บทที่ 1 เหลียงเฟิ่งเกอ
จูชิงชิง****กับลูกพี่ลูกน้องหญิงอีกสองคนยืนเรียงเป็นแถวอยู่บนบันไดพาด พยุงขอบกำแพงทอดสายตามองไปยังอีกฝั่งของกำแพง บริเวณใต้กำแพงฝั่งตรงข้ามคือสวนเงียบสงบอันงดงาม ภายในสวนมีเด็กหนุ่มชุดเขียวอายุประมาณสิบสี่ สิบห้าปีคนหนึ่ง เขานั่งหันข้างให้พวกนางอ่านตำราในมืออย่างจดจ่อ
ดวงหน้าของเด็กหนุ่มนั้นหล่อเหลางดงาม ผิวขาวสะอาดใส เส้นผมและขนคิ้วเป็นสีดำดุจน้ำหมึก นิ้วมือเรียวยาว รูปร่างสูงโปร่ง บุคลิกอ่อนโยน ทั้งหมดทั้งมวลนั้นช่างดูสมบูรณ์แบบ เหล่าคุณหนูตระกูลจูทั้งหลายต่างทอดสายตามองเขากันตาค้าง คิดในใจว่าบุรุษเช่นนี้แม้กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ก็คงเจือไปด้วยกลิ่นหอมจางของน้ำหมึก ท่านพี่ใหญ่มองแล้วก็เริ่มนึกถึงบุรุษล้ำเลิศสตรีงามล้ำในบทละครขึ้นมา นางอดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่าตนคือสตรีนางนั้น “ในอนาคตท่านพี่รองโจวจะต้องมีชื่อเสียงระบือนามเป็นแน่”
ท่านพี่รองที่ชอบขัดคอท่านพี่ใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร ฟังแล้วก็อดที่จะเยาะหยันมิได้ “ต่อให้เขามีชื่อเสียงระบือนาม แต่คนที่จะรอเขาอยู่ที่บ้านย่อมไม่ใช่เจ้าแน่นอน”
เช่นนั้นท่านพี่ใหญ่ก็หันมาค้อนวงใหญ่ “พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า”
ท่านพี่รองถลึงตาโต “ข้าว่าใครคนนั้นย่อมรู้ดี”
จูชิงชิงอมลูกกวาดเอาไว้ในปากเม็ดหนึ่ง นางมองซ้ายมองขวา ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกนางถึงทะเลาะกันได้ ทันใดนั้นท่านพี่ใหญ่ก็กระซิบพูดอะไรบางอย่างออกมา ทำให้ท่านพี่รองถึงกับต้องบันดาลโทสะ ผลักท่านพี่ใหญ่อย่างเต็มแรงไปทีหนึ่ง ท่านพี่ใหญ่ที่ไม่ทันตั้งตัวนางจึงส่งเสียงร้องออกมาอย่างโหยหวนก่อนจะร่วงตกลงสู่เบื้องล่าง
โชคดีที่สาวใช้ที่ช่วยพยุงบันไดอยู่ด้านล่างนั้นฉลาดมากพอ พวกนางรีบช่วยกันรับคุณหนูใหญ่ที่ร่วงลงมาจากกลางอากาศไว้ด้วยกัน กระนั้นท่านพี่ใหญ่จึงล้มทับร่างสาวใช้จนนอนกองแผ่หลากันเต็มพื้น ท่านพี่รองตกใจจนหน้าซีด หยาดน้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างมิอาจห้าม บันไดที่นางยืนอยู่โยกเอนคล้ายจะล้มลง พูดเสียงแผ่วออกมาอย่างน่าสงสารว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
คำเพิ่งจะพูดจบ เหล่าสาวใช้ก็ส่งเสียงร้องลั่นขึ้นมาเสียแล้ว “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ! โปรดสงบสติอารมณ์ลงก่อนนะเจ้าคะ อย่านะเจ้าคะ!”
