การเดินทาง
0
ตอน
2.01K
เข้าชม
112
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

เรื่อง การเดินทาง

ณ ปลายสุดของแดนโลกันต์ บนหน้าผาที่กั้นโลกเบื้องหน้ากับโลกเบื้องหลังไว้ ตัวผมยืนเผชิญหน้ากับสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการเพียงลำพัง “มังกร”เจ้าของร่างที่ใหญ่โตราวกับยักษ์ที่แบกโลกเอาไว้ ผู้มีเกล็ดสีนิลแวววาวที่แข็งแกร่งกว่าธาตุใดๆบนพื้นพิภพ “มังกร”ผู้ครอบครองภูมิปัญญาที่มีอยู่ทั้งหมดในภพทั้ง 3 ผู้มีลมหายใจสีเพลิงที่เปลี่ยนภูมิประเทศรอบด้านให้เป็นทะเลเพลิง และ “มังกร” ผู้ที่ถือกำเนิดจากแสงสว่างและความมืดมิด ผู้ที่ถูกเล่าขานมาว่าเป็น “ผู้ประทานปาฏิหาริย์”

“น้ำตา”ของผมไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ในอกของผมตอนนี้ทั้งที่มันอึดอัดแทบขาดใจแต่ทว่าผมกลับรู้สึกโล่งใจ มันขัดแย้งกัน ผมรู้ตัวดีว่าตอนนี้ความรู้สึกของมันตีรวนผสมปรวนแปรกันไปหมด ทั้งหมดที่เป็นแบบนี้มันก็เพราะว่า ตัวผมนั้นได้มาถึงแล้ว ณ ที่ตรงนี้ และ การที่ผมได้รู้และสัมผัสได้ว่าเงาร่างที่อยู่เบื้องหน้านั้นคือความจริง ในที่สุดตัวผมก็มาถึงจุดหมายซักที จุดหมายของการเดินทางอันยาวนานของผม จุดหมายที่ผมออกเดินทางมาเพื่อความปรารถนาของผม

“ลูกมนุษย์จงบอกความประสงค์ของเจ้ามา...ว่าเจ้ามาพบข้าเพื่อสิ่งใด”

“ผ...ผม...ความปราถนาของผม...ผมต้องการ...กลับไปที่เดิมอีกครั้ง”

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบของเช้าวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกา เช้านี้ก็ดังเช่นทุกวันที่แสงอันเจิดจ้าจากดวงตะวันจะสอดส่องเข้ามาในห้องนี้ ห้องนอนเล็กๆของเขา “วิริยะ เมฆาพิทักษ์” เสียงนาฬิกาปลุกยังคงดังต่อเนื่องยาวนานจนไม่มีท่าทีจะหยุดลง จนทำให้เจ้าของร่างที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่ได้แต่นอนขยับตัวไปมาอย่ารำคาญเพื่อหนีเสียงนั้น แต่สุดท้ายเขาก็ไม่อาจทนกับเสียงแสบแก้วหูที่ดังต่อเนื่องได้ จึงได้แต่กระดกหัวขึ้นมามองที่มาของเสียงอย่างหงุดหงิดใจ ก่อนจะยื่มมือไปคว้าวัตถุทรงสี่เหลี่ยมที่เป็นเจ้าของเสียง เขาจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจัดการกดปิดไอคอนนาฬิกาปลุกที่โชว์อยู่จนเสียงดับไป แล้วเขาก็ฟุบหน้าลงกับหมอนก่อนจะหลับลงไปอีกครั้ง

นานเท่าไหรไม่รู้แต่จากแสงแดดที่สว่างจ้าสดใสในตอนแรกก็เริ่มมืดครึมลง หมู่มวลเมฆก็จับตัวกันมาขึ้นจนมืดครึมเป็นสีดำ และส่งเสียงครางครืนมาแต่ไกล เขาวิริยะตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากนอนต่อไปอีกหลายชั่วโมง เขาลุกนั่งขณะที่ดวงตาของเขาสอดส่องมองไปรอบห้องอย่างงุนงง “กี่โมงแล้ว...” เขาถามตัวเองเบา ขณะที่สายตาเริ่มมองออกไปนอนหน้าต่างแล้วเห็นริ้วเมฆมืดครึมที่ปกคลุมไปทั่ว “ฝนจะตก?” เขาคิดแล้วนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังรวบรวมสติให้เข้าที่ ซักพักเขาก็หยิบโทรศัทพ์ที่วางอยู่ข้างหมอนขึ้นมาเพื่อดูเวลา ก่อนที่ใบหน้ามึนงงของเขาจะแปลเปลี่ยนเป็นตกใจสุดขีด “สายแล้วโว้ยยยยย” เขาแหกปากดังลั่นก่อนจะลุกวิ่งออกจากเตียงไปยังห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

5 นาที ต่อมาเขาวิริยะก็จัดการกับตัวเองตัวเองตัวเองเสร็จ ทั้งอาบน้ำ แปรงฟัน และแต่งตัว ในขณะที่เขาแต่งตัวนั้นโทรศัพท์ของเขาก็แผดเสียงขึ้นอีกครั้ง และเพียงแค่เห็นชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอเท่านั้นเขาก็หน้าซีดรีบแต่งตัวอย่างลวกเร็วแล้ว ก็คว้ากระเป๋าสะพายรีบวิ่งออกจากห้องของตัวเองไป เสียงริ่งโทนดังแล้วดับไปรอบหนึ่งโดยที่เขาไม่ได้กดรับ เพราะรู้ดีว่าถ้ารับสายแล้วจะเป็นอย่างไร เขาจึงได้แต่กัดฟันรีบวิ่งแล้วหวังว่าตัวเองจะรีบไปให้ถึงจุดหมายได้อย่างเร็วไว

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นรอบที่ 5 แล้วขณะที่เขาวิ่งมานั้นฝนก็เริ่มลงเม็ดมาอย่างหนักหน่วงจนเขาไม่อาจจะเดินทางต่อไป เขาจึงวิ่งไปหลบฝนตรงที่รอรถประจำทาง ในใจของเขาคิดเพียงว่าคงจะไปไม่ทันเสียแล้ว จนเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งเขาจึงได้แต่รับสายอย่างจำใจ และแทบจะในทันทีที่เขารับสาย คนปลายสายก็ส่งคำทักทายเป็นเสียงที่โคตรจะดังกับคำหยาบมาให้เขาก่อนชุดหนึ่งจนเขาจะต้องเอาโทรศัพท์ออกหาจากหู จนเขารอจนแน่ใจว่าเสียงของปลายสายเงียบลงแล้วจึงส่งเสียงทักทายพร้อมกัยคำแก้ตัวไป

“สวัสดี โทษที ตื่นสายวะ” เขาพูดไปแบบนั้นปลายสายก็เงียบยาวไปซักพักหนึ่งก่อนจะมีเสียงถอนหายใจยาวๆลอดกลับมา

“แล้วนายจะไปอยู่มั้ย” ปลายสายถามกลับมา

“ไปสิ แต่พวกแกไปก่อนเลยก็ได้เดี๋ยวฉันขึ้นรถตามไปทีหลัง” วิริยะตอบกลับปลายสายไปขณะที่สายตาของเขาก็กวาดตาของไปรอบๆอย่างไรจุดหมาย

“เอ้อ...งั้นก็รีบตามล่ะกัน ไปเจอกันที่... ”เสียงโทรศัพท์ยังคงดังอยู่ วิริยะได้ยินแต่กลับไม่ได้สนใจคำพูดของปลายสายอีกต่อไป สายตาของเขาได้แต่จับจ้องอยู่ที่ตรงนั้น กลางถนนกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ยืนตากฝนอยู่ตรงนั้น

