ลุยแดนมนุษย์กินคน
42
ตอน
11.5K
เข้าชม
47
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
11
เพิ่มลงคลัง

ตอนที่ ๑ เปิดเรื่อง

Day 1

ท่าอากาศยานกรุงโมเรสบี ปาปัวนิวกีนี เวลาสิบเอ็ดนาฬิกา ยี่สิบนาที วันอาทิตย์ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๘

หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและรอจนได้กระเป๋าเดินทางแล้ว ชายหนุ่ม ๓ คนก็เดินออกมาจากประตูด้านหนึ่ง แต่ละคนอยู่ในวัยเบญจเพส แต่งกายคล้ายๆ กัน คือสวมเสื้อแขนยาวพับปลายแขนขึ้นเล็กน้อย เสื้อตัวนอกเป็นกั๊กสำหรับใส่เดินป่า กางเกงขายาว ๖ กระเป๋า สวมรองเท้าหุ้มข้อทิมเบอร์แลนด์รุ่นพรีเมี่ยมคลาสสิก บนบ่าสะพายเป้และจูงกระเป๋าเดินทางคนละใบ

ทั้งสามเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่เด็ก จึงสนิทคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี คนแรกหน้าตาหล่อแบบคมเข้ม คนที่สองหล่อน้อยหน่อยและรูปร่างบอบบาง คนที่สามสูงชะลูดแต่สมส่วน

จุดประสงค์ที่พวกเขามาประเทศปาปัวนิวกีนี เพื่อตรวจงานที่เหมืองเพชรอันเป็นธุรกิจของครอบครัวมาหลายสิบปีแล้ว

ภายในอาคารสนามบินไม่กว้างใหญ่มากนัก แต่สภาพทั่วไปสวยงาม ประดับตกแต่งด้วยสีสันสดใส ผู้โดยสาร พนักงานสายการบิน และเจ้าหน้าที่ของสนามบิน เดินกันขวักไขว่

สิ่งหนึ่งที่ดูจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเหมือนกันทุกสนามบินในโลก เมื่อฝ่ายที่มารอรับผู้โดยสารขาเข้าซึ่งยืนออกันอยู่ด้านนอกแผงเหล็กกั้นพื้นที่ ต่างมีป้ายที่ยกชูให้เห็นแต่ไกล ป้ายเหล่านั้นเป็นชื่อบุคคลบ้าง ชื่อบริษัทบ้าง หรือชื่ออะไรต่ออะไร สื่อให้ผู้โดยสารต่างถิ่นที่เพิ่งเดินทางมาถึงได้รู้ว่ามีคนรอรับอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวตนเองจะเคว้งคว้างโดดเดี่ยวจนไปไหนไม่ถูก

“โน่นไง คนจากเหมืองเรา” หนุ่มร่างบอบบางพูดขึ้นดังๆ พร้อมชี้มือไปที่คนกลุ่มใหญ่พร้อมป้ายนับสิบอันชูกันสลอน

อีกสองหนุ่มรีบมองตาม แล้วก็เห็นป้ายกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดง เขียนตัวอักษรสีขาวว่า “Ma Teh Boo Doo Diamond Mines” ซึ่งหมายถึงเหมืองเพชรมาเทบูดูนั่นเอง

ทั้งสามรีบจูงกระเป๋าเดินออกจากบริเวณเฉพาะผู้โดยสารขาเข้า ขณะเดียวกันสุภาพบุรุษร่างเตี้ยแบบมะขามข้อเดียวก็พาตัวเดินเข้ามาหา ชายผู้นี้หน้าตากร้านจนประเมินอายุไม่ถูก แต่ก็อยู่ในวัยเกินครึ่งคนแล้ว ผิวสีกาแฟใส่คอฟฟี่เมทแค่ช้อนเดียว ผมหยิก แต่งกายลำลองชุดพื้นเมือง

“คุณพัฒนะ คุณนิตย์ คุณสินาด ใช่มั้ยครับ” เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ผู้เขียนแปลเป็นไทยซะให้รู้แล้วรู้รอด เพื่อผู้อ่านจะได้อ่านง่ายๆ “ยินดีต้อนรับสู่ปาปัวนิวกีนี ผม...สเปนเซอร์ วาฮูตู ผู้จัดการเหมืองเพชรมาเทบูดูครับ”

