Ep.1 

  

ทุกสิ่งบนโลกนี้ เกิดขึ้นได้ต้องมีจุดเริ่มต้น ทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไป ทุกอย่างต้องมีประวัติความเป็นมา มีบันทึก มีเรื่องราว มีความเชื่อก็ต้องมีเหตุผล ความรู้สึกบางสิ่งบางอย่างต้องมีอะไรไปกระตุ้น ถ้าจะมีความฝัน เราก็ต้องหลับไหล แต่เราจะได้ตื่นไหมนั้น?ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

      

ทั้งชีวิตของนรงค์ไม่ค่อยโฟกัสเรื่องสิ่งลี้ลับซักเท่าไร่ จาก 0-100 นั้นเขาให้แค่ 10 เท่านั้น ชีวิตที่เกิดมาของเขาอยู่ระหว่าง ความเก่า และความล้ำสมัย ยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่าน ความงมงายกับวิทยาศาสตร์ ทุกคนที่อยู่ในยุคนี้ล้วนต้องเจอกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ซ้ำยังต้องมาทะเลาะกับ พ่อแม่ ลุง น้า ป้า อา กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง  

        

แต่ด้วยความเป็นญาติผู้ใหญ่แล้ว ตัวของนรงค์เอง เขาก็จะต้องเชื่อฟังแบบเลี่ยงไม่ได้ บางครั้งอาจจะฟังแล้วต้องทำตาม บางครั้งอาจจจะฟัง แล้วเมินเฉย แต่ท้ายที่สุดคำพูดเหล่านั้น ก็จะวนเวียนอยู่ในหัวของเขาฝังอยู่ในความทรงจำตลอดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน 

  

ความเชื่อฝังหัวสิ่งหนึ่งที่นรงค์โดนกรอกหูมาตลอดก็คือ การบวชให้บิดา มารดา เพื่อตอบแทนพระคุณ การบวชพระ แม้จะ 3 วัน 7 วัน 15 วัน เดือนหนึ่ง 3 เดือน หนึ่งพรรษา ไม่ว่ายังไงก็ต้องบวช เขาก็เป็นหนึ่งในนั้น ชีวิตวัยรุ่นของเขา จะเอาเวลาช่วงไหนไปบวช เรียนจบก็อยากหางานทำ หาเงินเพื่อมาปนเปรอความอยากของตัวเขาอง แทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าต้องทำอะไรเพื่อคนอื่น ซ้ำชีวิตในปัจจุบันยังเร่งรีบ ทั้งชีวิต และเทคโนโลยี ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะบีบครั้นเขาไปซะหมด 

  

แต่แล้วนรงค์ก็หนีไม่พ้น วันนี้เป็นเช้าที่สดใส ทั้งคืนเขาไม่ฝันอะไรเลย ก็เพราะเขาเอาแต่เล่นคอมพิวเตอร์จนเกือบจะเช้า ด้วยเหตุนี้เขาจะเอาเวลาที่ไหนไปฝัน ด้วยความงัวเงียหลังจากตื่นขึ้น เขาได้ยินเสียงคล้ายเสียงโทรศัพท์ที่ตอนนี้ เขาไม่รู้ว่ามันอยู่ไหน  ครืด ครืด 

  

"ฮัลโหล ฮัลโหล สวัสดีครับ นรงค์พูดสาย" 

       

เสียงปลายสายฟังไม่ค่อยชัดมากนัก และพูดออกมา สั้นๆว่า 

      

"ได้เวลา....บวช...แล้วนะ.....รออยู่....." 

       

ตัวนรงค์ไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ได้ยินมากนัก ใครโทรผิดมารึเปล่า? หรือใครโทรมาหยอกเล่น? แต่ก็ช่างมันเถอะ วันนี้เขาต้องไปทำงานแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทัน แล้วเขาก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเช้าไปเสียสนิท 

       

วันทั้งวันนรงค์มัวแต่ทำงาน เหมือนชีวิตนี้เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ความคิดในใจของเขาคิดเพียงแต่ว่า มีงานก็ต้องมีเงิน มีเงิน เงินบันดาลสุข  

  

นรงค์แทบจะไม่บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เพียงเพราะคิดว่า มีเงินเราก็มีทุกอย่าง ทุกวันที่เขาทำงาน จะรู้เพียงแต่ว่า เช้าต้องทำงาน และเที่ยงต้องกินข้าว เย็นเลิกงาน และ ค่ำเล่นเกมส์ วนเวียนอยู่อย่างนี้ ความสุขก็คือการได้ท่องไปในโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งไม่แปลกใจเลยที่นรงค์ ตรากตรำทำงาน เพียงเพราะอยากนำเงินมาใช้จ่าย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองเท่านั้น ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมา มันก็ค่ำของอีกวันเท่านั้นเอง  

  

นรงค์ล้มตัวลงนอนที่นอนในห้อง ที่ภายในห้องดูเหมือนจะกลืนเขาเข้าไปทั้งตัว ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวหม่นเล็กๆ โต๊ะคอมที่มีเศษขนมปังตกอยู่ แสงไฟนีออนสีขาว กับที่นอนแข็งๆ ที่แทบจะไม่ได้เอาไว้นอนด้วยซ้ำ 

  

นรงค์เอามือขึ้นวางบนหน้าผาก เขาคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาของเขาลำบากมามาก เขาแค่อยากใช้เวลาช่วงนี้ ช่วงที่หาเงินได้ทำให้ตัวเองมีความสุขที่สุขเท่าที่จะทำได้ ถ้าเขาจากโลกนี้ไป เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปไหน และด้วยความเหนื่อยล้า เขาก็ผล่อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว 

  

นรงค์จมไปในความฝัน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาฝันในรอบหลายๆเดือน เขามาอยู่ในสถานที่แปลกๆ มองไปทางไหนก็มีแต่หมอกเหมย **คล้ายควันสีขาวลอยต่ำๆ ไม่เกินหัวเข่า**  

 

นรงค์รู้ทันที่ว่านี่คือความฝัน แต่เนื่องจากเป็นความฝันการจะบังคับให้ตัวเองทำอะไรตามใจตัวเองนั้น เป็นสิ่งที่เรียกว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้  

      

นรงค์ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด มันหม่นหมอง เศร้าสร้อย เยือกเย็น และ น่าขนลุกไปพร้อมกัน เขาพยายามเดินไปทางไหนซักทาง ทางที่จะออกไปจากที่นี่ แต่แล้วเขาต้องหยุดความคิดนั้นลง เมื่อเขาเจอกับใครคนหนึ่ง ที่กลางทางตรงนั้น เขาพยายามเพ่งมอง แต่ก็รับรู้ได้แค่ว่า มีคนยืนอยู่ตรงนั้น 

  

"ใครครับ คุณเป็นใคร?" 

  

นรงค์พยายามทักและขอความช่วยเหลือ และตระหนักว่าตอนนี้ตัวเองไม่อาจช่วยเหลืออะไรตัวเองได้ 

  

"มาทำไม.....ที่นี่ มัน..ยังไม่ถึง...เวลา....." 

  

ชายคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาใกล้หรือ ช่วยเหลืออะไรไปมากกว่านี้ 

  

นรงค์ได้แต่ยืนพลางชะเง้อมองไปยังชายคนดังกล่าว ในใจก็คิดตำหนิ 

  

"แม้....ถ้ารู้จักนะ.....จะด่าเข้าให้ ขอให้ช่วยยังมีน่ามาพูดจาแปลกๆ" 

  

ชายคนดังกล่าว ค่อยๆเดินหันหลัง และหายไปกับความมืดที่เลือนลาง  

  

"รอด้วยๆ จะไปไหนน่ะ?" 

  

นรงค์ไม่รอช้า ก้าวขาออกไปในใจคิดว่าชายคนนั้นน่าจะรู้ทางออก และเขาก็อยากเห็นหน้าใครคนนั้นซะเหลือเกิน แต่ทุกอย่างมันคือความฝัน ปฏิกิริยาต่างๆของร่างกายมันช่างช้าซะเหลือเกิน ชายคนนั้นหายไปแล้ว แต่ขาที่ก้าวของเขายังก้าวไม่ถึงพื้นเลย และก่อนที่ทุกอย่างจะติดขัดไปมากกว่านี้ แสงสีขาวก็สาดเข้ามา และ เสียงหนึ่งก็ได้ปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์  

     

"เอ้า... ตื่น ตื่น ตื่น" 

  

เป็นวันแรกที่ อาของนรงค์มาปลุกนรงค์ให้ตื่น ทำไมกันนะวันนี้มีงานเช้าเหรอ? หรือมีเหตุด่วนอะไร? แต่มันต้องมีอะไรแน่ๆ นรงค์ไม่รอช้า ถามไปแบบทันควัน 

  

"อามีอะไรรึครับ ปลุกซะเช้าเชียว"  นรงค์กล่าว      

  

"วันนี้ต้องเดินทางกลับบ้านไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวตกรถไฟนะ" 

  

อาของนรงค์พูดจบพลางปิดประตูออกจากห้องไป ด้วยความงัวเงียหลังจากตื่นนอน ตื่นแล้วสติก็ยังไม่ค่อยเต็มเท่าไร่นัก แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า มีสายไม่ได้รับเมื่อวานอยู่หลายสาย ซึ่งสายที่เขาไม่ได้รับก็คือ แม่ของเขานั่นเอง เขาไม่รอช้า โทรกลับไปตอนนั้นทันที  

  

"ฮัลโหล ฮัลโหล" 

  

นรงค์พูดได้แค่นี้ นอกนั้นเป็นฝ่ายแม่ของเขาพูดเสียมากกว่า เขาจับใจความได้คร่าวๆ ว่า เมื่อวานนี้แม่ได้โทรหาเขาหลายสาย ตั้งแต่ตอนบ่ายยันมืด แต่เขาไม่รับสาย พลางบอกกึ่งบังคับให้กลับบ้านด่วน เพื่อกลับมาบวช เพราะทางบ้านเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว และถ้าเขากลับช้า จะทำให้เลยฤกษ์ ซึ่งไม่เป็นผลดีแก่หลายๆคน เขาก็สงสัยว่าทำไมตัวเองไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ และตอนนั้นเขาทำอะไรอยู่? 

  

"แค่นี้นะ ไวไวเลย ตึ้ด ตึ้ด ตึ้ด" 

  

ความรู้สึกเหมือนเด็กงอแงไม่ได้ไปเที่ยว งอแงที่กำลังนั่งเล่นเกมส์อยู่ร้านเกมส์ แล้วโดนแม่เรียกกลับบ้าน ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นไวมากพอๆกับเวลาของนาฬิกา  

  

นรงค์รู้ตัวอีกทีตัวเขานั้นก็กลับมาถึงบ้านเกิด ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้หมดแล้ว เขาเพียงแค่ทำตามโปรแกรมที่ แม่ของเขาจัดไว้ให้เพียงเท่านั้น การดำเนินงานทางศาสนาเป็นไปได้อย่างดี การเข้าพิธีต่างๆ กับการพบปะญาติที่ไม่เคยเห็นหน้า ญาติที่สนิท ไม่สนิท ก็มากันเต็มไปหมด บางคนที่นรงค์ไม่รู้จักก็โผล่มายินดีกับเขาด้วย ซึ่งเขาก็แปลกใจ แต่ก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี  

  

นรงค์ในชุดขาวนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติดสีน้ำเงินโทรมๆ ดูเก่าตามกาลเวลาจากการใช้งานภายในวัด ในมือของนรงค์ถือใบบัวใบใหญ่ ที่มีปอยผมจากการตัดของบรรดาญาติๆ เขาเงยมองออกไปรอบๆว่า ญาติๆตัดกันเสร็จแล้วรึยัง? แต่เขาต้องสะดุดกับชายคนหนึ่งที่อยู่อยู่ใต้พุ่มไม้ใหญ่ไม่ไกลนัก 

  

"เอ๋ ใครกันนะ ไม่คุ้นเลย หรือว่าเป็น ญาติของพระรูปอื่น?" 

  

ความงุนงงสงสัย เกิดขึ้นไม่นาน นรงค์ต้องทำพิธีการทางศาสนาอย่างอื่นต่อ แต่เมื่อเขา สังเกตไปที่เงาพุ่มไม้อีกครั้ง ก็ไม่เห็นอะไร หรือใครแล้ว 

  

"เห้อ สงสัยคิดไปเอง ตาฝาดกลางวันแสกๆ" 

  

ช่วงเวลาเข้าพิธีอุปสมบทเป็นไปได้โดยดี ทุกคนดูมีความสุขเป็นอย่างมาก เป็นช่วงเวลาที่พิเศษจริงๆ สำหรับชีวิตของเขา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของแม่ยังตราตรึงใจไม่เลือนหาย  

  

"เอ้า พระ พระ ไปกุฏิได้แล้ว เดี๋ยวญาติโยมจะไปถวายปัจจัย พระใหม่" 

  

หลวงพี่ที่อยุ่ข้างๆ ผู้ที่คอยสนับสนุนพระใหม่ หรือเรียกกันว่า "พระพี่เลี้ยง"แนะนำพลางสะบัดมือเล็กน้อยให้ พระใหม่ ปฏิบัติ 

  

"เอ้า ลุกเสียที มันจะเย็นๆหน่อยไม่ต้องกลัว อีกหน่อยก็จะชิน" 

  

พระใหม่เข้าใจทันทีว่า พระพี่เลี้ยงกล่าวถึงอะไร การนุ่มห่มเครื่องแต่งกายพระสงฆ์ ก็จะมีแต่ของพระสงฆ์เท่านั้น ของฆารวาส ไม่สามารถใส่ได้ เช่น เสื้อ กางเกง นาฬิกา หมวก รองเท้า ซึ่งรวมกับชุดชั้นในด้วย 

  

พระใหม่ค่อยๆลุกซึ่ง เป็นอาการที่ไม่ค่อยชินมาก เหมือน ผู้ชายใส่กระโปรงแต่ไม่ใส่ชั้นใน แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ คงไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว ความแน่วแน่เท่านั้นที่จะคงยึดมั่นอยู่  

  

ก้าวยังไม่พ้นอุโบสถ ก็มีเรื่องให้แปลกใจ รองเท้าหาย รองเท้าพระใหม่หาย ในใจก็เพียงแต่คิดว่า ญาติโยมคงเยอะ การสลับหรือใส่ผิดก็คงมีให้เกิดขึ้น เป็นธรรมดา  

  

"เดินมันไปทั้งยังงี้แหละ ตอนออกบิณฑบาตร ก็ไม่ได้ใส่อยู่ดี" 

  

พระใหม่พูดในใจ ตอนนี้จากอุโบสถจนถึงกุฏิ ใช้เวลาเดินค่อนข้างไกล พระใหม่เดินเก้ๆกังๆ เพราะไม่เคยเดินไม่ใส่รองเท้ามาก่อน ไม่เคยนุ่งห่มจีวร ทุกอย่างมันดูลำบากไปหมด  

  

"เมื่อไร่จะถึงซักที่นะ เจ็บเท้าไปหมดแล้ว" 

  

และก็มาถึงกุฏิสักที พระใหม่ไม่รอช้า เดินเข้าไปล้างเท้า ที่เปลื้อน ซึ่งตอนนี้มันรู้สึก แสบๆ และเริ่มแดงนิดหน่อย 

  

"พระ พระ ออกมาให้ศิลให้พรก่อน ญาติโยมจะได้กลับ นี่ก็เลยเวลามานานแล้ว" 

  

สิ้นเสียง พระใหม่ก็เดินออกมา และค่อยๆนั่งลงช้าๆ  

  

"จะไปแล้วเหรอ? ไม่อยู่รอทำวัตรเย็นก่อน"     พระใหม่กล่าว 

 

"โอ้ยพระ มาบวชพระนะ ไม่ได้มา ฟังพระเทศน์" 

  

พอกล่าวจบ ทุกคนก็มารวมตัวเพื่อรับศิลรับพรพระใหม่ แต่เมื่อมีงานเลี้ยง ก็ต้องมีการร่ำลา สุดท้ายตอนนี้ก็เหลือเพียงพระนรงค์นั่งอยู่ที่หน้ากุฏิเพียงรูปเดียว  

**กุฏิ ก่อน กุฏิโดยทั่วไปแล้ว จะมีแค่หลังเดียว ตั้งอยู่โดดๆ แต่ กุฏิ ของพระนรงค์นั้น มี 4 ห้อง 2 ชั้น ซึ่งไม่ต่างจากหอพักเลย และดูสภาพใหม่มาก**  

       

พระนรงค์นั่งเคร้งคว้างอยู่หน้าห้อง มุมขวาชั้นล่างของกุฏิ ในใจก็คิดว่า ตอนนี้เป็น พระแล้ว เขาควรตัดเสียซึ่งทางโลก  

  

"หลวงพี่ หลวงพี่ หลวงพี่ทำอะไรอยู่?" 

 

สามเณร ตัวเล็กๆ อายุไม่น่าเกิน 10 ขวบวิ่งเข้ามาจากไหนไม่รู้ พลางถามต่อ อีกคำถาม 

 

"หลวงพี่ หลวงพี่ เชื่อเรื่อง ผี ไหม?" 

  

 

สามเณร พูดต่อ และด้วยคำถามทำให้หน้าตาของสามเณรดูลุกลี้ลุกลนเหมือนอยากจะได้คำตอบซะตอนนั้น 

  

"โอ้ย เณร เราอยู่ในศิลในธรรม อยู่ในร่มกาสาวพักตร์ สิ่งพวกนี้เค้าไม่มายุ่งกับเราหรอก อย่าใส่ใจนักเลย เณรควรจะไปเรียนหนังสือนะ เผื่อโตขึ้นมาไม่อยากอยู่ในร่มกาสาวพักต์แล้ว จะได้ไม่ต้องลำบาก" 

  

หลังจากพูดจบ สามเณรดูหน้าจ่อยๆ เหมือนกับว่า มาหาพระนรงค์แล้วหลวงพี่จะคุยด้วยเพื่อเพิ่มความคุ้นเคย พลางชวนคุยสนุกสนานรื่นเริง แต่ครั้งนี้กับโดนเอ็ดสอนซะนี่ จากที่บรรยายกาศเริ่มไม่ค่อยสู้ดี เขาเลยถามหยอกสามเณรออกไป 

  

"ทำไมล่ะ? เณรไปได้ยินได้ฟังอะไรมา ไหนเล่ามาสิ เผื่อหลวงพี่จะได้นำไปพิจารณา หรือหลวงพี่อาจช่วยอธิบายอะไรต่อมิอะไรให้เณรพอเข้าใจได้บ้าง" 

  

สีหน้า ของสามเณรเริ่มตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย แววตาดูมาความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันทีทันใด 

  

"ก็ที่นี่แหละหลวงพี่ ที่ๆเราอยู่ตรงนี้เลย เมื่อก่อนนะ....."  

  

ก่อนสามเณรจะทันได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ ก็มีหลวงพี่ที่อยู่ อาพาทเม้นต์กุฏิ ด้วยกันมาทัก 

  

"หลวงพี่นรงค์ เราต้องไปทำวัตรเย็นแล้ว รีบไปเถอะเดี๋ยวไม่ทัน" 

  

พระนรงค์ได้ยินอย่างนั้นจึงไม่รอช้า พรวดพราดไปหยิบหนังสือสวดมนต์เล่มใหม่ใหญ่มหึมา แบกไปที่อุโบสถ พลางนึกถึง คำพูดที่สามเณรพูดไว้ 

  

"มันมีอะไรรึเปล่านะ? ที่กุฏิที่เราอยู่นี่" 

  

และใต้เงาต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่ตั้งตะหง่านท่ามกลาง เวลาใกล้ค่ำ สายลมเย็นยะเยือกของวัดชนบท พัดปลิวกิ่งไม้ไหว โหบเอาเสียงแว่วคลอเสียงสะอืนให้ใครซักคนได้ยิน 

  

“ใกล้ถึงเวลาแล้ว...หนา ใกล้พบกันแล้ว...หนา" 

 

เสียงเย็นยะเยือก โชยมาตามลม แว่วเสียงเพียงอยากให้ใครซักคนได้ยิน 

  

โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ 

  

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว