ทำร้ายฉัน” แม้ปากจะสั่นแค่ไหนแต่ฉันก็ต้องถามมันออกไปเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะปลอดภัย
“เจ้า...” เขานิ่งไปเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ว่าจะ ‘เจ้า’ หรือ ‘ข้า’ มันยิ่งตอกย้ำว่าเขาไม่ปกติจริงๆ
“พวกมนุษย์เป็นแบบนี้เสมอ...อะไรก็ตามที่ตนไม่มี ไม่เคยพบเห็นก็เหมารวมว่าสิ่งนั้นผิดปกติ”
“นี่คุณเลิกอ่านความคิดฉันแล้วบอกมาว่าคุณเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง หรืออย่างน้อยคุณก็ควรบอกว่าคุณเป็นตัวอะไร ผีเหรอหรือแวมไพร์” ฉันกลัวนะ แต่ไม่อยากแสดงออกว่ากลัว ถึงเขาจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ
“ความคิดเจ้ามันดังกว่าเสียงยานขับขี่ข้างนอกนั่นเสียอีก ไม่จำเป็นที่ข้าจะต้องตั้งจิตอ่านมันด้วยซ้ำ”
ฉันขอกลอกตามองบนให้กับคำว่า ‘ยานขับขี่’ ได้ไหม
“เอาเป็นว่าเจ้าแค่บอกมาว่าเซียร์ฝากสิ่งใดไว้กับเจ้าก็พอ”
“หืม?” ฉันถึงกับเอ๋อไปเลยเมื่อยอดมนุษย์ตรงหน้าถามหาอะไรสักอย่างที่ฉันไม่รู้เรื่อง
“เซียร์ฝากของสิ่งหนึ่งไว้กับเจ้า มันคือสิ่งใด บอกข้ามาว่ามันอยู่ที่ไหน” เขาเริ่มทำเสียงแข็งกว่าเดิม
“คุณพูดเรื่องอะไรฉันไม่เข้าใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเซียร์เป็นใคร”
หมับ!
อยู่ๆ เขาก็ตรงเข้ามาบีบคอฉันแน่นแล้วแสงสีฟ้าก็เรืองขึ้นรอบตัวเขาเหมือนที่ฉันเคยเห็นเมื่อคืน ฉันเกือบหยุดหายใจอีกครั้ง ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกนะและถึงแม้ว่าจะรู้ว่าบนโลกนี้มีอะไรมากมายที่เราอาจไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่เขาที่อยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้ ไม่ว่าจะการสลายหายไปของไอ้โรคจิตแม็กซี่ ดาบ การหายตัวได้หรือแม้แต่แสงสีฟ้านั่น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตามันทำให้ฉันมั่นใจว่าเขาไม่ใช่คน