ทุกอากัปกิริยาของเปลวที่มีต่อพริม ล้วนอยู่ในสายตาของทรงกลดและหมู่คณะ หลายๆครั้งที่พรานขะยีแอบอมยิ้มกับทรงกลด เมื่อเห็นใบหน้าที่เบิกบานของเปลว เพราะเก็บความในใจเอาไว้ไม่มิด
“จะพักสักครู่ไหม”
เปลวเอ่ยถามพริม เมื่อเห็นหยาดเหงื่อใสพร่างรินออกมาเป็นสาย จากไรผมที่เนินหน้าผากนูนสวย
“ไหวค่ะ” พริมตอบ
แม้จะเหนื่อย แต่ก็แค่นยิ้มออกมาได้อย่างไม่ย่อท้อ
“ถ้าเหนื่อย…ถ้าเดินไม่ไหว ก็บอกผมนะครับ” เปลวกล่าวเบาๆ
“ถ้าเดินไม่ไหวก็อย่าฝืนนะครับคุณพริม เปลวอุตส่าห์อาสาจะอุ้มให้…อย่าให้เพื่อนผมเสียน้ำใจนะครับ”
ทรงกลดกระเซ้าออกมาเสียงดัง เรียกเสียงหัวเราะลั่นให้กับการเดินทางที่สีหน้าของทุกคนเริ่มออกอาการเหนื่อยล้า
“อย่าให้พริมต้องเป็นภาระถึงขั้นให้คุณเปลวอุ้มเลยค่ะ” หญิงสาวกล่าวเบาๆ
ตลอดเวลาของการเดินทาง ร่างของพริมแทบไม่หลุดรอดจากสายตาระแวดระวังของเปลวแม้เสี้ยววินาที ในระหว่างการเดินทาง…มีบ้างที่เปลวนึกน้อยใจว่าพริมยังเก็บอาการเอาไว้มิดชิด
มีหลายๆครั้งที่เดินอยู่ใกล้จนเกือบชิดกัน หากพริมก็เก็บอาการได้สนิท
ไม่ต้องพูดถึงมันตรงๆก็ได้…..
เปลวบ่นพึมพำในใจ พริมทำไม่รู้ไม่ชี้ ต่างจากเปลวที่ครุ่นคิดถึงฉากรักร้อนเมื่อคืน…ตลอดการเดินทาง
‘ขอแค่รอยยิ้มหวานๆ ก็ชื่นใจได้ทั้งวัน แทบไม่ต้องกินข้าวกินปลา แย้มมันออกมาสักนิด…..ว่าเมื่อคืน ทำไมอยู่ๆก็วิ่งหนีเขา หัวใจทำด้วยอิฐด้วยปูนหรืออย่างไร? ถึงได้เก็บอาการเอาไว้ได้สนิท’
ขณะที่เท้ายังคงย่ำเดินไปข้างหน้า ลึกเข้าไปในผืนป่าที่รับรู้ได้ถึงกระแสลมเย็นหอบใหญ่ที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ถึงแหล่งที่มาของมัน ยิ่งลึกเข้าไป ผืนไพรก็ทวีความยะเยียบเย็นมากขึ้นทุกทีๆ เสียงของพรานขะยีและลูกหาบที่เดินรั้งท้าย กำลังสนทนากันถึงเรื่องราวบางอย่าง
ในช่วงหนึ่งที่ทุกคนหยุดพักเหนื่อย แม้โคนต้นไม้ใหญ่ที่พรานขะยีและลูกหาบทรุดกายลงนั่งอยู่นั้น จะห่างจากจุดที่เปลวและพริมนั่งพัก ทว่าเสียงสนทนาระหว่างพรานชราและลูกหาบ กลับได้ยินชัดเจนจนพริมรู้สึกแปลกใจ กระแสเสียงทุ้มพร่าของพรานเฒ่า…เหตุใดพริมจึงได้ยินชัดในทุกถ้อยคำ?
ไม่เพียงเท่านั้น พริมเริ่มรู้สึกถึงประสาทรับรู้ที่ไวต่อกลิ่นรายรอบกายขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ ได้กลิ่นดอกไม้ป่าที่รวยรินมาไกลๆ ได้กลิ่นปัสสาวะและมูลของสัตว์เท้ากลีบ และสัตว์นักล่าที่ประกาศอาณาบริเวณของมันด้วยกลิ่นและปัสสาวะ
อีกสิ่งในความเปลี่ยนแปลงที่หญิงสาวรู้สึกได้…คือสายตาที่สามารถมองเห็นภาพได้คมชัดกว่าเก่า แม้จะเป็นการมองเข้าไปในความมืดครึ้มของพงไพรเบื้องหน้า
‘มันเกิดอะไร?’
หญิงสาวเริ่มสงสัยในความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น
ยามเย็นที่ดวงตะวันใกล้ลับลา ดวงกลมแดงเหมือนไข่ดาว คล้อยเคลื่อนลงไปกว่าค่อนผืนฟ้า ดูใหญ่โตกว่าปกติ ลดลงต่ำจนแทบแตะสันเขาที่ทอดแนวขนานไปกับตีนฟ้าซึ่งถูกย้อมเอาไว้ด้วยสีส้มแดงจากลำแสงสุดท้ายของวัน เป็นแสงสีของผืนฟ้าในยามโพล้เพล้ ใกล้พลบค่ำ ที่เรียกต่อๆกันมาว่าผีตากผ้าอ้อม ซึ่งแท้จริงมันเกิดจากการกระเจิงของคลื่นแสงแต่ละสี ที่มีความยาวคลื่นไม่เท่ากัน
“เดินไหวไหมครับ?” เปลวถาม
พร้อมกับยื่นมือใหญ่ออกไปให้หญิงสาวที่ก้าวตามมาช้าๆ ในบางช่วงที่ต้องเดินข้ามสันดอนซึ่งลดหลั่นและต่างระดับ ที่บางช่วงบางตอนของมันอาจทำให้ลื่นล้มได้ง่ายๆ จนต้องเอื้อมมือรับ
“ไหวค่ะ” หญิงสาวแค่นยิ้มให้ ปฎิเสธมือที่ยื่นให้
แววตายังคงเข้มแข็ง แม้เลือดในกายกำลังฉีดซ่านแรงเพราะออกแรงไปมาก หัวใจก็เต้นแรง เห็นได้จากเหงื่อที่ไหลคล้อยลงข้างพวงแก้มระเรื่อแดง ใบหน้าสวยหวานไม่อาจซุกซ่อนความอ่อนล้า อิดโรย เอาไว้ได้ แต่ละก้าวจึงเริ่มเชื่องช้าเพราะเจ็บเท้า รู้สึกได้ว่าแรงส่งจากต้นขา กำลังอ่อนล้าลงเรื่อยๆ
“ผมช่วยนะครับ” มือใหญ่ของเขายื่นให้เธออีกครั้ง ทั้งที่ใจจริง…นึกอยากอุ้มใจแทบขาด
คราวนี้เธอไม่ปฏิเสธ ยินยอมให้ชายหนุ่มจับจูงมือน้อยๆของเธอเบาๆ
เปลวรู้สึกดีที่หล่อนตอบรับการช่วยเหลือจากเขา ค่อยๆจูงมือน้อยๆด้วยความระมัดระวัง ก้าวไปบนทางดินแคบๆที่อุ้มความชื้นเอาไว้จนเหนอะพื้นรองเท้า
“ว้าย…!!!!”
พริมอุทานลั่น
กิ้งกือตัวใหญ่ยาว สีน้ำตาลเข้ม อ้วนกลมกว่าที่เคยเห็นตามสนามหญ้าที่หน้าบ้านหลายเท่า กำลังเร่งซอยฝีเท้าน้อยๆที่มีมากกว่าร้อยขา เหมือนขนแปลงที่ขยับถี่ รีบเร่งตัดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ทว่ามองอย่างไรก็ยังดูว่ามันเชื่องช้า แม้มันจะเร่งจนสุดฝีเท้าน้อยๆของมัน เมื่อรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากฝีเท้าของผู้มาเยือนที่มันรู้สึกได้ เพื่อให้รอดพ้นจากการถูกเหยียบจากมนุษย์ที่กำลังย่างกรายเข้ามาในถิ่นฐานอันเป็นที่อยู่อาศัยของมัน
“ไม่ต้องกลัวนะครับ…เจ้าตัวร้อยขาพวกนี้ พอรู้ว่าเราเข้าไปใกล้ มันก็หนี” เปลวปลอบ
“มีพิษไหมคะ?” หญิงสาวเริ่มสงสัย ใบหน้าหวานช้อนชำเลืองขึ้นถาม
เปลวถือโอกาสชวนคุยในทันที
รู้สึกเหมือนกับว่าความทรงจำในวันก่อน คำถามเก่าๆ เมื่อครั้งที่เปลวเคยเป็นมัคคุเทศก์นำทางในป่า ค่อยๆระลึกกลับมาอีกครั้ง
“กิ้งกือ จัดว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีพิษครับ มีเขี้ยวเล็กๆเอาไว้ป้องกันตัวด้วยการกัด แต่ไม่ถึงตาย แค่ปวดบวม พิษของมันเป็นสารจำพวก ‘เบนโซควิโนน’ ซึ่งมีกลิ่นเหม็นมาก กลิ่นเหมือนน้ำยาขัดห้องน้ำเลยทีเดียว” เปลวอธิบาย
ทรงกลดที่เดินนำหน้าอยู่ในขณะนั้น หันกลับมาแซวว่า
“คุณเปลวเคยจับมันขึ้นมาดมแล้วใช่ไหมครับ…ถึงได้รู้ว่ามันเหม็น”
คำถามนั้นเรียกเสียงหัวเราะลั่นจากทุกคน ก่อนที่ทรงกลดจะถามต่อ
“กิ้งกือมี่กี่ขาครับคุณเปลว?”
“อืม…ไม่เคยจับมันมานั่งนับซะด้วยสิ วันหลังต้องลองจับมานับ รู้แต่ว่าถ้าขึ้นชื่อว่าขา มันก็น่าจะลงด้วยเลขคู่ ถ้าขาของกิ้งกือตัวนั้นไม่พิการ” เปลวตอบอย่างนึกสนุก
เมื่อครั้งหนึ่งในอดีต เพราะความที่เปลวชอบศึกษาธรรมชาติ ทำให้รู้ว่าขาของกิ้งกือนั้นมีตั้งแต่ 300-600 ขา แล้วแต่สายพันธุ์ แตกต่างกันไปตามถิ่นที่อยู่อาศัย
“แล้วลูกกิ้งกือล่ะคุณเปลว…มีกี่ขา?” ทรงกลดยังไม่หายสงสัย
เปลวนิ่งคิดนิดนึง…..
รู้ทันว่ามันเป็นปัญหาเชาว์ ก่อนจะตอบออกไปอย่างรู้ทันคนถาม
“ก็เท่ากับพ่อแม่ของมันนั่นแหละ”
นึกในใจว่าในเมื่อไม่รู้ว่าพ่อแม่กันมีกี่ขา แล้วจะรู้ได้อย่างไร? ว่าลูกมันมีกี่ขา
พริมกับพรานขะยีหัวเราะออกมาเบาๆด้วยความขบขัน
อันที่จริง…เปลวยังจำได้ไม่ลืม จากตำราที่เคยศึกษาว่าเจ้าลูกกิ้งกือเกิดใหม่จะมี 6 ขา และขาของมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อโต แต่ก็รู้ทันว่าที่ทรงกลดถามนั้นคือปัญหาเชาว์ มากกว่าต้องการรู้ความจริงในข้อนี้
แค่กิ้งกือตัวหนึ่งที่เดินผ่านหน้า ก็ทำให้มีเรื่องสนทนาระหว่างกัน ทุกๆอย่างรอบตัวเริ่มผ่อนคลาย ในวินาทีที่ทุกคนกำลังเหนื่อยล้า ยังมีเสียงหัวเราะและความรื่นรมย์เล็กๆน้อยๆ สอดแทรกเข้ามาให้เห็น ทั้งสายลมเย็น กลิ่นหอมรื่นชื่นใจของดอกไม้ป่าหลากสีสันที่เลื้อยระขึ้นพันรอบเถาวัลย์ระย้าย้อย ห้อยจากต้นไม้ใหญ่ ระโยงระยางลงมาถึงพื้น
(ฝากเรื่องใหม่ที่กำลังจะลงขายอีบุ๊คด้วยนะครับ)
.............................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................