“มันไม่ถูกต้อง” เขาคิดในใจ ขณะที่มองไปที่เด็กคนนั้น “พ่อแม่เด็กไปไหน” ในขณะที่คิดเขาก็ก้าวออกไปตรงของฟุตบาท ในตอนที่วิริยะกำลังจะตะโกนบอกให้เด็กคนนั้นเดินออกมาจากตรงนั้น เขาก็เห็นแสงไฟและได้ยินเสียงแตรรถบรรทุกที่ดังขึ้น รถกำลังพุ่งเข้ามาหาเด็กคนนั้น “เด็กคนนั้นต้องโดนชนแน่ๆ”

ตอนนั้นผมก็ก้าวออกไปแล้ววิ่งไปข้างหน้าอย่าสุดแรง “ขอให้ทัน” ผมคิดอยู่แค่นั้นแต่เมื่อวิ่งไปถึงเป้าหมายแล้วร่างผมกลับชะงักค้างราวกับถูกตรึงอยู่เสียงของทุกสรรพสิ่งรอบกายเงียบสนิท เด็กผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้ว “ตาฝาดหรอ” ผมคิดอย่างงุนงง ในขณะนั้นเองเสียงแตรรถบรรทุกก็ระชากสติของผมออกจากพวัง แสงไฟของรถที่สาดมาที่ตรงหน้าทำเอาทุกอย่างขาวโพลน ผมคิดอะไรไม่ออกเลยได้แต่ยืนค้างอยู่ตรงนั้น “ไม่รอดแน่” ผมคิดก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงกระทบกันอย่างรุนแรง แล้วภาพที่ตัวผมเห็นก็หมุนควงไปอย่างรุนแรง รู้ตัวอีกทีผมก็นอนอยู่บนพื้นเสียแล้ว “ผมโดนชน?” ผมคิดในขณะที่ยังนอนอยู่บนพื้นฝนที่เทกระหนำลงมากระเซ็นโดนหน้าผมไม่หยุดจนรู้สึกรำคาญ แต่ผมกลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย ผมอยากจะลุกขึ้นแต่ร่างกายมันไม่ขยับ ผมอยากพูดแต่ก็ทำไม่ได้ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างนั้น

จนไม่กี่นาทีแต่ยาวนานนับชั่วโมงในความรู้สึกของผม ความเจ็บปวดแทบขาดใจและความง่วงที่ผสมปนแปกันก็เริ่มเข้ามาครอบงำ ร่างกายของผมกระตุกอย่างรุนแรงด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะค่อยๆแน่นิ่งลงตัวผมเริ่มรู้สึกว่าหนังตาตัวเองจะหนักลงแล้วก็เริ่มจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ได้รับตอนแรกอีก “ง่วง” ผมคิดขณะปรือตาลงช้าๆ

สิ่งสุดท้ายที่ผมรับรู้คือ ภาพของใครคนหนึ่งที่เดินเข้ามาใกล้ เด็กคนนั้น...ที่ตัวผมคิดจะเข้าไปช่วย “ปลดภัยดีสินะ” ผมคิดขณะทีเด็กคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ก่อนจะก้มลงมามองผม ใบหน้าของเด็กคนนั้นยิ้มแย้มอย่างสดใส ขณะมองมาที่ตัวผม เธอยิ้มอยู่แบบนั้นซักครู่ก่อนจะพูดว่า “การเดินทางกำลังจะเริ่มต้นแล้วนะคะ พี่ชาย” แล้วการรับรู้ทุกอย่างของผมก็ถูกตัดขาดไป

เสียงร่ำไห้ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาดังคลอไปกับอากาศ ตัวผมอยู่ตรงนี้สถานที่ที่เต็มไปด้วยความสงบ ความเศร้าสร้อย และความอาวร สถานที่แห่งนี้ที่เรียกว่าสุสาน และตรงหน้าของผมก็คือป้ายหินสีนิลอันหนึ่งที่สลักชื่อ วันเกิด และวันตายของผม ตรงป้ายหินสีนิลนี้ที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเหล่าเพื่อน พี่น้อง ญาติ และบาทหลวง ได้ช่วยกันทำพีธีฝังโลงที่มีร่างของผมอยู่ลงไปข้างใต้ หลังจากนั้นช่อดอกไม้ช่อแล้วช่อเล่าก็ถูกวางบนแผ่นหินนี้จนเต็ม ก่อนที่พวกเขาจะจากไปทิ้งไว้เพียงความเศร้า ความอาลัยอาวรไว้เบื้องหลัง

