จบ เส้นทางแห่งตำนาน
61
ตอน
17.2K
เข้าชม
56
ถูกใจ
12
ความคิดเห็น
91
เพิ่มลงคลัง

กึก กึก 

!! 

เสียงกรีฑาทัพดังมาแต่ไกล เมื่อมองออกไปจะพบกับมนุษย์นับพันล้านคน กำลังเคลื่อนทัพมาสู่พื้นที่ว่างเปล่า แต่ละคนสวมใส่ชุดเกราะสีทองเปล่งประกายระยิบระยับ บนเสื้อเกราะเต็มไปด้วยอักขระเวทย์นับไม่ถ้วน 

ทุกคนย่างก้าวพร้อมเพียง แนวทัพจัดแบ่งไว้อย่างเรีบยร้อย ทุกการกระทำของคนเหล่านี้ทั้งสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน 

 

หยุด 

!!” 

เสียงตะโกนปานคำรามดังไปทั่วพื้นที่ว่างเปล่านั้นส่งผลให้ทุกคนหยุดเดินพร้อมกัน แสงสีทองสาดประกายออกมาจากนักรบมนุษย์ที่เบื้องหน้าปรากฏเป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่ง 

ลึกเข้าไปยังตรงกลางของทัพ มีบุลคลผู้หนึ่งสวมใส่ชุดเกราะสีดำสนิททั้งตัวราวกับจะกลืนกินแสงสีทองที่อยู่รอบๆตัว บรรยกาศรอบข้างพลันบิดเบี้ยวไปมาอย่างรุนแรง จิตสังหารที่ถูกปล่อยออกมาเย็นเยียบลึกถึงกระดูก ภายใต้หมวกเกาะที่มืดมิดมีแสงสีแดงราวโลหิตอยู่สองจุดแทนดวงตาซ้ายและขาว 

ด้านข้างใกล้เคียงปรากฏสี่บุลคลที่คอยอารักขาสวมใส่เกาะทั้งตัวสีฟ้าคราม ทุกย่างก้าวของพวกมันแต่ละคนทิ้งไว้ด้วยน้ำแข็งเป็นรอยเท้าซึ่งจะไม่ละลายแม้ผ่านไปพันปี 

แม้จะอยู่ท่ามกลางคนนับพันล้านแต่บุลคลทั้งห้ากลับโดดเด่นที่สุด 

!! 

สองดวงตาสีแดงของนักรบชุดเกราะดำหรี่ลงราวกับรออะไรบางอย่าง 

และอะไรบางอย่างที่ว่านั้นก็มินานเกินรอ 

เบื้องหน้าไกลห่างออกไปพลันปรากฏรอยแยกของมิติ มือยักษ์ขนาดใหญ่สีแดงสดทั้งสองข้างพุ่งออกมาอย่างรวดเร็วทำหน้าที่แหวกมิติให้จนมีขนาดใหญ่จนสุดลูกหูลูกตา 

เพียงไม่นานก็เริ่มมีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานออกมาจากรอยแยกนั้นขนาดและรูปร่างนั้นแตกต่างกันออกไปบางตัวเล็กเท่าหนูแต่บางตัวใหญ่กว่าดาวเคาระห์ขนาดเล็กเสียอีก 

เมื่อสิ่งมีชีวิตตัวสุดท้ายออกมาจากรอยแยกของมิติแล้ว เจ้าของมือสีแดงสดก็เคลื่อนกายออกมาจากรอยแยกของมิติเช่นกัน มันเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์สูงถึงหมื่นกิโลเมตร ร่างกายทั้งตัวสีแดงฉาน เหนือศีรษะด้านบนมีเขางอกออกมาทั้งสองข้าง ทุกๆการเคลื่อนไหวล้วนนำมาซึ่งภัยพิบัติ 

เมื่อร่างยักษ์สีแดงพ้นจากรอยแยกมิติ เสียงกู่ร้องคำรามของมันดังสนั่นไปทั่วเขตพื้นที่ว่างเปล่านั้น สิ่งมีชีวิตที่ออกมาก่อนมันพลันคำรามตามผู้นำประสานเสียงจนพื้นที่ว่างเปล่าเกิดการสั่นไหวไปมา 

อสูรสีแดงมองตรงไปยังนักรบเกราะสีดำที่อยู่ห่างไกลออกไป 

”ว่าไงสหาย” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย 

”มิได้พบกันนานใยเจ้ามิทักข้าสักคำ ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ วะฮ่าฮ่า!!”เสียงหัวเราะของมันดังสนั่นไปทั่วบริเวร 

”หุบปาก!!” เพียงสองคำที่นักรบเกาะดำพูดออกมาแต่มันกลับเต็มไปด้วยคลื่นพลังมหาศาลเข้าปะทะกลับคลื่นเสียงของอีกฝ่าย 

”เฮ้ๆ ทุกคนยังมาไม่พบแล้วพวกท่านทั้งสองจะรีบเปิดสงครามไปไหนเสียเหล่า ฮ่าฮ่า” ที่ด้านข้างไกลห่างออกไปปรากฏหมอกดำแห่งความตายที่เบื้องหน้ามีบุรุษหนุ่มที่พึ่งก้าวเดินออกมาจากหมอกแห่งความตายนั้น 

”ใช่หรือไม่ จักรพรรดิอสูรแห่งเผ่าอสูรและนักรบสวรรค์ภาคีดำแห่งกองทัพมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์” เสียงของบุรุษหนุ่มยังคงดังก้องกังวานไปทั่วพื้นที่ว่างเปล่า 

”ข้ามินึกมิฝันหรือแม้แต่จะคิดเลยว่าทั้งเผ่าอสูรและกองทัพมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์จะรีบร้อนเสียขนาดนี้ ฮ่าฮ่า” ดวงตาของมันทั้งสองข้างพลันสาดประกายแสงแห่งการต่อสู้ 

”และตัวข้าราชันย์จอมมารแห่งเผ่าอเวจีนับว่าเป็นเกียรติยิ่งนัก” 

เมื่อราชันย์จอมมารกล่าวจบมันยกมือทั้งสองข้างขึ้นก่อนที่จะตบไปหนึ่งครั้ง คลื่นเมฆหมอกด้านหลังพลันกระจายตัวออกไปสุดสายตา ตามมาด้วยการสั่นสะเทือนของพื้นที่ว่างเปล่าอย่างมิรู้จบ ร่างเงาร่างแล้วร่างเหล่าพลันผลุดขึ้นมาจากภายในเมฆหมอกสีดำนั้น 

หลังจากร่างสุดท้ายผลุดขึ้นมาเสร็จเมฆหมอกสีดำก็ลอยกลับเข้าไปในตัวของบุรุษหนุ่มพร้อมกับกลิ่นอายแห่งความตายเผยกระจายออกมาปกคลุมไปทั่วบริเวณ ภายในกองทัพแห่งเผ่าอเวจีคือซากศพ โครงกระดูกหรือจิตวิญญาณของคนตาย 

ทั้งจักรพรรดิอสูรแดงหรือนักรบเกาะดำต่างก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับบุรุษหนุ่มซึ่งตัวเขาก็เข้าใจจึงมิได้โกรธเคือง 

แต่แล้วทั้งสามกลับมองไปยังทิศทางเดียวกัน มันคือกองกำลังสุดท้ายที่เข้าร่วมสงครามครั้งนี้ 

พื้นที่ห่างออกไปในความมืดมิดความว่างเปล่าพลันปรากฏออโรร่าสว่างจ้าออกไปไกลจนสุดที่สายตาจะมองเห็นเปลื่ยนพื้นที่ว่างเปล่าสีดำ ให้กลายมีสีสันสดใสในพริบตา ตามมาด้วยผืนหญ้าสีเขียวขจีที่ไม่มีผู้ใดรู้ที่มาที่ไป 

เสียงกรีฑาทัพดังออกมาจากความว่างเปล่า 

ซึ่งนำมาโดยเหล่า 

’คนแคระ’ ร่างกายบึกบึนเต็มไปด้วยมัดกล้ามใส่ชุดเกาะสีเงิน ทางด้านหลังติดตามมาด้วย 

’เอลฟ์’ ในชุดเกาะสีทองอมเขียวและทางด้านหลังสุดคือเหล่า 

’ภูติ’ ตัวเล็ก  

ทั้งสามล้วนเป็นพันธมิตรกันมาช้านาน โดยถูกเรียกว่า 

’เผ่าธรรมชาติ’ 

ด้านบนของกองกำลังนี้นั้น ปรากฏ หญิงสาวนางหนึ่งมีผ้าคลุมปิดบังใบหน้าเผยให้เห็นเพียงแขนขาวผ่องด้านขวาที่อ่อนนุ่นราวกับผิวเด็กไร้รอยตำหนิ เพียงแค่แขนข้างขวานี้มันก็พอแล้วที่จะหยุดลมหายใจของทั้งเหล่าบุรุษหรือสตรีทั้งสิ้น แต่ถึงแม่ว่านางจะงามล้ำมากเพียงใดก็มิเคยมีใครดูถูกนางมาก่อน เพราะด้วยตำแหน่งของนางที่ทำให้นอกจากผู้นำทั้งสามเผ่าพันธ์แล้วล้วนต้องคุกเข่าอยู่ใต้อาณัตินาง 

ผู้นำทั้งสามเผ่าล้วนเอ่ยออกมาพร้อมกัน 

’มหาราชินีภูตราตรี’ 

และนี่ก็คือสงครามของทั้งสี่กองกำลังที่แข็งแกร่งแห่งยุคที่เข้าต่อสู่ห้ำหั่นกันอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นตำนานที่ต้องถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ของทุกเผ่าพ้นธ์ 

เส้นทางแห่งตำนาน 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว