บทนำ
ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในเมืองกรุง
ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยเครื่องมือแพทย์ทันสมัยมากมาย มีร่างของผู้หญิงวัยสี่สิบกว่าปีกำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย สายน้ำเกลือ สายเครื่องมือต่างระโยงระยางเต็มไปหมด ข้างๆ กันมีหญิงสาววัยยี่สิบสองย่างสี่สิบสามปีนอนฟุบลงกับเตียงคนไข้ มือเรียวเล็กจับมือของคนบนเตียงเอาไว้ไม่ห่าง
"อะ..เอวา" เสียงแหบแห้งของคนบนเตียงทำให้ร่างบางสะดุ้งตื่น
"แม่คะ วาอยู่นี่ค่ะ" ใบหน้าสวยหวานน่ารัก หม่นหมอง ค่อยๆ ยิ้มออกมาเมื่อมารดาของเธอตื่น
"ทานน้ำหน่อยนะคะแม่" ร่างบางค่อยๆ ป้อนน้ำให้กับผู้เป็นมารดาด้วยความอ่อนโยน
"วันนี้ไม่มีเรียนหรอลูก" คนป่วย ถามบุตรสาวเพียงคนเดียวของตน เมื่อเห็นว่าสายมากแล้ว
"มีค่ะ วามีเรียนช่วงบ่ายจนถึงห้าโมงเย็น " เธอตอบมารดาด้วยน้ำเสียงสดใส
เอลลี่มองไปที่นาฬิกาภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี
"วาไปเตรียมตัวไปเรียนเถอะลูก แม่อยู่ได้ เดี๋ยวคุณพยาบาลก็มาคุยเล่นกับแม่แล้ว " ด้วยความที่ไม่อยากให้บุตรสาวของตนนั้นขาดเรียนเธอจึงพยายามฝืนยิ้มออกมา เพื่อให้บุตรสาวของตนนั้นสบายใจขึ้น
"แต่ว่า"
"แม่อยู่ได้จริงๆ วาอย่าห่วงเลยเด็กดี " เธอยื่นมือที่ผอมจนหนังแทบจะติดกระดูก ค่อยๆ ลูบใบหน้าที่มีเคล้าโครงของชายที่ตนรักอยู่หลายส่วนเบาๆ
"ค่ะแม่ วาไม่อยู่แม่ต้องทานข้าวให้เยอะๆ นะคะ แล้ววาจะรีบกลับมา แม่อยากทานอะไรไหมคะ" ดวงตากลมโตของเอวามองมารดาด้วยความรักเต็มเปี่ยมหัวใจ และแน่นอนว่าใบหน้าสวยหวานของเธอนั้นถอดแบบมาจากผู้เป็นมารดาเกือบทั้งหมด
ตั้งแต่วันนั้น.....มีเพียงมารดาที่เลี้ยงดูเธอตามลำพัง ทำให้เธอรักและเทิดทูนมารดาของตนยิ่งกว่าสิ่งใด
"แม่ขอเป็นผลไม้ก็แล้วกัน เอาล่ะเด็กดื้อรีบกลับไปเตรียมตัวไปเรียนได้แล้วเดี๋ยวจะเข้าเรียนสายเอา"
"ค่า~ วาจะรีบกลับมานะคะ รักแม่นะคะ จุ๊บ" ร่างบางสมส่วนของเอวาเข้าไปกอดมารดาดั่งเช่นทุกครั้ง
"แม่ก็รักหนูจ้ะ จุ๊บ"
เอลลี่มองตามร่างของบุตรสาวด้วยสายตารักใคร่ และมันแปลเปลี่ยนเป็นแววตาเศร้าหมอง ก่อนที่เธอจะคิดถึงภาพอดีตที่แสนโหดร้ายเป็นครั้งสุดท้าย
สิบห้าปีแล้วสินะ ที่เธอกับลูกสาวออกมาจากเขา สิบห้าปีที่เธอกับลูกต้องหนีการตามล่า สิบห้าปีที่เธอกับลูกต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ สิบห้าปีแห่งความเจ็บปวดทรมาน และอีกไม่นาน....ที่มันจะสิ้นสุดลง
ภายในห้องโถง ณ คฤหาสน์หิรัญพนารัตน์
หญิงสาวเจ้าของใบหน้าสวยหวานผสมผสานกันอย่างลงตัวของสองเชื้อชาติ เธอมีชื่อว่า เอลลี่ ชโรชา หิรัญพนารัตน์ (นามสกุลเดิม เบรย์เดน)
ข้างกันคือบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอ ทั้งเธอและบุตรสาวกำลังมองไปยังบุคคลมาใหม่สองคน ซึ่งมองแวบแรกก็รู้ว่าทั้งคู่เป็นแม่ลูกกัน
เอลลี่มองไปทางสามีของเธอ ก่อนที่จะมองไปทางสาวสวยที่ดูแล้วอายุน่าจะน้อยกว่าเธอประมาณสองถึงสามปี เธอมีใบหน้าที่สวยคม แต่งตัวจัดจ้าน เธอมองมาที่เอลลี่ด้วยแววตาสะใจ แต่เอลลี่ก็หาได้ใส่ใจ ก่อนที่จะมองไปทางเด็กน้อยวัยไล่เลี่ยกับบุตรสาวของเธอ
"คุณมีอะไรจะบอกฉันรึเปล่าคะคุณคชากร" เอลลี่ถามผู้เป็นสามีด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"แอล นี่คือ สร้อยมาลา ภรรยาอีกคนของผม"
ตึง!