ท่านพี่ใหญ่คำรามออกมาเสียงดังลั่น “นังคุณหนูรองนี่ทำข้าร่วงตกลงมา แล้วจะให้ข้าอภัยได้อย่างไร!” บันไดพาดพลันโยกไหวรุนแรง ทำให้ท่านพี่รองร่วงตกลงสู่พื้นเบื้องล่างพร้อมเสียงร้องไห้ดังลั่น เหล่าสาวใช้ต่างตกใจกรีดร้อง เบื้องล่างพากันวุ่นวายกันยกใหญ่ สองแม่นางต่างแข่งกันแผดเสียงร้องออกมา ไม่มีใครยอมใคร
เหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นเพียงในชั่วพริบตา ทำเอาลูกกวาดที่อยู่ในปากของจูชิงชิงเกือบจะหลุดลงไปในหลอดลม นางสำลักอยู่นานกว่าจะคายลูกกวาดออกมาได้ แล้วรีบยกมือตบหน้าอกสูดหายใจน้ำหูน้ำตาไหล
โจวเจียเซียนที่อยู่อีกฝั่งของกำแพงได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย เขาจึงแหงนหน้าขึ้นมอง แววตาของเขาสงบเรียบยิ่งนัก บรรยากาศรอบกายก็เงียบสงบ ดุจดังดอกกล้วยไม้ที่ผลิบานอยู่ในหุบเขาลึก สายตาของจูชิงชิงสบเข้ากับสายตาของอีกฝ่าย เช่นนั้นใบหน้าของนางก็ยิ่งร้อนฉ่า อยากยิ้มแต่ก็ไม่กล้า ขณะที่นางกำลังประหม่าอยู่นั้นเอง โจวเจียเซียนกลับเป็นฝ่ายที่ยกยิ้มให้นางก่อน ดวงตาของเขาเป็นสีดำ ประหนึ่งถูกปกคลุมด้วยไอหมอกจางๆ ยามแย้มสรวลริมฝีปากเป็นสีแดงชาด ฟันขาวสะอาด หล่อเหลามิอาจหาใดเปรียบ จูชิงชิงมองจนตะลึงค้างดวงตากลมโตดำขลับของนางพลอยโค้งเป็นทรงดวงจันทร์เสี้ยว หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ
ทันใดนั้นเสียงตะคอกเสียงหนึ่งก็ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมา “พวกเจ้าทำอะไรอยู่”
ทุกสิ่งทุกอย่างพลันชะงักงันญาติผู้พี่ทั้งสองหลบอยู่หลังสาวใช้ แต่จูชิงชิงกลับไม่ไปไหนทอดสายตามองไปยังนายท่านผู้เฒ่าจูที่เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าดุดันทีละก้าวๆ นางกลัวท่านปู่มาแต่ไหนแต่ไร กลัวจนกระทั่งลืมที่จะลงบันได ได้แต่เบิกตาค้างมองท่านปู่ด้วยความตกใจ
พี่สาวสองคนของนางก็กลัวท่านปู่มากเช่นกัน ท่านพี่ใหญ่ส่งเสียงร้องไห้ออกมาเป็นคนแรก “เพราะน้องสามสอดรู้สอดเห็น ถึงให้พวกเรามาแอบดูเป็นเพื่อนนางเจ้าค่ะ”
เช่นนั้นท่านพี่รองก็ร้องตาม แต่นางนั้นมีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าเล็กน้อย เพียงแต่พยักหน้าไม่หยุด ไม่ยอมพูดอะไรออกมาทั้งสิ้น นายท่านผู้เฒ่าจูมองไปทางจูชิงชิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จูชิงชิงยังคงยืนเหม่ออยู่บนบันได ทันใดนั้นถึงได้รู้สึกตัว รีบแก้ต่างออกมาว่า “ไม่ใช่ข้านะเจ้าคะ ท่านพี่ใหญ่...”
นางยังไม่ทันที่จะพูดจบ เสียงดังสนั่นราวอสนีบาตของนายท่านผู้เฒ่าจูก็ดังแทรกขึ้นมา “ยังไม่รีบไสหัวลงมาอีกหรือ เจ้าจะขายหน้าอยู่บนนั้นอีกนานแค่ไหนกัน”
จูชิงชิงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก นางแบะปากร้องไห้ออกมา ไม่มีทีท่าว่าจะยอมลงมาแม้แต่น้อย ที่โชคดีก็คือนางไม่ได้พูดความจริงออกมา ทำให้ทุกคนถึงค่อยโล่งใจ ถ้าหากคุณหนูสามพูดความจริงทั้งหมดออกมา คุณหนูใหญ่ยังจะออกเรือนเช่นไร ทั้งบรรดาคุณหนูบ้านสกุลจูคงชื่อเสียงป่นปี้ไปจนหมด
นายท่านผู้เฒ่าจูถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ออกคำสั่งสาวใช้ว่า “รีบเอานางหนูนี่ลงมาเถิด เอะอะโวยวายกันจนข้าเวียนหัวไปหมด”
“ข้าไม่ลง นอกเสียจากว่าพวกนางจะยอมรับผิด” จูชิงชิงยืนบิดผมเปียของตนอยู่บนบันได บิดไปมาอยู่สองสามที พลันก็รู้สึกขายหน้าขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะเหลียวมองโจวเจียเซียนอีกครา แต่ในสวนกลับไม่เหลือแม้แต่เงาร่างของโจวเจียเซียนอยู่เลย เขาจากไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ จูชิงชิงอดที่จะรู้สึกผิดหวังมิได้ นางเผลอเพียงวูบเดียวก็ถูกสาวใช้ฉุดลงมาจากบันได ร่างของนางถูกหิ้วประหนึ่งหิ้วลูกเจี๊ยบไปอยู่ตรงหน้าท่านปู่
ท่านพี่ใหญ่และท่านพี่รองถูกตีฝ่ามือกันคนละยี่สิบที ก่อนจะถูกขังในห้องห้ามออกไปไหนสิบวัน จูชิงชิงถูกตีฝ่ามือสิบที และห้ามกินข้าวเย็น มื้อเย็นวันนี้มีเสี่ยวหลงเปามันปูที่จูชิงชิงโปรดปรานที่สุด ท่านป้าใหญ่เป็นผู้ปกครองบ้าน ท่านพ่อของนางออกเดินทางไกลไม่อยู่บ้าน มารดาของนางก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอันใด นางขอร้องอยู่หลายครั้งกว่าจะมีอาหารจานนี้ แต่น่าเสียดายนักที่นางอดกิน จูชิงชิงรู้สึกรวดร้าวใจยิ่งนัก อดคิดไม่ได้ว่านางคือคนที่โชคร้ายและน่าสงสารที่สุดในวันนี้
คนที่อยากมาแอบดูท่านพี่รองโจวคือท่านพี่ใหญ่แท้ๆ นางจึงให้บ่าวไพร่มาสืบจนทราบว่าท่านพี่รองโจวกำลังอ่านตำราอยู่ที่นี่ ท่านพี่รองเป็นคนเสนอความคิดสั่งให้สาวใช้ยกบันไดพาดมา ส่วนนางก็แค่เพียงเดินผ่านมาเท่านั้น กลับถูกพวกนางบีบบังคับให้อยู่เป็นเพื่อนด้วย แต่เหตุใดพวกนางได้กินอาหารเย็นมีเพียงนางที่ต้องอดด้วยเล่า ที่สำคัญคือไม่มีคนเชื่อคำพูดของนางแม้แต่คนเดียว ต่างกล่าวหาว่านางซุกซนก่อเรื่อง ท่านป้าใหญ่กับท่านป้ารองต่อว่าเสียงฉอดๆ บอกให้ท่านแม่อบรมสั่งสอนนางให้ดี และท่านแม่ก็ไม่โต้กลับแม้สักคำเดียว