หนุ่มหล่อนามพัฒนะ ยื่นมือให้มิสเตอร์วาฮูตูสัมผัส

“ขอบคุณครับ ท่านผู้จัดการ ที่กรุณามารับพวกเรา ผม...พัฒนะครับ”

“เรียกผมว่าวาฮูดีกว่า จะได้เป็นกันเองหน่อย” แล้วนายผมหยิกก็หันไปขอจับมือกับอีกสองหนุ่ม “สวัสดีครับ ท่านไหนคือคุณนิตย์และคุณสินาด”

เจ้าของร่างสูงโย่งยกมือขวาขึ้นเหนือศีรษะทันที

“ผมสินาดครับ ส่วนเพื่อนผมที่ตัวโตกว่าลูกหมาหน่อยนึง คืออ้ายนิตย์” พูดพลางตบบ่าเพื่อนเกลอ แล้วพูดเป็นภาษาไทย “ไหว้พี่เขาสิวะแก”

“ทะลึ่งน่ามึง” นิตย์ค้อนปะหลับปะเหลือก “แค่เขย่ามือก็พอ ไม่ต้องถึงกับไหว้หรอกโว้ย”

หลังจากทักทายกันแล้ว มิสเตอร์วาฮูตูก็สั่งให้ลูกน้อง ๒ คนที่มาด้วย ยกกระเป๋าเดินทางพร้อมเป้ของสามหนุ่มไปไว้ที่รถ ก่อนจะเดินนำผู้มาเยือนออกจากอาคารผู้โดยสารขาเข้า เพื่อไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ด้านนอก ขณะเดินตามหลังเจ้าของถิ่น สินาดกล่าวกับเพื่อนทั้งสองด้วยภาษาไทย

“อีตานี่บุคลิกไม่น่าเป็นผู้จัดการเหมืองเพชรเลยแฮะ เตี้ยก็เตี้ย หน้าตาท่าทางก็เด๋อด๋า ยังกะคนขับตุ๊กๆ แถวบ้านเรา แกสองคนว่ามั้ย”

“แกจะวัดคนที่หน้าตาไม่ได้หรอกอ้ายนาด” พัฒนะกล่าวตอบ “ถึงหน้าตาแบบนี้ก็ต้องมีความรู้มากกว่าพวกเรา ไม่งั้นจะเป็นผู้จัดการเหมืองเพชรได้ยังไง”

นิตย์พยักพเยิดให้ดูเส้นผมบนศีรษะวาฮูตู

“แต่กันว่าเหมือนพวกซูลูมากกว่าว่ะ ดูซิ - ผมหยิกหยองทั้งกบาล นี่ถ้าแกแต่งตัวแบบคนป่า แล้วถือหอกถือโล่ละก็...ใช่เลย”

สามหนุ่มหัวเราะคิกคัก แต่แล้วก็ต้องหยุดหัวเราะ เมื่อผู้จัดการเหมืองเพชรมาเทบูดูหมุนตัวกลับมา

“ชาวปาปัวฯจะลักษณะแบบนี้แหละครับ” เขาพูดภาษาไทยฃัดถ้อยชัดคำ “คือดูคล้ายพวกกีนีในแอฟริกา แต่ผมหยิก ถือเป็นพวกกีนีเผ่าพันธุ์ใหม่ จึงเรียกว่าปาปัวนิวกีนี เพราะคำว่าปาปัวเป็นภาษามาเลย์แปลว่า ผมหยิก ครับ”

พัฒนะ นิตย์ สินาด อ้าปากหวอลืมตาโพลงพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ไม่คาดฝันว่าผู้จัดการเหมืองเพชรจะพูดไทยได้ สักครู่สินาดก็หัวเราะลั่นจนคนในบริเวณนั้นเหลียวมามองด้วยความตกใจ เพราะนึกว่ามีคนสติแตกหลุดเข้ามาอาละวาดในอาคารสนามบิน

“ฮ่ะฮ่ะฮ่า คุณวาฮูพูดไทยได้ มุขนี้จากสามเกลอ พล นิกร กิมหงวน เลยนะครับเนี่ย ที่ชาวต่างชาติไม่ว่าประเทศไหน พอมาเจอกับสามเกลอเป็นต้องพูดไทยชนิดน้ำไหลไฟดับทุกคน ผมว่าเดี๋ยวคุณวาฮูต้องบอกว่าเคยเรียนที่เทพศิรินทร์แหงๆ ”

