เจ้าเหม่ยหวีดร้องด้วยความตกใจเมื่อสะดุดอะไรบางอย่างจนล้มลง เมื่อนางหยัดกายหมายจะลุกขึ้นกลับถูกใครบางคนรวบร่างเข้าไปกอดเอาไว้ถือวิสาสะ
“ทะ...ท่านตงฉวน”
หญิงสาวหน้าแดงระเรื่อเมื่อถูกวงแขนแข็งแกร่งโอบกอดเอาไว้แนบแน่น รู้สึกราวกับตนเองเป็นหญิงสาวตัวเล็กตัวน้อยไปในบันดล
“ไม่ได้เจอคุณหนูเสียนาน เปลี่ยนไปมากจนข้าแทบจำไม่ได้”
ตงฉวนที่แอบมานอนเอกเขนกอยู่ในทุ่งดอกเซียงรื่อขุย ถูกหญิงสาวเจ้าของดอกไม้งามวิ่งสะดุดขาจนล้มลงทับร่างของเขา หากเป็นเมื่อสองเดือนก่อนเขาคงจุกเจ็บจนพูดไม่ออก ทว่าเจ้าเหม่ยในเวลานี้นั้นตัวเบากว่าแต่ก่อนลงกว่าครึ่ง ใบหน้าที่เคยอ้วนกลมก็เริ่มเรียวเล็ก
จากหญิงอ้วนร่างใหญ่จ้ำม่ำกลายเป็นหญิงอวบมีน้ำมีนวลน่ากอดน่าฟัด
ไม่ว่านางจะอ้วนหรืออวบเขาก็ไม่เคยละสายตาไปจากนางได้เลย แล้วยิ่งร่างนุ่มนิ่มหอมอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้อยู่ในอ้อมกอดเช่นนี้ เขาก็ยิ่งไม่อาจหักห้ามใจที่จะแอบสูดดมความหอมหวานของนางเอาไว้เต็มปอด
“ขะ...ข้ากินน้อยลง และพยายามทำงานให้มากขึ้นเจ้าค่ะ เมื่อก่อนข้าเอาแต่กินแล้วก็นั่งอ่านตำราแทบไม่ยอมขยับร่างกายไปไหน แต่ตอนนี้ข้าแข็งแรงขึ้นมากเลยนะเจ้าคะ”
หญิงสาวเอ่ยพลางดิ้นยุกยิกอยู่ในอ้อมกอด แต่จนแล้วจนรอดคนตัวโตกลับยังคงโอบรัดนางไว้ในอ้อมกอดโดยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย
“อะ...เอ่อ”
เจ้าเหม่ยกลืนน้ำลายลงคอ พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก การถูกชายหนุ่มโอบกอดไว้เช่นนี้ทำให้นางรู้สึกชาวาบไปทั้งสรรพางค์กาย หัวใจเต้นแรงรัวเร็วราวกับจะกระโจนออกมานอกอกเสียให้ได้
“ทะ...ท่านตงฉวนโปรดปล่อยข้าเถอะเจ้าค่ะ”
ในที่สุดนางก็อ้อมแอ้มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ใบหน้าของนางแดงก่ำไล่ไปถึงใบหูและลำคอด้วยความเขินอาย
แต่นอกจากตงฉวนจะไม่ยอมปล่อยนางแล้ว เขายังยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าของนาง จนปลายจมูกโด่งเกือบจะสัมผัสแก้มแดงอยู่รอมร่อ
“กลิ่นกายเจ้าหอมนัก”
เขาย่นจมูกน้อยๆ ก่อนจะสูดกลิ่นหอมเข้าปอดอย่างไม่อาจหักห้ามใจ
“ขะ...ข้า สะกัดน้ำมันจากกลีบดอกเหมยเจ้าค่ะ เมื่อได้น้ำมันแล้วจึงนำมาทาตัวหลังอาบน้ำ”
มือเย็นเฉียบแต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าว ช่างย้อนแย้งสับสนจนไม่อาจควบคุมอารมณ์และร่างกายของตนเองได้เลย
“ข้าชอบ...”
ชายหนุ่มเอ่ยว่า ‘ชอบ’ โดยไม่ได้ชี้ชัดว่าชอบสิ่งใด ชอบกลิ่นดอกเหมย หรือว่าชอบเจ้าเหม่ยกันแน่