หากเป็นเวลาอื่นก็ช่างเสียเถอะ แต่อาหารเย็นวันนี้มีเสี่ยวหลงเปามันปู จูชิงชิงยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ โมโหจนเดินไปในสวน ปีนขึ้นต้นหอมหมื่นลี้ต้นใหญ่ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกิ่งไม้ด้วยความขุ่นเคือง
พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า เหลือเพียงแสงตะวันยามอัสดงเสี้ยวหนึ่งที่คั่นกลางระหว่างนภาและผืนดิน จูชิงชิงรู้สึกหิวจนทนไม่ไหว อยากกลับไปแต่ก็รู้สึกเสียศักดิ์ศรี นางทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ทั้งน้อยใจ แต่สุดท้ายก็ถูกกลิ่นหอมกรุ่นของดอกหอมหมื่นลี้กล่อมจนง่วงงุน
ท่ามกลางความฝัน จู่ๆ ก็มีกลิ่นหอมของอาหารโชยเข้ามา มันยั่วยวนจนชวนให้ท้องร้อง จูชิงชิงเดาะลิ้นเบาๆ เห็นทีความตะกละตะกลามในใจของนางคงแผลงฤทธิ์ออกมาอีกแล้ว นางได้แต่ยกมือปิดหน้า ตัดสินใจว่าจะลืมกลิ่นหอมนี้ไปเสีย แต่กลิ่นหอมนั้นกลับวนเวียนอยู่ตรงหน้า ล่อลวงให้นางต้องกลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งแล้ว
ไม่ถูก! นี่ต้องมีคนกลั่นแกล้งนางเป็นแน่ จูชิงชิงพลิกกายลุกขึ้นนั่ง ท่ามกลางความมืดนางมองเห็นดวงตาส่องประกายสีฟ้าจางๆ คู่หนึ่งเช่นนั้นนางก็ถึงกับตกใจจนส่งเสียงร้องดังลั่น “ผี!”
ฝ่ามืออุ่นข้างหนึ่งปิดปากของนางอย่างไว้อย่างคล่องแคล่ว คนผู้นั้นพ่นลมหายใจอุ่นรดลงบนใบหน้าของนาง ชวนให้รู้สึกจั๊กจี้ยิ่งนัก อีกทั้งยังมีกลิ่นหญ้าหอมที่คุ้นเคยโชยมาจากร่างของอีกฝ่าย จูชิงชิงปัดมือข้างนั้นออกด้วยความโมโห ย่นคิ้วพลางกล่าวว่า “เหลียงเฟิ่งเกอ! เจ้าคนสารเลว!”
เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาคราหนึ่ง แล้วคลายมือของนางออก พูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ก่อเรื่องอีกแล้วหรือ รู้ว่าเจ้าไม่ได้กินข้าวเย็น ข้าจึงนำมาส่งให้โดยเฉพาะหรอกแต่เจ้ากลับปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ นางหนูใจดำ”
ยามที่เขาพูดว่า “นางหนูใจดำ” ยังจงใจบีบเสียงให้ฟังดูดัดจริต ชวนให้คนฟังรู้สึกขนพองสยองเกล้า จูชิงชิงลูบหลังมืออยู่สองสามที รอยยิ้มพลันปรากฏบนใบหน้า “มีอะไรอร่อยๆ ให้ข้ากินบ้าง”
จันทรากระจ่างฟ้า แสงจันทร์สาดส่องลงมาลอดผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งใบ เด็กหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเอนหลังพิงกิ่งไม้อย่างเกียจคร้าน หรี่ตามองจูชิงชิง “พูดเพราะๆ ให้ข้าฟังสักคำก่อน”
“ท่านพี่!” จูชิงชิงยิ้มประจบ ดวงตากลมโตส่องประกายเรืองรอง สองมือประสานอยู่ที่หน้าอก แลดูคล้ายกระรอกอ้วนแสนตะกละตัวหนึ่ง
“เด็กดี” เหลียงเฟิ่งเกอแย้มยิ้ม หยิกแก้มยุ้ยๆ ของนางทีหนึ่ง ยื่นกล่องใบหนึ่งไปตรงหน้านาง “ห้ามเจ้าเรียกคนอื่นแบบนี้”
สิ่งที่อยู่ในกล่องคือเสี่ยวหลงเปามันปูที่จูชิงชิงเฝ้าถวิลหาทุกค่ำเช้า ดวงตาทั้งคู่ของจูชิงชิงพลันส่องประกายวาววับ หยิบจานใบเล็กออกมาอย่างคล่องแคล่ว คีบอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ ขยับ เตรียมพร้อมเจาะรู ลิ้มรสน้ำแกงในเสี่ยวหลงเปา
ภายในดวงตาเรียวยาวที่เชิดขึ้นเล็กน้อยของเหลียงเฟิ่งเกอฉายแววขบขัน เขาตบหลังมือขาวๆ อวบๆ ของจูชิงชิงทีหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ พูดเสียงรังเกียจว่า “สกปรกหมดแล้ว!”จากนั้นเขาก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าเปียกผืนหนึ่งออกมาดังเล่นกล คว้ามือของจูชิงชิงเข้ามาเช็ดด้วยความบรรจง
จูชิงชิงขนลุกไปทั้งกาย “ทำไมอยู่ๆ เจ้าถึงดีกับข้าเช่นนี้”
นางนอนอยู่ท่ามกลางดอกหอมหมื่นลี้มานาน เส้นผมและผิวกายล้วนถูกย้อมด้วยกลิ่นหอมหวานของบุปผา เหลียงเฟิ่งเกอสูดกลิ่นหอมนั้นเข้าไปเสียเต็มปอด ก่อนที่จะหดมือกลับอย่างรวดเร็วประดุจถูกน้ำร้อนลวก พูดขึ้นอย่างเหย้าหยอกว่า “ทำไมข้าต้องดีกับหมูน่ะหรือ นั่นก็เพราะว่าข้าอยากกินเนื้อหมูน่ะสิ”
จูชิงชิงมองค้อนเขาวงใหญ่ ย้อนถามเสียงสูงว่า “รีบพูดมาเถอะ จะให้ข้าช่วยอะไรเจ้าอีก”
เหลียงเฟิ่งเกอมองนางนิ่ง ยามที่สายตาจับจ้องอยู่ตรงเนินอกของนางที่นูนขึ้นน้อยๆ คู่นั้น ประกายแสงในดวงตาก็ดูล้ำลึกขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย กระนั้นน้ำเสียงยังคงหาความจริงจังมิได้ “เจ้าโตแล้ว รู้จักคิดเรื่องบุรุษแล้ว”
“แค่กๆ!” จูชิงชิงเกือบจะสำลักน้ำแกงในเสี่ยวหลงเปา ก่นด่าออกมาทันทีหลังจากที่ไอเสร็จ “เจ้าช่างปากเสียยิ่งนักคิดเรื่องบุรุษอะไรกัน ข้าไม่ใช่สตรีต่ำทรามเสียหน่อย!”
แค่คิดเรื่องบุรุษก็เป็นสตรีต่ำทรามแล้วหรือ เหลียงเฟิ่งเกอส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เห็นด้วยว่า “ใช่ เจ้าพูดถูก เจ้ามิใช่สตรีต่ำทราม อย่างมากก็เป็นได้เพียงเด็กสาวที่ต่ำทรามเท่านั้น”
จูชิงชิงกินเสี่ยวหลงเปาหมดไปชิ้นหนึ่งถึงเข้าใจความหมาย โผเข้าไปจะบีบคอเขา “เจ้าคนน่ารังเกียจ!”
เหลียงเฟิ่งเกอยิ้มออกมาน้อยๆ แสร้งทำเป็นยับยั้งนางไว้ได้ด้วยความบังเอิญ “ชิงชิง ถ้าอย่างไรข้าให้ท่านพ่อไปพูดกับท่านปู่ของเจ้า ให้เจ้าแต่งงานกับข้าดีหรือไม่”
การเคลื่อนไหวของจูชิงชิงพลันชะงักงัน ไม่ต้องลูบนางก็รู้ว่าใบหน้าของตนนั้นคงร้อนจนน่าตกใจ ทว่า นางกลับหวนนึกถึงรอยยิ้มเงียบสงบของโจวเจียเซียนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางพูดออกมาด้วยความโมโหว่า “ถ้าเจ้าพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้ว ใครจะแต่งงานกับคนชั่วอย่างเจ้ากัน”
ใบหน้าครึ่งซีกของเหลียงเฟิ่งเกอถูกแสงจันทร์สาดส่องจนขาวนวล อีกครึ่งซีกถูกปิดซ่อนไว้ท่ามกลางเงามืดของกิ่งใบ เขายิ้มด้วยท่าทีไม่จริงจังนัก “ยังบอกว่าไม่ได้คิดเรื่องบุรุษอีกหรือ แล้วเจ้าหน้าแดงทำไมกัน หากให้ข้าเดา เจ้าคงหลงชอบคนชั่วแซ่โจวนั่นเข้าแล้วสินะ”
“ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว” จูชิงชิงมีความรู้สึกเหมือนความในใจที่มิอาจเปิดเผยกำลังถูกเปิดโปงออกมาฉับพลัน นางทั้งอับอายทั้งรู้สึกถูกบีบคั้น วางเสี่ยวหลงเปามันปูสุดโปรดลง ลงจากต้นไม้อย่างเงียบๆ เตรียมจะเผ่นหนี
เหลียงเฟิ่งเกอไม่ได้รั้งนางไว้ เขาไม่ได้ส่งเสียงออกมาสักนิด จูชิงชิงรู้สึกใจหวิว เดินไปไม่กี่ก้าวก็หันกลับมามองอีกครั้ง เห็นเพียงเหลียงเฟิ่งเกอนั่งอยู่บนกิ่งไม้ไม่ขยับเขยื้อน ชายเสื้อสีขาวราวหิมะโรยตัวลงจากกิ่งไม้ ถูกแสงจันทร์สาดส่องจนทอประกาย
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจของจูชิงชิงจึงรู้สึกรวดร้าว นางพูดออกมาเสียงเบาว่า “จากนี้ไปเราอย่าเล่นกันแบบนี้อีกเลย ท่านแม่บอกว่าข้าโตแล้ว จะทำตัวไม่เรียบร้อยเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ มิฉะนั้น...” มิฉะนั้นจะถูกบ้านสามีในอนาคตรังเกียจ
เหลียงเฟิ่งเกอส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ไม่ได้สนใจนาง
จูชิงชิงเห็นว่าเขามีท่าทีดุดัน เช่นนั้นก็ได้แต่หมุนตัวเดินจากไป เดินไปได้เพียงไม่นาน นางกลับได้ยินเสียงเบาหวิวของเหลียงเฟิ่งเกอดังตามหลังมา “จูชิงชิง หากเจ้ากล้าเรียกบุรุษอื่นว่าท่านพี่อีก ข้าจะฆ่าเขาเสีย!”
จูชิงชิงตะลึงไปชั่ววูบหนึ่ง ในใจของนางเผลอคิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แต่พริบตาต่อมาก็รู้สึกว่าคงเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นเท่านั้น นางก้มหน้าพูดว่า “เจ้ารีบไปเถอะ หากท่านปู่ข้ารู้ว่าเจ้าแอบเข้ามาอีกแล้วจะต้องโมโหแน่ เกิดเป็นเรื่องขึ้นมาจะไม่น่าดู” นางมิได้สนใจว่าเหลียงเฟิ่งเกอจะได้ยินหรือไม่ รีบเดินจากไปในทันใด
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น