เสียงตุ๊กตาตัวโปรดของเด็กหญิงวัยเก้าขวบหลุดออกจากอ้อมแขน
เอลลี่มองไปทางบุตรสาว ตอนนั้นทำให้เธอได้เห็นแววตาเจ็บปวดของบุตรสาวอย่างชัดเจน และแน่นอนว่า คชากรก็เห็นมันเช่นกัน
"เอวา..พะ..พ่อ" คชากรมที่เห็นแววตาเจ็บปวดของบุตรสาวทำให้เขาถึงกับใจหาย ไม่ทันให้เขาได้พูด ร่างเล็กๆ ของเอวาก็วิ่งหายไปเสียแล้ว
"รีบพูดเรื่องของคุณมาเถอะค่ะ ฉันไม่มีเวลามานั่งฟังเรื่องไร้สาระของพวกคุณหรอกนะคะ" วาจาเชือดเฉือนของเธอยิ่งตอกย้ำความเลวของเขาเข้าไปอีกเท่าตัว
"คะ...คือ...ต่อไปนี้สร้อยจะเข้ามาอยู่ที่นี่กับผม ในฐานะภรรยาอีกคนของผม " คชาการมองภรรยาสาวตรงหน้าของตน
เขารู้ว่าเขามันเลว เขารู้ว่าเขามันชั่ว แต่ในเมื่อเขาทำแล้วก็ต้องรับผิดชอบ เขาไม่อยากให้สร้อยต้องทนเป็นขี้ปากชาวบ้านอีกต่อไป ไหนจะอิงดาวที่กำลังเติบโตขึ้นทุกวันอีก
"ได้ค่ะ " คำตอบง่ายๆ ของเอลบี่ทำให้คชากรโล่งใจ แต่ก็ต้องตกใจกับคำตอบต่อมาของเธอ
"แต่คุณกับฉันต้องหย่ากัน! "
"ไม่ได้นะแอล! ผมไม่ยอม คุณเป็นเมียของผมนะ! "
"เหอะ! เมียหรอ คุณยังจะกล้าพูดมันออกมาอีกหรอคุณคชากร ความเป็นสามีของคุณมันไม่เหลือตั้งแต่ที่ฉันรู้ว่าคุณนอกใจฉันแล้ว! หึหึ อย่ามายัดเยียดคำบัดซบนั่นให้ฉัน ฉันไม่ต้องการ! ในเมื่อคุณเลือกที่จะพาเธอเขาแล้ว คุณก็ต้องกล้ารับสิ่งที่จะตามมาเช่นกัน! " คชากรมองภรรยาสาวที่เคยอ่อนหวาน พูดเพราะ ของตนด้วยความไม่เชื่อสายตา
"แอล! มันจะมากไปแล้วนะ! "
"ทำไม! ฉันทำไม! คุณอย่าลืมนะว่าที่คุณมีทุกวันนี้เพราะใคร ฉันคิดผิดจริงๆ ที่ยอมทิ้งศักดิ์ศรีของท่านหญิงมาแต่งงานกับผู้ชายเลวระยำอย่างคุณ! "
ด้วยความโกรธ โมโห ทำให้เขาพลั้งมือตบผู้เป็นภรรยาที่ร่วมทุกร่วมสุขกันมาหลายปีอย่างแรง
เพี๊ยะ!
ใบหน้างามหันตามแรงตบ เอลลี่เองไม่คิดว่าคนที่เธอรักจะกล้าทำร้ายเธอเช่นกัน น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไหลอาบหน้า เลือดสดๆ ค่อยๆ ไหลออกมาจากมุมุปาก
คชากรที่ได้สติ ถึงกับตัวชาวาบ นี่เขาทำอะไรลงไป ตอนนี้ตัวจองเขาสั่นไปด้วยความกลัว
เอวาที่แอบดูอยู่นานรีบวิ่งออกมากอดผู้เป็นมารดาของตนพร้อมดับน้ำตา ก่อนที่เธอจะแผดเสียงใส่ผู้เป็นบิดาด้วยความเสียใจ
"วาเกลียดคุณพ่อ! คุณพ่อทำร้ายคุณแม่ คุณพ่อใจร้าย วาเกลียดคุณพ่อ! เกลียดผู้หญิงคนนั้น เกลียดเด็กคนนั้นด้วย! คุณพ่อนิสัยไม่ดี ว่าเกลียด เกลี๊ยดด!! "
"หยุดนะเอวา! นั่นน้องลูกนะ! "
"ฮึก....มันไม่ใช่น้องวา วาเกลียดมัน! เกลียดแม่ของมันด้วย! "
เพี๊ยะ!
เป็นอีกครั้งที่คชากรให้อารมณ์อยู่เหนือการควบคุมของตัวเอง ทำให้เขาพลั้งมือตบใบหน้าเล็กๆ ของบุตรสาวที่ตนทะนุถนอมเธอมาอย่างแรง
เอลลี่ที่เห็นดังนั้นความอดทนของเธอขาดสะบั้นลงในทันที รีบเข้าไปกอดปลอบบุตรสาวที่กำลังเสียขวัญอย่างร้อนรน
"คุณคชากร! คุณกล้ามากที่ทำร้ายลูกของฉัน! ดี! ในเมื่อคุณกล้าขนาดนี้ ต่อไปคุณกับฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก! " เธอรีบเข้าไปโอบอุ้มเอวาด้วยหัวใจแตกสลายไม่เหลือชิ้นออกมาจากตรงนั้น
"ฮื่อออ....คุณแม่ขา ฮึก...ว่าเจ็บ..ฮื่ออออ"
"ไม่เป็นไรนะคะเด็กดี เราจะออกไปจากที่นี่กันนะคะ" เอลลี่รีบเดินขึ้นไปบนห้อง เธอรีบเก็บของที่จำเป็นพร้อมเงินของเธออีกก้อนหนึ่ง จากนั้นก็พาลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอออกมาโดยไม่สนใจเสียงตะโกนเรียกตามหลังเลยสักนิด
"คุณกรขา ปล่อยให้นัง...เอ่อ...คุณเอลลี่ไปทำใจสักพักเถอะค่ะ เดี๋ยวเธอใจเย็นเธอก็กลับมาเองนะคะ" สร้อยมาลาพูดเสียงหวาน พร้อมทั้งออกแรงรั้งคชากรเอาไว้
"แอล! ผมขอโทษ แอลกลับมาเถอะ! ผมผิดไปแล้ว แอลผมขอโทษ! ฮื่อออ แอลลลล! " คชากรที่หัวใจแตกสลายไม่แพ้กัน เขาปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อายใคร ร่างหนาทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง
"ใจเย็นๆ นะคะ เดี๋ยวคุณเอลลี่ก็กลับมา"
"คุณพูดจริงๆ หรอสร้อย แอลจะกลับมาหาผมจริงๆ หรอ...ฮึก..." คชากรสวมกอดสร้อยมาลาอย่างหาที่พึ่ง
"จริงค่ะ" ด้วยความที่เขาซบอยู่ที่ซอกคอของเธอ ทำให้เขาไม่อาจเห็นแววตาสะใจของหล่อน
'หึหึ ในที่สุดฉันก็ทำสำเร็จ แกอย่าคิดว่าจะได้กลับมาอีกเลยนังเอลลี่'
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเอลลี่และเอวาต้องหลบหนีการไล่ล่าของกลุ่มคนปริศนามาตลอด
โดยที่คชากรไม่อาจรับรู้เลยว่าเมียคนที่เขาวางใจหนักหนา ภรรยาที่บอกกับเขาว่าจะส่งคนออกตามหาภรรยาเอกของตนนั้น เป็นเพียงคำกล่าวอ้างเท่าสิ้น ทั้งที่จริงแล้วมันคือการสั่งฆ่าเอลลี่กับเอวาต่างหาก!
แหมะ! แหมะ!
หมดน้ำตาไหลรินออกจากดวงตาสีน้ำตาลเทาของเอลลี่อย่างกลั้นไม่อยู่
นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายของเธอแล้วสินะที่เธอจะคิดถึงเขา
เธอรู้ตัวเองดีว่าตัวเองคงจะมีชีวิตได้อีกไม่นาน เธอขอเก็บความเจ็บปวดนี้เอาไว้เพียงผู้เดียว ให้มันตายไปพร้อมกับเธอดีกว่า
มือผอมที่แทบจะไม่มีเนื้อหนังค่อยๆ ยกขึ้นปาดหยดน้ำตาออกอย่างอ่อนแรง
"เป็นยังบ้างคะวันนี้ " เสียงของคุณหมอสาวสวยหรือที่ทุกคนเรียกคุณหมอฟ้าเอ่ยถามคนไข้ของตน
"มีเพลียๆ บ้างค่ะ คุณหมอคะ ดิฉันขอออกไปสูดอากาศได้ไหมคะ" เอลลี่เอ่ยถามคุณหมอที่หลังตรวจเสร็จ
"ได้ค่ะ แต่แค่แป๊บเดียวเท่านั้นนะคะ เพราะถ้านานเดี๋ยวอาการจะทรุดเอาได้ เดี๋ยวหมอจะไปเป็นเพื่อนนะคะ" คุณหมอสาวยิ้มหวานให้เอลลี่
"ขอบคุณค่ะ" เธอยิ้มหม่นหมองออกมาน้อยๆ
หลังจากนั้นสิบนาที ทั้งคุณหมอสาวและเอลลี่ก็มาถึงสวนดอกไม้ข้างๆ ตึกที่เธอพักพอดี
"เป็นยังไงบ้างคะ สดชื่นขึ้นไหม" ฟ้าระดาเอ่ยถามคนไข้ของตน ตั้งแต่ที่เอลลี่ได้เริ่มเข้ารักษากับเธอมา ตอนนี้ก็เข้าปีที่ห้าแล้ว เธอเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ ทำให้เธอต้องดิ้นรนด้วยตนเองจนได้เป็นหมอตามที่ตนเองหวัง
ห้าปีที่เธอดูแลคุณเอลลี่มา ทำให้เธอผูกพันธ์กับเอลลี่ได้อย่างแปลกประหลาด จนทำให้เธอสนิทกับเอวาไปด้วย
"ดีขึ้นแล้วค่ะ หมอฟ้าคะ ถ้าฉันเป็นอะไรไปฉันจอฝากเอวาด้วยนะคะ ในครอบครัวนอกจากฉันแล้ว เอวาก็ไม่มีใครอีกเลย ถึงแม้ว่าเอวาจะมีเพื่อนสนิทก็ตาม " คำพูดของเอลลี่ทำให้หัวใจของฟ้าระดาหล่นตุ๊บไปอยู่ที่พื้น
"คะ..คุณน้าคะ.." น้ำตาของฟ้าระดาค่อยๆ ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
"ฉันรู้ว่าฉันอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ถือว่าเห็นแก่ฉันนะคะ" ฟ้าระดามองรอยยิ้มหม่นหมองของคุณน้าที่เธอเคารพไม่ต่างจากมารดา แม้ว่าเธอจะรู้จักกันเอลลี่ได้ไม่นานก็ตาม
"ค่ะ ฟ้าจะดูแลน้องเอวาให้คุณน้าเอง ฮึก..."
"อย่าร้องเลยค่ะ มันเป็นปกติที่คนเรามีเกิดก็ต้องมีตาย เฮ้อ แค่นี้ฉันก็หมดห่วงแล้วล่ะค่ะ นี่ก็นานมากแล้วเรากลับกันดีกว่าค่ะ"
"ดะ...ได้ค่ะ..."
จากนั้นฟ้าระดาก็ค่อยๆ พาเอลลี่ขึ้นไปพักผ่อน เพราะอีกเจ็ดวันข้างหน้าเธอต้องเข้ารับการเลเซอร์ทำลายเซลล์มะเร็งเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว....
เปิดมาตอนแรกก็เศร้าแล้ว ทุกคนอย่างพึ่งสาปแช่งไรท์นะคะ ใจเย็นก่อนเด้อ
หากมีสิ่งใดผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ🙏