วาฮูตูยิ้มเห็นฟันขาว

“ไม่ใช่ครับ คนต่างชาติเคยเรียนที่เทพศิรินทร์น่ะ มุขส่วนตัวของคุณ ป. อินทรปาลิตโดยเฉพาะครับ อย่าไปเลียนแบบท่าน เพราะท่านเคยเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ เลยให้ตัวละครชาวต่างชาติที่พูดไทยได้ต้องเรียนที่นั่นเหมือนกัน”

เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างครื้นเครง แล้วอ้ายหนุ่มหน้าหล่อเข้มก็เอ่ยขึ้น

“คุณวาฮูพูดภาษาไทยได้ชัดขนาดนี้ ผมว่าต้องเคยอยู่เมืองไทยมาก่อน”

“ครับ ผมเคยอยู่เมืองไทยเกือบ ๓๐ ปี ตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ ก่อนจะกลับมาบ้านเกิดคือที่นี่ พร้อมภรรยาซึ่งเป็นคนไทย แต่เรื่องมันยาวครับ มีโอกาสผมจะเล่าให้ฟังละกัน”

การสนทนาสิ้นสุดลง เมื่อทุกคนเดินมาถึงบริเวณที่จอดรถ วาฮูตูชี้ไปยังรถหลายคันริมบาทวิถี หนึ่งในนั้นคือรถลีมูซีนสีดำเป็นมันสะท้อนแสงแวววาว

“เชิญครับ รถเราจอดอยู่ตรงโน้น เดินอีกนิดก็ถึงแล้วครับ”

สินาดยิ้มหวานให้ผู้จัดการเหมือง

“แหม - ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งครับ ที่คุณวาฮูให้เกียรติพวกผมด้วยการเอารถลีมูซีนมารับถึงสนามบิน”

“โอ๊ะ - ไม่ใช่ครับ...ไม่ใช่” สเปนเซอร์ วาฮูตูโบกมือไปมา “คุณสินาดอย่าเข้าใจผิด รถของเราคือรถแวนสีน้ำเงินคันถัดไปครับ ไม่ใช่ลีมูซีนที่เห็น”

สินาดทำหน้าเจื่อนๆ มองไปยังรถตู้ซึ่งจอดต่อท้ายลีมูซีน

“โธ่ - ผมนึกว่าจะมีวาสนาได้เอาก้นสัมผัสเบาะลีมูซีนสักหน่อย ที่แท้ก็ได้นั่งรถตู้”

พัฒนะยกมือผลักเพื่อนเกลอที่สูงเหมือนเปรตจนเซไปสองสามก้าว

“แกอย่าเยอะเลยวะอ้ายนาด มีรถให้นั่งก็ดีถมเถแล้ว” พูดจบเขาก็ถามผู้จัดการเหมืองเพชร “ลีมูซีนนั่นคงมารอรับบุคคลสำคัญใช่มั้ยครับ”

“น่าจะเป็นเช่นนั้นครับ เพราะตอนนี้เมืองโมเรสบีเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมแอฟริกาซัมมิท ว่าด้วยเรื่องการยกระดับอาหารที่ปรุงจากเนื้อมนุษย์ให้เป็นอาหารหลักของโลก เนื่องจากประชากรในโลกแต่ละปีเพิ่มขึ้นในอัตราสูง จนต้องแย่งกันอยู่ แย่งกันกิน กลุ่มประชาคมแอฟริกาจึงมีความเห็นว่ามนุษย์ควรจะกินกันเองแทนกินเนื้อสัตว์ เพื่อลดปริมาณประชากร แอฟริกาซัมมิทครั้งนี้มีชนเผ่ากินคนจากหลายประเทศในทวีปแอฟริกามาร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงกันครับ”

“ฮ้า” นิตย์อุทานเสียงดัง “มีการประชุมแบบนี้ด้วยหรือครับ จะให้คนในโลกกินเนื้อคนด้วยกัน บรื๊อว์ว์ว์... ได้ยินแล้วขนลุก เรื่องจริงหรือเปล่าครับเนี่ย””

วาฮูตูหัวเราะเบาๆ

“ไม่จริงหรอกครับ ผมพูดเล่น การประชุมน่ะมีจริงๆ แต่ไม่ทราบว่าประชุมเรื่องอะไร อ้า - เชิญที่รถเถอะครับ นี่ก็เที่ยงแล้ว ผมขอเชิญทุกท่านไปรับประทานอาหารกลางวันที่บ้านผม”