ผมอยู่ตรงนี้หน้าหลุมฝังศพตัวเองมาหลายชั่วโมงแล้ว บอกตามตรงตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออกเลยทุกอย่างเหมือนอยู่ๆก็มาถึงทางตันเสียเฉยๆแล้วผมก็ไม่ได้คิดด้วยว่าตัวเองจะตายก็เลยไม่ได้คิดว่าตัวเองตายไปแล้วจะไปทำอะไร ซึ่งมาคิดๆดูแล้วผมก็ไม่รู้จะทำอะไรจริงๆ สุดท้ายผมก็ได้แต่แต่นั่งเหม่อมองฟ้าไปเรื่อยๆเท่านั้น

ตัวผมในตอนนี้ก็เหมือนอากาศที่ไม่มีใครมองเห็น ทั้งๆที่มองภายนอกจากสายตาของผมเองก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป ตัวผมก็เหมือนเดิมไม่ได้โปร่งใส ไม่ได้ลอยไปลอยมาได้ ไม่ได้หายตัวได้ และไม่ได้มีสภาพเหมือนตอนตาย ปกติดีทุกอย่างผมสรุปกับตัว แต่ว่าก็มี 2 สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม คือ หนึ่งผมไม่มีร่างกายแล้วก็เลยไม่มีใครมองเห็น สองตัวผมมีของเพิ่มขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งสิ่งของที่ว่านี้มันคือ กำไลกระดิ่งอันเล็กๆที่ตัวกำไลถูกแกะสลักเป็นรูปเถาว์ไม้อะไรซักอย่าง ซึ่งทุกครั้งที่ผมขยับตัวกำไลกระดิ่งก็จะส่งเสียงใสๆก้องกังวาลออกมาทุกครั้ง กำไลกระดิ่งนี้มันมาจากไหนมาได้ยังไงผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันแต่ทุกครั้งที่ผมได้ยินเสียงของมันผมกลับรู้สึกสงบอย่างบอกไปไม่ถูก

แต่ก็นึกไปถึงช่วงแรกที่ผมรู้ว่าตัวเองตาย ในตอนนั้นผมทั้งร้องทั้งตะโกนอย่างบ้าคลั่งอย่างหวังว่าใครจะได้ยินเสียงของผม เข้าไปจับตัวคนอื่นแต่ก็ได้แต่ทะลุผ่าน พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเป็นการยืนยันว่าตัวเองยังไม่ตายทั้งที่มันเป็นความจริง จนสุดท้ายผมก็ได้แต่ปลงแล้วก็นึกถึงเรื่องต่างๆที่ตัวเองในตอนที่มีชีวิตอยู่แต่ก็ไม่ทำ พอนึกถึงช่วงเวลาที่ยังไม่ตายก็ได้เสียได้ ทั้งๆที่คิดว่าตัวเองจะสามารถทำอะไรได้มากว่านี้แล้วแท้ๆ

สุดท้ายผมก็ได้แต่ปลงแล้วปล่อยให้เวลาทั้งหมดไหลผ่านไป ผมนั่งอยู่ที่หน้าหลุมศพตัวเองหลายวันแล้ว มันก็น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกเหนื่อยหรือหิวเลย มันคงจะเป็นเพราะผมตายแล้วก็เป็นไปได้ ผมเลิกสนใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆก่อนจะนั่งเหม่อต่อ แต่บรรยากาศรอบข้างก็พลันเปลี่ยนไปเสียงกรีดร้องอันไร้ที่มาดังก้องไปทั่ว ก่อนที่บริเวณสุสานจะเริ่มมีหมอกแปลกๆลอยมาปกคลุมทำให้ทัศนวิสัยทั้งหมดหมดไป ตัวผมที่สังเกตุเห็นความผิดปกตินั้นลุกยืนแล้วมองไปรอบๆตัวอย่างระแวง “มีอะไรบางอย่างกำลังมา” ผมคิดอย่างนั้น ก่อนจะเห็นเงาสีดำบางอย่างปรากฏขึ้นในครรลองสายตา

เงาสีดำนั้นเคลื่อนที่เข้ามาหาผมเรื่อยๆจนผมสังเกตุรายละเอียดของร่างนั้นได้อย่าชัดเจน ร่างสูงใหญ่ตรงหน้าที่ทั้งตัวถูกห่มคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำสนิทที่พริ้วไหวทุกครั้งที่ขยับ มือซ้ายที่เป็นโครงกระดูกสีขาวหม่นที่ถือตะเกียงโบราณอันใหญ่เอาไว้ และที่หลังของเงาร่างนั้นก็แบกโลงสีดำขนาดใหญ่เอาไว้ ร่างนั้นค่อยเคลื่อนเข้ามาแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าของผม

“วิริยะ เมฆาพิทักษ์” เขาพูดขณะมองหน้าของผมผมคิดแบบนั้นเพราะผมมองใบหน้าที่อยู่ใต้ฮูดของร่างตรงหน้าไม่เห็นแต่รู้สึกว่าเขาจ้องผมอยู่

“ค...ครับ”

“เกิดวันที่ 18 มกราคม 1993 มรณะ 23 สิงหาคม 20XX สาเหตุการตาย ถูกรถชนที่กลางถนน ในขณะที่อายุไขยังคงเหลืออีก 50 ปี จากการพิจารณา..”

“อะ...อะไรนะครับ”ผมตัดสินใจพูดขัดเมื่อร่างนั้นยมทูตพูดถึงอายุไขคงเหลือ “ผมยังมีอายุไขคงเหลือ”

“ใช่ แต่คืนชีพไม่ได้” ยมทูตพูดตอบดักทางผมไว้ “ร่างเน่าหมดแล้ว” ผมค้างอยู่ตรงนั้นอย่างคนที่คิดอะไรไม่ออก

“จากการพิจารณาของศาลโลกันต์ เนื่องจากจำนวนอายุไขที่เหลือนั้นมีมากกว่า 10 ทำให้การปล่อยให้แร่ร่อนในแดนมนุษย์อาจทำให้วิญญาณแตกสลาย ทำให้ศาลตัดสินให้ วิริยะ เมฆาพิทักษ์ เข้าสู่ประตูแห่งการทดสอบเพื่อไปเกิดใหม่โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาบาป จบคำตัดสิน ” พอพูดจบยมทูตก็เอื้อมมือมาจับแขนข้างซ้ายของผมที่สวมกำไลอยู่ ตัวผมที่สติกำลังหลุดลอยไปไกลก็รู้สึกตัวพยายามดึงแขนตัวเองออก แต่เพียงชั่วครู่ที่ยมทูตจับกำไลที่แขน แสงสว่างก็ส่องสว่างวาป แล้วผมก็ไม่ได้อยู่ตรงที่เดิมเสียแล้ว

ตรงหน้าของผมคือประตูบานยักษ์บานหนึ่งที่เป็นประตูสีดำสนิท มีลอดลายเป็นผู้คนในกริยาต่างๆที่มีทั้งหัวเราะ ร้องไห้ ดีใจ หรือแม้แต่บ้าคลั่ง ภาพทุกอย่างเหมือนจริงจนราวว่าคนในรูปภาพนั้นจะขยับได้ ผมเดินถอยหลังด้วยความกลัวโดยไม่รู้ตัวจนชนเข้ากับยมทูตที่ยืนอยู่ข้างหลัง ตอนที่ผมชนเขา เขาเหมือนจะมองมาเล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปตรงที่ประตูนั้นแล้วพูดแล้ว

“วิริยะ เมฆาพิทักษ์ จากนี้เจ้าจงเลือก...ว่าเจ้าจะเข้าสู่หนทางแห่งการเกิดใหม่”เขาผายมือไปที่ประตูก่อนที่ประตูบานยักษ์จะค่อยๆเปิดออกช้าