EP 01
เงื่อนไขของไดสึเกะ Loading…50%
“งั้นเหรอ คงต้องพิสูจน์ให้ดูสินะ เธอถึงจะเข้าใจว่าฉันหรือเธอกันแน่ที่กำลังเพ้อเจ้อ” ไดสึเกะพูดพลางกระตุกยิ้มเย้ยหยัน พูดจบเขาก็โน้มใบหน้าลงมาช่วงชิงริมฝีปากของฉันในทันที
ริมฝีปากหนาที่ทาบลงมาสนิทบดขยี้ริมฝีปากของฉันจนรู้สึกแสบร้อนไปหมด แต่ยิ่งดิ้นฉันก็ยิ่งเป็นฝ่ายเหนื่อยซะเอง มิหนำซ้ำก็ยิ่งรู้สึกเหมือนใกล้จะขาดอากาศหายใจอยู่รอมร่อ
ฮึก!
เสียงลมหายใจถี่กระชั้นดังจนน่ากลัวเมื่อไดสึเกะละริมฝีปากออก แต่ฉันยังไม่ทันจะได้ตั้งสติ เขาก็บีบแก้มฉันแรงๆ ก่อนจะทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง
ไดสึเกะตั้งใจจะบีบปากฉันเพื่อให้ฉันเปิดปากรอรับปลายลิ้นของเขาที่ตั้งใจจะแทรกเข้ามา วินาทีที่รู้สึกได้ว่าปลายลิ้นสากของเขากำลังกวาดต้อนอยู่ในโพรงปากของฉันมันทำให้ฉันดิ้นพล่าน หยดน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้และไม่มีความสามารถพอที่จะปาดมันออกได้ด้วยตัวเองตราบใดที่ข้อมือของฉันยังคงถูกพันธนาการเอาไว้
“เหอะ” ไดสึเกะทิ้งลมหายใจหนักๆ ใส่หน้าของฉันเมื่อเขาละริมฝีปากออก หากแต่ยังไม่ยอมผละตัวออกไป สายตาที่จ้องมองฉันมีแต่ประกายความเย้ยหยันดูถูกจนฉันนึกเกลียดตัวเองอยู่ลึกๆ
“นี่แค่เริ่มต้นนามิ เธอรู้ดีว่าฉันทำได้มากกว่านี้ และทำแน่!” ไดสึเกะตะคอกเสียงดังเหมือนตั้งใจจะทำให้ฉันสะดุ้งตกใจ สายตาที่เขามองมาดุดันจนยากจะปฏิเสธว่ามันทำให้ฉันเริ่มรู้สึกกลัวใจเขาขึ้นมาทีละนิดๆ
“จำเอาไว้ว่าทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ เธอเป็นคนเลือกเอง” ไดสึเกะทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เขาพูดพลางยกนิ้วโป้งขึ้นมาเกลี่ยกลีบปากของฉันเบาๆ ซึ่งถึงแม้ว่าฉันจะพยายามหันหน้าหนีเขาเท่าไหร่แต่สุดท้ายแล้วก็ถูกฝ่ามือหนารั้งใบหน้าของฉันให้หันกลับมาสบตากับเขาได้อยู่ดี
อาการแสบร้อนปากทำให้ฉันต้องเม้มริมฝีปากแน่นอยู่ตลอดเวลาจนมันสั่น อยากจะยกมือขึ้นมาถูแรงๆ ด้วยซ้ำ ติดตรงที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
ฟึ่บ!
หลังจากที่ไดสึเกะเย้ยหยันฉันจนพอใจ เขาก็เดินกลับไปทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟา แต่สายตากลับยังจ้องมองฉันราวกับกลัวว่าฉันจะคลาดสายตา
ฉันสะบัดหน้าหันหนีสายตาคู่นั้นออกมาอีกทางเพราะไม่ต้องการจะเห็นหน้าเขา แต่โชคร้ายที่ด้านหลังห้องดันเป็นกระจก ดังนั้นต่อให้ไม่ฉันจะเห็นหน้าเขาตรงๆ ก็ต้องเห็นเงาของเขาสะท้อนอยู่บนกระจกบ้านั่นอยู่ดี
“นับจากวินาทีนี้ไป ไม่ว่าเธอจะหลับตาหรือว่าลืมตา อย่าคิดว่าจะรอดจากสายตาของฉัน” เขาพูดทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากเงาสะท้อนของฉันเลยแม้แต่เสี้ยววินาที เราทั้งคู่ต่างก็ยังคงจ้องมองกันและกันผ่านเงาสะท้อนของเราอยู่อย่างนั้นสักพักจนกระทั่งฉันพ่ายแพ้
ฟึ่บ!
สุดท้ายฉันก็เลยต้องหันหน้ากลับมามองเพดาน ก่อนจะปิดเปลือกตาลงเพราะไม่ต้องการจะมองเห็นภาพใดๆ อีกต่อไป
ความเงียบทำให้ฉันได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองชัดขึ้นทุกขณะ รวมไปถึงรู้สึกได้ว่าหยดน้ำตากำลังไหลออกมาช้าๆ ในหัวใจของฉันมีแต่ภาพของพี่โยชิดะเต็มไปหมด ฉันคิดถึงเขาเหลือเกิน คิดถึงพี่ชายที่คอยปกป้องฉันมาตลอด ซึ่งต่อไปนี้คงไม่มีอีกแล้ว
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นไม่ได้ทำให้ฉันตกใจหรือแม้แต่สนใจจะลืมตาตื่น จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้เตียง ตามมาด้วยเสียงถาดอาหารที่วางลงบนโต๊ะด้านข้าง
อาหารโรงพยาบาลก็มาเวลานี้ทุกวันนั่นแหละ
“เอาออกไป” ฉันพูดโดยไม่ลืมตาขึ้นมองหน้าพยาบาลที่ยกถาดอาหารเข้ามาด้วยซ้ำ
“แต่คุณนามิไม่ได้ทานอะไรมาสามวันแล้วนะคะ”
“ไม่หิว เอาออกไป”
“เอาวางไว้ตรงนั้น หมดหน้าที่แล้วก็ออกไปได้” ไดสึเกะพูดแทรกอย่างตั้งใจ ฉันรู้ว่าเขาตั้งใจจะทำทุกอย่างเพื่อกดดันฉัน
หลังจากคำสั่งของไดสึเกะ ฉันก็ได้ยินเสียงพยาบาลคนนั้นเดินออกไปก่อนที่เธอจะปิดประตูห้องลงเบาๆ
...เหมือนทุกวัน...
ฉันยังคงนอนนิ่งไม่ขยับ นี่เข้าวันที่สี่แล้วที่ฉันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เพราะสองมือและสองเท้าถูกมัดเอาไว้ ทางเลือกของฉันในเวลาที่ฉันหิวคือการให้พยาบาลที่ยกถาดอาหารเข้ามาให้เป็นคนป้อน เพราะโอยามะอนุญาตให้แก้มัดฉันเฉพาะเวลาที่จะไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น และนั่นต้องมีคนของเขาเฝ้าอยู่ในห้องด้วย
คิดแล้วก็แอบนึกขำเหมือนกันที่เขากลัวแม้กระทั่งผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉัน ส่วนฉันก็กลัวอดตายจะแย่ เพราะตั้งแต่วันแรกที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงของโรงพยาบาลจนกระทั่งถึงวันนี้ ฉันก็ยังไม่เคยร้องขอให้พยาบาลหน้าไหนมาป้อนอาหารสักคำ
บ้าฉิบ!
“ฉันรู้ว่าเธอชอบอวดเก่ง แต่มันผิดเวลาไปหน่อย ลืมตาแล้วหันมานามิ” ไดสึเกะลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาข้างเตียงอีกครั้ง เสียงฝีเท้าของเขาทำให้ฉันลืมตาขึ้นแล้วรีบหันไปมอง ถึงได้เห็นว่าเขาเพิ่งจะเปิดฝาถ้วยซุปนั่นออก และกำลังใช้ช้อนเขี่ยมันวนไปวนมาในถ้วย
“มีสองทางเลือก จะให้พยาบาลเข้ามาป้อน หรือให้ฉันกรอกปาก” ไดสึเกะถามพลางเคาะช้อนลงที่ขอบถ้วยซุปเบาๆ
“ไม่กิน”
“ไม่มีในตัวเลือก”
“ฉันบอกว่าไม่...อื้อ แค่กๆๆๆ” ฉันถึงกับสำลัก เมื่อไดสึเกะพยายามจะกรอกซุปสาหร่ายผ่านช้อนใส่ปากฉัน เขาบีบปากฉันเอาไว้ก่อนจะจ่อซุปร้อนๆ ที่เขาไม่แม้แต่จะเป่ามันก่อนที่จะกรอกใส่ปากฉันด้วยซ้ำ
“ถ้าจะให้กรอกปาก ก็อ้าปากดีๆ แต่ถ้าเรื่องมากฉันจะเอาช้อนงัด”
“พยาบาล” ฉันบอกสั้นๆ เมื่อไดสึเกะตักซุปใส่ช้อนขึ้นมาขู่อีกรอบ กับการกระทำที่เขากำลังทำ ฉันว่าคำว่าเลวมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ
“เหอะ!” ไดสึเกะแค่นหัวเราะในลำคอก่อนที่เขาจะวางช้อนกลับลงในถ้วยซุปตามเดิมแล้วเอื้อมมือไปกดอินเตอร์คอมที่หัวเตียงเพื่อเรียกพยาบาล
“คนไข้ห้อง 1212 หิวจะตายแล้ว”
คำก็ตาย สองคำก็ตาย ถ้าฉันตายไปสักคนเขาคงมีความสุขมากสินะ ถ้าอย่างนั้นทำไมวันนั้นเขาไม่ฆ่าฉันล่ะ เดาว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้เขาคงทำ และฉันเองก็คิดว่าฉันก็คงไม่อยากอยู่จนถึงวันนี้เหมือนกัน
ก๊อกๆๆ
แล้วพยาบาลก็เคาะประตูห้องก่อนจะเปิดเข้ามา ใบหน้าที่แต่งแต้มสีสันด้วยเครื่องสำอางเจื่อนลงนิดหน่อยเมื่อถูกคนข้างเตียงถอนหายใจใส่
“จะเข้าห้องน้ำค่ะ ไม่ได้หิว”
“เอ่อ...”
“กินให้หมดแล้วค่อยไป”
“ค่ะๆ”
“ปวดฉี่ หรือจะให้ฉันฉี่บนเตียงเลย”
“คือว่า...”
“ให้ฉี่บนเตียงไปนั่นแหละ ถ้าไม่กินก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น”
“แต่ว่า...” พยาบาลที่ยืนอยู่ข้างเตียงมองหน้าฉันกับไดสึเกะสลับกันไปมาเมื่อฉันกับเขายังคงต่างคนต่างพูดโดยไม่สนใจฟังคำพูดของอีกฝ่าย และเมื่อมันมีปัญหามากนัก ฉันจะฉี่บนเตียงจริงๆ คอยดู!
“บนเตียงก็บนเตียง”
“อย่าค่ะๆ เดี๋ยวดิฉันพาไปเข้าห้องน้ำนะคะ” พยาบาลรีบร้องบอกเมื่อฉันยืนยันว่าจะฉี่บนเตียงจริงๆ นั่นทำให้ฉันถึงกับต้องถอนหายใจแรง
“คิดว่ายัยนั่นจะกล้าฉี่บนเตียงจริงๆ รึไง”
“จะลองดูก็ได้” ฉันหันไปพูดกับพยาบาล ซึ่งเธอคงไม่กล้าปล่อยให้ฉันทำแบบนั้นจริงๆ หรอก ไม่อย่างนั้นคนเดือดร้อนคงไม่ได้มีแค่ฉัน
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวดิฉันพาไปได้ค่ะ คุณโอยามะอนุญาตให้คุณนามิเข้าห้องน้ำได้นะคะ” พยาบาลรีบบอก ซึ่งถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะสั่นเพราะเกรงไดสึเกะอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าตีความหมายจากคำพูดที่เธอเพิ่งจะพูดออกมา คนที่เธอกลัวและเชื่อฟังที่สุดดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่ยืนหน้าตึงอยู่ตอนนี้ เหอะ!
บ้าชะมัด ข้อมือฉันแดงไปหมดเลย