สามหนุ่มพยักหน้ารับทราบ ต่างรู้สึกพอใจอัธยาศัยของมิสเตอร์สเปนเซอร์ วาฮูตู ที่แสดงความเป็นกันเองและยังมีลูกเล่นลูกฮาเช่นเดียวกับพวกเขาอีกด้วย

รถตู้คันนั้นเป็นรถเยอรมัน โลโก้ดาวสามแฉกในวงกลม ห้องโดยสารกว้างขวางพอสำหรับผู้โดยสาร ๔ คนนั่งอย่างสบาย ส่วนกระเป๋าสัมภาระทั้งหมดอยู่ที่รถอีกคันหนึ่ง

กรุงโมเรสบีเป็นเมืองหลวงที่สภาพไม่แออัดเช่นเมืองหลวงของประเทศอื่นๆ เนื่องจากปาปัวนิวกีนีมีประชากรราว ๖ ล้านคน แต่พื้นที่ประเทศกว้างใหญ่พอๆ กับประเทศไทย ความเจริญทางวัตถุจึงยังมีไม่มาก ถึงแม้รายได้หลักจะอยู่ที่อุตสาหกรรมการประมง เหมืองทองแดง เหมืองทองคำ และการท่องเที่ยว ด้านเกษตรกรรมก็กาแฟ โกโก้ มะพร้าว รวมทั้งรายได้จากการส่งออกทองคำ น้ำมันดิบ สัตว์ทะเล แต่การพัฒนาในส่วนต่างๆ ก็ไม่คืบหน้า จนกระทั่ง UN ได้เสนอปรับสถานะการพัฒนาของปาปัวนิวกินี จาก ประเทศกำลังพัฒนา เป็น ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs - Least Developed Countries) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙

ประชาชนทุกเพศทุกวัยตามร้านค้าและที่สัญจรไปมา ล้วนมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พบเห็นนักท่องเที่ยวก็จะยิ้มและโบกมือให้เป็นการแสดงไมตรี การแต่งกายของทุกคนเป็นชุดพื้นเมืองสีสะดุดตา ภาพความเป็นชนเผ่ากินคนที่น่าสะพรึงกลัวไม่มีให้เห็นแม้แต่น้อย

การจราจรบนถนนไม่ติดขัด เพราะยวดยานไม่คับคั่ง ประมาณ ๒๐ นาทีรถตู้ก็ออกจากตัวเมืองที่เป็นถนนคอนกรีต เข้าสู่ทางชนบทที่เป็นถนนดินหรือลูกรัง บอกให้รู้ว่าความทันสมัยสะดวกสบายมีอยู่เฉพาะในเขตเมืองเท่านั้น สภาพชานเมืองและห่างไกลออกไปยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร

สามหนุ่มนั่งมองทัศนียภาพสองข้างทางซึ่งเต็มไปด้วยทุ่งหญ้ากว้าง มีต้นไม้ใหญ่ให้เห็นบ้างแต่ไม่มาก นานๆ จึงเป็นเขตป่าทึบ วาฮูตูทำหน้าที่ไกด์อธิบายให้รู้ว่าบริเวณใดคืออะไร ตามเวลาที่กล่าวนี้อากาศด้านนอกกำลังร้อนจัด มองเห็นเปลวแดดเต้นระยิบระยับอยู่ไกลๆ แต่เครื่องปรับอากาศภายในรถตู้ให้ความเย็นฉ่ำได้อย่างทรงประสิทธิภาพ

พัฒนะยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาแล้วเอ่ยถามผู้จัดการเหมืองเพชร

“เราจะเดินทางไปเหมืองตอนไหนครับ บ่ายหรือเย็น”

วาฮูตูกำลังจ้ออยู่กับสินาด รีบเปลี่ยนสายตามาที่พัฒนะ

“พรุ่งนี้ตีห้าครับ แต่ขณะนี้เรือเร็วที่ใช้ในการเดินทางพร้อมแล้วทุกอย่างครับ”

“ทำไมไม่รีบไปล่ะครับ” นิตย์โพล่งขึ้น “ผมอยากเห็นเหมืองเพชรเต็มทนแล้ว”

“นั่นดิ” สินาดกล่าวสนับสนุน “ไปเร็วก็ถึงเร็วนะคุณยาฮู”

ผู้จัดการเหมืองทำตาปริบๆ มองหน้าเปรตวัดสุทัศน์ฯ

“ผมชื่อวาฮูครับ ไม่ใช่ยาฮู ยาฮูน่ะมันเซิร์ชเอนจิ้น สำหรับเข้าไปค้นหาข้อมูลในโลกอินเตอร์เน็ต” แล้วเขาก็กล่าวเป็นงานเป็นการ “การนั่งเรือไปเหมืองต้องใช้เวลาอย่างเร็วที่สุด ๕ ชั่วโมงครึ่ง หรืออาจจะมากกว่านั้นกรณีมีอุปสรรคปัญหาเกิดขึ้น หากเราออกเดินทางช่วงบ่ายหรือค่ำจะอันตรายมากครับ โดยเฉพาะอาจถูกพวกโจรสลัดปล้น...”

“ยุคนี้ยังมีโจรสลัดอีกหรือครับ” พัฒนะถามพลางขมวดคิ้ว

“ขึ้นชื่อว่าทะเลต้องมีโจรสลัดเป็นธรรมดาครับ ก็เหมือนโจรผู้ร้ายที่อยู่บนบกนั่นเอง เพียงแต่โจรสลัดหากินในทะเลด้วยการปล้นสะดมเรือต่างๆ ที่แล่นไปมา ที่ปาปัวฯ มีโจรสลัดหลายก๊กหลายพวกครับ ที่โหดเหี้ยมที่สุดคือจอมสลัด โจ สแปร์แร็ค...”

“โจ สแปร์แร็ค...แจ๊ค สแปร์โรว์” สามหนุ่มร้องขึ้นพร้อมๆ กัน

“โนๆๆๆๆ” วาฮูตูสั่นศีรษะ “แจ๊ค สแปร์โรว์ น่ะมันโจรสลัดในหนังเรื่อง ไพเรทส์ ออฟ เดอะ แคริบเบี้ยน ที่ จอห์นนี่ เด็ปป์ รับบท หนังเรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ แต่ โจ สแปร์แร็ค เนี่ย...จอมสลัดตัวจริงเสียงจริงในโลกความเป็นจริงครับ”

“ทำไมชื่อไม่เหมือนชาวปาปัวฯ ที่ออกเสียงอูๆ ตูๆ ล่ะครับ” สินาดสงสัย

“อ๋อ จอมสลัดผู้นี้เป็นชาวตะวันตกครับ อดีตนาวิกโยธินสหรัฐ เคยทำธุรกิจอยู่ที่โมเรสบี แต่ถูกเอารัดเอาเปรียบและโดนกลั่นแกล้งจากเจ้าหน้าที่รัฐที่ฉ้อฉล จนกิจการค้าขายทองคำของ โจ สแปร์แร็ค ประสบภาวะขาดทุนย่อยยับ มีหนี้สินมหาศาล แต่เขาก็ยังไม่วายถูกข่มขู่ข่มเหง ถูกเรียกร้องทรัพย์สินเงินทองจากฝ่ายต่างๆ เป็นประจำ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจตามสังหารคนพวกนั้น แล้วหลบหนีออกทางทะเล เพราะหนีไปทางบกไม่ได้ จากนั้นก็รวบรวมสมัครพรรคพวกประกาศตัวเป็นโจรสลัด จนกระทั่งมีชื่อเสียงโด่งดังในทางร้ายจนทุกวันนี้ครับ”

พัฒนะหันมองเพื่อนทั้งสอง

“กันว่าเรามาปาปัวฯ มีแต่เรื่องสนุกๆ ว่ะ”

นิตย์พยักหน้าเห็นพ้องด้วย

“ที่คุณวาฮูเล่ามาน่ะ...เรื่องจริงนะครับ ผมกลัวเจอมุขแบบประชุมแอฟริกาซัมมิทเรื่องกินเนื้อคนอีก”

“เอ็กแซ็กลี่ เรื่องจริงไม่ปนโม้ครับ”

“ทางการของปาปัวฯ ได้จัดการปราบพวกโจรสลัดมั้ยครับ” นิตย์ถามต่อ

“รัฐบาลเคยสั่งให้กองทัพเรือออกไล่ล่าโจรสลัดทุกกลุ่ม ก็จับกุมได้หลายรายครับ แต่เป็นรายเล็กรายน้อย ส่วน โจ สแปร์แร็ค แคล้วคลาดทุกครั้ง เมื่อสองปีก่อนประเทศออสเตรเลียส่งเรือรบมาสนับสนุนปฏิบัติการนี้ แต่โดนเรือของจอมสลัดผู้ยิ่งใหญ่โจมตีแตกพ่ายกลับไป ว่ากันว่าแค่เห็นเรือของโจ สแปร์แร็ค ฝ่ายปราบปรามก็เสียขวัญแล้วครับ...”

“เรือแบล็ค เพิร์ล...” สามหนุ่มร้องขึ้นพร้อมๆ กันอีก

วาฮูตูสะดุ้ง

“ไม่ใช่ครับ แบล็ค เพิร์ลน่ะมันเรือของแจ๊ค สแปร์โรว์ ว้า - พวกคุณอย่าเอามาเย็บเล่มรวมกันซีครับ เดี๋ยวคนอ่านงงตาย เรือรบของ โจ สแปร์แร็ค ชื่อ โพไซดอน หรือ โพซีดอน ชื่อของสมุทรเทพหนึ่งในสิบสองเทพเจ้าโอลิมปัสในเทพปกรณัมกรีก”

“โจ สแปร์แร็ค นี่คือโจรสลัดที่เก่งกาจเกรียงไกรจริงๆ ” สินาดว่า “ขนาดเอาชนะเรือรบของออสเตรเลียได้ ก็ไม่ธรรมดาแล้ว”

“นอกจากเก่งกล้าสามารถ จอมสลัดคนนี้ยังมีจิตใจโหดเหี้ยมอีกด้วยครับ คราวหนึ่งเขาปล้นเรือสินค้า แล้วบังคับให้กัปตันบอกที่เก็บทองคำที่ได้จากเหมืองทองในปาปัวฯ แต่กัปตันไม่ยอมปริปาก โจ สแปร์แร็ค ก็สั่งลูกน้องใช้มีดเฉือนตามร่างกายกัปตันพร้อมกะลาสีอีก ๑๐ คน เหมือนเราบั้งปลาเป็นริ้วๆ แหละครับ จากนั้นผูกล่ามกัปตันและกะลาสีทั้งหมดด้วยเชือก แล้วหย่อนลงไปลอยคอในทะเล พักเดียวเหยื่อทั้ง ๑๑ คนก็โดนฝูงฉลามมารุมทึ้งจนไม่เหลือซาก เรียลลิตี้โชว์ฉากนี้ทำให้ต้นเรือ ต้นกล ต้นหน แล้วก็กะลาสีที่เหลืออยู่ รีบแย่งกันบอกที่ซ่อนทองคำทันที”

สามหนุ่มนั่งฟังผู้จัดเหมืองเพชรเล่าด้วยความสนใจ แล้วสินาดก็เอื้อมมือสะกิดแขนวาฮูตู

“เรือโพไซดอนของจอมสลัดผู้นี้เป็นเรือแบบไหนครับ หวังว่าคงไม่ใช่เรือใบหลายเสาแบบโบราณเหมือนของแจ๊ค สแปร์โรว์นะ”

“อ๋อ - เท่าที่ผมติดตามเรื่องนี้ เรือโพไซดอนเป็นเรือพิฆาตหรือเรือรบขนาดใหญ่ครับ ติดอาวุธหนักหลายแบบ รบได้ทุกท่าแม่ไม้เรือรบ ทั้งต่อต้านอากาศยาน เรือดำน้ำ รวมทั้งเรือผิวน้ำด้วยกัน”

นิตย์ผิวปากดังวี้ว

“โอ้โฮ...โจรสลัดยุคนี้สุดยอดโว้ย ขนาดใช้เรือพิฆาตเป็นเรือประจำตัว มิน่า - ถึงเก่งชะมัด”

“่แค่นั้นยังไม่พอครับ มีข่าวว่าเร็วๆ นี้ โจ สแปร์แร็ค วางแผนจะปล้นเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส เจอรัล ฟอร์ด ที่จะเข้าประจำการในกองทัพเรือสหรัฐปีหน้า มาเป็นสมบัติของตัวเอง เพราะเรือบรรทุกเครื่องบินเจอรัล ฟอร์ด มีเทคโนโลยีต่างๆ ล้ำสมัยที่สุด”

“คุณวาฮูเล่นมุขอีกแล้ว” พัฒนะพูดพลางหัวเราะ

“มุขครับมุข แหม - ขืนปล้นเรือบรรทุกเครื่องบิน โจ สแปร์แร็ค ก็ซูเปอร์เอ๊กซตร้าสเปเชี่ยลไพเรทแล้วละครับ เอ้อ - ด้วยเหตุผลที่ผมเล่ามาทั้งหมด ผมถึงต้องกำหนดการเดินทางเป็นพรุ่งนี้ตีห้า ซึ่งกว่าเรือจะเคลื่อนออกจากฝั่งก็น่าจะราวๆ หกนาฬิกา”

“เกาะที่เหมืองเราอยู่ ไกลกี่กิโลครับ ถึงต้องนั่งเรือตั้งห้าหกชั่วโมง”

“ประมาณ ๒๐๐ ไมล์ทะเลหรือ ๓๗๐ กิโลเมตรครับคุณพัฒนะ ขณะที่เรือยนต์ของเราแล่นได้สูงสุด ๕๐ น็อตต่อชั่วโมง แต่ไม่เคยแล่นด้วยสปีดสูงสุดขนาดนั้นนะครับ”

"ไกลจริงๆ แฮะ ” สินาดพูดเสริมขึ้น

“ครับ ออกจะไกลเอาการครับ เพราะปากัวฯ มีเกาะต่างๆ มากถึง ๖๐๐ เกาะ การเดินทางไปเกาะไกลๆ จึงใช้เวลามาก ลำพังวิ่งทางตรงไม่ค่อยเท่าไหร่ครับ แต่ต้องเสียเวลาแล่นอ้อมเกาะเล็กเกาะน้อยด้วย และที่สำคัญคือเกาะ ตาปูเช ที่เหมืองเราตั้งอยู่ มันอยู่เกือบสุดเขตแดนทางทะเลของปาปัวฯ เลยครับ”

นิตย์หัวเราะก้าก

“เกาะตะปูเฉหรือครับ โธ่ - ตะปูเฉก็ดึงออกแล้วตอกใหม่ก็หมดเรื่อง ฮ่ะฮ่ะฮ่า”

สินาดยกมือเขกศีรษะนายนิตย์เสียงดังโป๊ก

“แกอย่าชักใบให้เรือเสีย คุณวาฮูกำลังพูดเป็นเรื่องเป็นราวเป็นจริงเป็นจัง”

ผู้จัดการเหมืองเพชรอมยิ้ม

“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบที่พวกคุณแต่ละคนมีอารมณ์ขัน สนุกดีครับ แบบนี้ถูกใจมาก เอ้อ - ตาปูเชเป็นภาษปาปัวนิวกินี คุณนิตย์อย่าเอาไปเทียบเสียงกับภาษาไทยครับ ตะปูเฉ...เอ๊ย...ตาปูเชแปลว่าดินแดนมรณะ หรือ ดินแดนแห่งความตาย...”

คราวนี้สามหนุ่มหัวเราะจนลั่นรถ สินาดไม่หัวเราะอย่างเดียว ยังเอานิ้วมือสองข้างจี้เอวตัวเองอีกด้วย

“ดินแดนมรณะ...ดินแดนแห่งความตาย” นายโย่งโก๊ะพูดพลางหัวเราะพลาง “มุขคุณ ป. มาอีกแล้ว ถ้าสามเกลอตอนไหนเกี่ยวกับเรื่องผจญภัยในป่าดงพงพี ชื่อที่เป็นภาษาต่างถิ่น คุณ ป. มักจะให้ความหมายออกมาแนวนี้ทุกที”

วาฮูตูหัวเราะหึๆ

“แต่เกาะตาปูเชไม่ได้ก๊อปมุขมาจากสามเกลอนะครับ เป็นดินแดนแห่งความตายจริงๆ เคยมีคนเอาชีวิตไปทิ้งนับไม่ถ้วน ความตายที่ว่ามีทั้งไข้มาเลเรียจากยุงที่ตัวโตกว่าผึ้ง แมลงมุมพิษ จระเข้ยักษ์ ที่อันตรายสุดคือพวกมนุษย์กินคนที่ดำรงชีวิตอยู่ในป่าลึก ชนเผ่าพวกนี้ไม่เคยต้อนรับคนแปลกหน้าหรือคนต่างถิ่น จะมองว่าเป็นผู้บุกรุกที่พวกเขาต้องฆ่าทิ้งสถานเดียว เพื่อเอาเนื้อหนังมังสามาทำเป็นอาหาร”

“คุณวาฮูพูดจริงหรือพูดเล่น...” นิตย์ถามเสียงสั่นๆ

“เรื่องอื่นผมอาจจะปนมุขเพื่อความครึกครื้น แต่เรื่องนี้จริงแท้แน่นอนครับ"

“งั้นเราจะทำยังไงครับ” พัฒนะว่า “เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญกับเรื่องเหล่านี้”

“ก็คงต้องใช้เส้นทางเดียวกับตอนที่ผมมาจากเกาะนั่นแหละครับ คือยอมอ้อมไกลหน่อย แต่ขามา...ผมมากันแค่ ๒ คน คือตัวผมกับพรานนำทาง ซึ่งพอจะหลบเลี่ยงได้ตลอดเส้นทาง แต่การเดินทางไปเกาะตาปูเชคราวนี้ จำนวนคนของเราร่วม ๑๐ คน ค่อนข้างเอิกเกริก ผมเกรงว่าจะควบคุมสภาพทุกอย่างได้ลำบากครับ”

ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ รถตู้แล่นมาตามถนนทางลูกรังห่างจากตัวเมืองกว่า ๔๐ กิโลเมตรแล้ว ซึ่งสองข้างทางเป็นทุ่งโล่งสลับป่าทึบ มองเห็นทิวหลายลูกเขาอยู่ลิบๆ และเขาเตี้ยๆ ที่อยู่ใกล้ ไม่มีรถอื่นแล่นตามหลังหรือสวนทาง นอกจากรถปิกอัพบรรทุกกระเป๋าของสามหนุ่ม เส้นทางนั้นจึงดูเปลี่ยวราวกับโลกนี้มีเพียงรถสองคันนี้เท่านั้น

จนกระทั่งรถวิ่งขึ้นทางลาดชัน บอกให้รู้ว่ากำลังขึ้นเขา ด้านซ้ายขวามีต้นไม้เล็กใหญ่เบียดเสียดจนเต็มพื้นที่ ผู้จัดการเหมืองเพชรมองไปข้างหน้าแล้วกล่าวกับสามหนุ่ม

“อีกไม่เกิน ๑๐ นาทีจะถึงบ้านพักของผม เลี้ยวโค้งมุมเขานั่นก็เห็นตัวบ้านแล้วครับ”

ทันใดนั้นรถแวนได้ลดความเร็วลง ทำให้รถปิกอัพที่แล่นตามมาต้องรีบชะลอความเร็วด้วย คนขับรถหันมาส่งเสียงเป็นภาษาถิ่นกับวาฮูตูด้วยท่าทางเลิ่กลั่ก ผู้จัดการเหมืองก็พูดตอบและแสดงสีหน้าตื่นตกใจ

“เกิดอะไรขึ้นครับคุณวาฮู”

นิตย์ถามพลางเขย่าแขนวาฮูตู แต่บุรุษชาวปาปัวฯ ตอบด้วยการมองออกไปรอบรถ สามหนุ่มจึงมองตามทันที

คนป่าประมาณ ๓๐ คนในชุดออกรบ กำลังกรูกันลงมาจากเนินเขาทั้งสองข้างด้วยท่าทางดุร้าย แต่ละคนทาหน้าและลำตัวด้วยยางไม้พร้อมเขียนลวดลายต่างๆ อาวุธของพวกนี้คือหอกพร้อมโล่หนังสัตว์สูงท่วมหัว แต่หลายคนใช้ธนูที่ลูกศรยาวเป็นเมตร ในจำนวนนี้มี ๒-๓ คนสวมหมวกขนนกบอกให้รู้ว่าเป็นระดับหัวหน้า

เพียงครู่เดียวทั้งรถแวนและรถปิกอัพก็ถูกคนป่าทั้งหมดล้อมไว้ ปลายหอกแหลมคมและธนูทุกคันเล็งเป้าหมายเดียวกันคือรถทั้งสอง สามหนุ่มตื่นเต้นตกใจจนพูดไม่ออก ได้แต่มองกลุ่มคนป่าด้วยความตระหนกพรั่นพรึง ส่วนโชเฟอร์ถึงกับยกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้า ตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัวสุดขีด ขณะที่เสียงคนป่าดังอื้ออึงอยู่รอบรถ

ผู้จัดการเหมืองเพชรนั่งตะลึง ใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ แต่สามหนุ่มได้ยินชัดเจน

“เราเสร็จพวกมนุษย์กินคนซะแล้วครับ...”

To be continued

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว