EP 03
หนี้ชีวิต Loading…25%
Blacksino
วินาทีแรกที่รู้ว่าถูกพาตัวมาที่แบล็กซิโน มือไม้ของฉันก็เย็นเฉียบขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ลำคอแห้งผากราวกับว่าฝืนกลืนเม็ดทรายลงไปหลายกำมือ กลืนน้ำลายอึกแล้วอึกเล่าแต่กลับไม่ช่วยรู้สึกดีขึ้นมาสักนิด หายใจติดๆ ขัดๆ ไปหมด
ถึงจะรู้ว่าที่นี่เป็นหนึ่งในธุรกิจของแบล็กสกอร์เปี้ยนที่อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของคุณโอยามะ แต่ก็เพราะเหตุผลเดียวกันนั่นแหละที่ทำให้ฉันกำลังตื่นกลัว เพราะรู้ดีแก่ใจว่าฉันไม่ได้มาที่นี่ในสถานะ ‘ริโกะ’ คนของคุณโอยามะ แต่ดันมาในสถานะของ ‘ลูกหนี้’ หนำซ้ำยังต้องคอยเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า จะให้คุณโอยามะรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหลบซ่อนการมาที่นี่ในครั้งนี้ไม่ให้คุณโอยามะรู้ทั้งที่ที่นี่เปรียบเสมือนพื้นที่ของเขาที่มีคนของเขาอยู่ทุกซอกทุกมุม ซึ่งฉันก็ได้แต่ภาวนาให้ปาฏิหาริย์มันมีอยู่จริง
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า หัวหน้าฉันน่ะใจดีจะตาย ไม่อย่างนั้นจะปล่อยให้พ่อกับแม่ของเธอยืมเงินไปตั้งมากมายได้ยังไง”
“อย่ามาแตะตัวฉัน” ฉันบอกเสียงเข้มแล้วปัดมือของนายคนนั้นออกอย่างรังเกียจ ทั้งท่าทางและสายตาของผู้ชายที่ล้อมรอบกายฉันทำราวกับฉันเป็นนักโทษทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดและนึกโกรธตัวเองอยู่ตลอดเวลาที่ตัดสินใจทำแบบนี้ แต่ก็รู้ตัวดีว่าตอนนี้ฉันไม่ได้มีทางเลือกมานัก อีกอย่างถ้าขืนฉันโวยวายหรือทำอะไรวู่วามออกไปจนเกิดเรื่อง อาจทำให้เรื่องนี้ถูกรายงานไปถึงคุณโอยามะเร็วขึ้นก็เป็นไปได้ ดังนั้นฉันถึงได้ต้องยอมเดินตามพวกมันมาเงียบๆ
ฉันทำงานให้คุณโอยามะมาเกือบสี่ปี ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเขารู้ทุกปัญหาที่เกิดขึ้น เพียงแต่จะเลือกมองข้ามหรือจัดการให้เด็ดขาดก็ขึ้นอยู่กับผลกระทบของมันเท่านั้นเอง ซึ่งถึงฉันจะคิดว่าตัวเองไม่ได้มีความสำคัญมากมายอะไรจนทำให้แบล็กสกอร์เปี้ยนเสียหายได้ ฉันก็ไม่อยากจะลองเสี่ยงให้เขารู้แล้วต้องเล่นเกมตอบคำถามของคุณโอยามะอยู่ดี
“เหอะ ฉันขอให้เธอหยิ่งให้ได้ตลอดก็แล้วกัน ถึงเวลาอย่ามาร้องขอให้ฉันช่วยล่ะ” นายคนนั้นพูดอย่างมั่นใจ แต่คิดเหรอว่าฉันจะทำอย่างนั้นจริงๆ ถ้าจะทำฉันคงทำไปตั้งนานแล้ว ไม่รอให้ถูกพามาถึงนี่หรอก อีกอย่างถ้ารู้แต่แรกว่าพวกมันเป็นคนของแบล็กซิโน ฉันก็คงไม่โง่ยอมขึ้นรถมาเหมือนกัน
บ้าฉิบ! เจ้าหนี้มีตั้งมากมายทำไมถึงได้เลือกมากู้ยืมเงินจากแบล็กซิโนอีกอีกแล้ว คราวก่อนที่ขายฉันไม่ได้เอาเงินมาใช้หนี้รึยังไง ทำไมไม่รู้จักเข็ดหลาบบ้าง!
ระหว่างที่ฉันกำลังหาทางหนีทีไล่อยู่ในหัวสลับกับพยายามมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง คนขับรถก็พาเรามาถึงทางเข้าทางด้านหลังพอดี ฉันก็เลยไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืดกับไอ้โรตจิตที่เอาแต่มองฉันราวกับอยากจะมองให้ทะลุ
หลังจากที่รถจอดสนิท ฉันก็ถูกพาเข้ามาทางประตูทางเข้าทางด้านหลังของแบล็กซิโน หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นตั้งแต่ก้าวแรกที่เท้าแตะพื้นของลานจอดรถแล้วด้วยซ้ำ และมันก็กำลังเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ แถมยังรู้สึกว่ายิ่งก้าวเข้าไปข้างใน แสงสว่างที่เคยมีก็เหมือนจะยิ่งมืดลงคล้ายกับอนาคตของฉันในตอนนี้ไม่มีผิด
ฉันไม่รู้หรอกว่าหัวหน้าของพวกมันที่พวกมันพูดถึงมาตลอดทางและกำลังจะพาฉันไปพบเป็นใคร เพราะคนของแบล็กสกอร์เปี้ยนมีอยู่มากมาย และฉันเองก็ไม่ได้รู้จักทุกคน ไม่รู้ว่ามีใครบ้างที่ฉันอาจรู้จักหรือเคยเห็นผ่านตาในแบล็กทาวน์ทำงานอยู่ที่นี่ และความจริงอีกหนึ่งข้อที่ฉันรู้ดีก็คือถึงแม้ว่าทุกคนจะเป็นคนของแบล็กสกอเปี้ยน และทำงานให้คุณโอยามะ แต่ก็ยากจะปฏิเสธว่าไม่ใช่ทุกคนทำงานด้วยความจงรักภักดี
สังคมมันก็เหมือนกันทุกสังคมนั่นแหละ มีทั้งคนดี คนไม่ดี คนที่จริงใจ คนที่ใส่หน้ากาก คนที่ซื่อสัตย์ คนที่ทุจริต คนที่ทำงานเพื่อเอาหน้า คนที่ทำหน้าเพื่อเอางาน บางคนทำงานเพื่อความอยู่รอด และบางคนทำเพื่อความยิ่งใหญ่
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูทำให้ฉันสะดุ้งเบาๆ ก่อนจะต้องลอบกลืนน้ำลายแล้วพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อสะกดให้ตัวเองนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ภาวนาให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี แม้จะมีโอกาสน้อยนิดแต่ฉันขอแค่ให้ใครคนนั้นเป็นคนที่ฉันไม่รู้จัก และเขาเองก็ไม่รู้จักฉัน นอกจากนั้นก็ขอให้เขายอมรับเงินของฉัน ยอมให้ฉันชดใช้หนี้แทนสองผัวเมียนั่นก็พอ
“เข้ามา”
เสียงทุ้มเข้มที่เอ่ยอนุญาตดังมาจากด้านใน ผู้ชายที่เป็นคนเดินนำฉันมาหันมามองหน้าฉันนิดหน่อยก่อนจะส่งสายตาเพื่อส่งสัญญาณบางอย่างให้กับลูกน้องอีกสี่คนที่ยืนล้อมฉันเอาไว้ ซึ่งจากประสบการณ์จากการได้ทำงานให้คุณโอยามะมาหลายปี บอกฉันว่านั่นไม่น่าใช่สัญญาณที่ดีนัก
“เธอรออยู่ด้านนอกก่อน ฉันจะเข้าไปรายงานคุณโทชิแล้วเดี๋ยวจะออกมาตาม”
ยิ่งรู้ว่ามีลับลมคมใน ก็ยิ่งรู้ว่าไว้ใจไม่ได้ แต่ไหนล่ะทางเลือก ทำอะไรได้นอกจากยืนรอตามคำสั่งน่ะ!
“อืม” ฉันจำใจตอบออกไปสั้นๆ ก่อนจะถอยหลังออกมานิดหน่อย ในเวลาแบบนี้ป่วยการที่จะต่อรอง ดีไม่ดีถ้าเกิดอะไรขึ้นจะกลายเป็นฉันเสียเวลาเปล่า
นายคนนั้นหันไปส่งสัญญาณให้ลูกน้องสี่คนเฝ้าฉันเอาไว้อีกครั้ง ก่อนที่ตัวเองจะเอื้อมมือไปเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปด้านในเพียงคนเดียว เอาเป็นว่าอย่างน้อยเมื่อครู่ฉันก็ได้ยินชื่อของเจ้าของห้องทำงานตรงหน้าแล้ว และค่อนข้างมั่นใจว่าฉันไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้าคนที่ชื่อ ‘โทชิ’ มาก่อน ดังนั้นมีโอกาสเป็นไปได้ว่าเขาเองก็จะไม่รู้จักฉันเหมือนกัน
หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ยิ่งตอนนี้บ่ายคล้อยเข้าไปแล้วฉันก็ยิ่งร้อนใจ เพราะถ้าเย็นแล้วฉันยังกลับไปถึงบ้าน หรือถ้าคุณโยชิแวะไปที่บ้านแล้วรู้ว่าฉันไม่อยู่บ้านทั้งที่บอกเขาไปว่าไม่สบาย คงได้กลายเป็นเรื่องอีกเหมือนกัน
“เข้ามาได้”
ถ้าช่วงนี้ฉันตกใจบ่อยก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก จริงมั้ย?
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนออกมาช้าๆ เพื่อทำสมาธิ จากนั้นก็ก้าวเท้าตามนายคนนั้นที่เดินออกมาตามฉันเข้าไปภายในห้องทันทีที่ได้รับอนุญาต
แล้วก็รู้สึกเย็นวูบตั้งแต่ก้าวแรกที่ก้าวพ้นรัศมีประตูห้องเข้ามา ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำเอาฉันรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
“นายออกไปก่อน คุยกับเด็กนั่นจบแล้วฉันจะบอก”
เสียงคำสั่งที่ได้ยินทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นสบตากับคนออกคำสั่งในทันที
ฟู่ว์~
แล้วฉันก็ได้พบกับผู้ชายรูปร่างสูงแต่งตัวดูภูมิฐานที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานหลังใหญ่ที่น่าจะชื่อโทชิแบบที่ฉันได้ยินลูกน้องของเขาเรียกเมื่อครู่ ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นดูคมเข้ม นัยน์ดวงตาสีน้ำผึ้งดูสงบนิ่งและเยือกเย็น เขากำลังมองมาที่ฉันที่กำลังก้าวเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขาด้วยสายตาที่กำลังประเมินบางอย่างในตัวฉัน
หัวคิ้วของเขาคนนั้นคมเข้มเรียงเส้นสวย มันขมวดเข้าหากันนิดหน่อยราวกับเขากำลังแปลกใจที่เห็นว่าฉันเดินเข้ามาโดยไม่ต้องรอให้เขาออกคำสั่ง แต่เพียงไม่นาน เขาก็ปรับท่าทีให้ดูเหมือนปกติ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ยืดลำตัวขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินออกมาเบื้องหน้าโต๊ะทำงานหลังกว้างที่ก่อนหน้านี้ฉันเคยคิดว่ามันอาจเป็นสิ่งเดียวที่กั้นขวางระหว่างเราเอาไว้
ไม่ปฏิเสธเลยว่าแวบแรกที่ฉันเห็นเขา มันทำให้ฉันนึกถึงคุณโอยามะ เพียงแต่ความคิดต่อมาก็คือความโล่งใจที่ไม่ใช่ และที่สำคัญก็คือฉันมั่นใจมากขึ้นอีกหนึ่งระดับว่าเราไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน นั่นอาจทำให้ฉันรอดจากการถูกรายงงาน หมายถึงถ้าเขายอมให้ฉันจ่ายเงินใช้หนี้แทนสองผัวเมียนั่นน่ะนะ
ท่าทีที่สงบนิ่ง เงียบขรึม แต่กลับแฝงความอันตรายเอาไว้แบบนั้นของโทชิทำให้คนถูกจ้องอย่างฉันรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ทั้งที่อุตส่าห์โล่งใจไปได้เปราะหนึ่งแล้วแท้ๆ
“คนของฉันบอกว่าเธอเป็นลูกสาวของสองสามีภรรยานั่น”
คำถามแรกถูกเอ่ยออกถามออกมาโดยไม่มีการเกริ่นนำ ซึ่งฉันก็จำใจพยักหน้าตอบกลับไปแต่โดยดี
“ฉันถาม เธอตอบ นั่นคือสิ่งที่เธอควรทำ”
ได้ยินแบบนี้แล้วมันทำให้ฉันนึกถึงคุณคิราวะขึ้นมาในทันทีอีกเหมือนกัน เพราะเขาเองก็มักเป็นคนสั่งสอนและดุฉันด้วยสายตาและน้ำเสียงแบบนี้เสมอ ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน
“ใช่”
“ชื่ออะไร”
“ชื่อ...” ถ้าฉันบอกเขาว่าฉันชื่อริโกะ เขาจะเอะใจอะไรรึเปล่านะ
“คิดจะโกหกฉันอยู่เหรอ”
“ชื่อริโกะ” ฉันตัดสินใจตอบไปตามความจริงเพราะรู้ดีว่าการโกหกไม่ใช่ทางเลือกที่ควรทำ
แม้จะแอบกลัวว่าเขาอาจเคยได้ยินชื่อของฉันหรือคุ้นหู แต่อีกใจก็คิดว่าฉันคงไม่ได้ใช่ชื่อนี้คนเดียวในมารุหรอก และอย่างที่บอกว่าฉันค่อนข้างมั่นใจว่าฉันไม่เคยเจอผู้ชายคนนี้มาก่อน นั่นแปลว่าเขาไม่รู้จักฉัน ต่อให้เขาจะเคยได้ยินเรื่องของฉันมาบ้าง เขาก็ไม่ทีทางรู้ว่าหน้าตาของฉันเป็นยังไง ไม่อย่างนั้นเขาคงทักทายฉันหรือรีบยกหูต่อสายหาคุณโอยามะแล้ว
“ยินดีที่ได้รู้จักริโกะ ฉันโทชิ เธอคงรู้อยู่แล้วว่ามันจะดีกว่านี้ถ้าเราไม่ได้เจอกันในสถานการณ์และสถานะแบบที่กำลังเป็น”
รู้! แต่ว่าเขาจะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมาล่ะ
“เข้าเรื่องต่อเลยก็แล้วกัน คนของฉันบอกว่าเธอจะมาใช้หนี้แทนพ่อกับแม่ของเธอ”
“ใช่”
“เอาเงินมาจากไหน”
นั่นไม่น่าใช่เรื่องที่เขาควรสนใจสักนิด
“พวกเขาติดหนี้นายอยู่เท่าไหร่ก็ว่ามา”
“สิ่งที่เธอควรทำคือการตอบคำถามของฉันอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่การย้อนถาม เพราะนั่นจะทำให้เธอเป็นฝ่ายจนมุมเพราะฉันจะไม่หยุดถามจนกว่าจะได้คำตอบ” ผู้ชายที่ชื่อโทชิย้ำอีกครั้งก่อนจะก้าวถอยหลังกลับไปแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโต๊ะทำงาน จากนั้นก็เริ่มใช้สายตาคู่คมจ้องมองฉันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ซึ่งมันเป็นการกระทำที่ทำให้ฉันรู้สึกไม่ชอบใจเลยสักนิด
“ทำงาน”
“งานอะไร ขายตัว?”
ตัวเลือกที่ได้ยินทำให้ฉันรู้สึกหน้าขายิบไปหมด
“เปล่า”
“งั้นบอกสิว่าเธอทำงานอะไร ทำไมถึงได้มั่นใจนักว่าจะมีเงินมากพอที่จะเดินเข้ามาที่นี่ เพื่อใช้หนี้ให้พ่อกับแม่ของเธอ ท่าทางอายุยังน้อยแบบเธอ จะมีทำงานอะไรที่ได้เงินมากขนาดนั้นเว้นแต่อาชีพที่ฉันเพิ่งจะพูดไป”
“เอาเป็นว่าฉันไม่ได้ขายตัว”
“สนใจอยากขายมั้ย?”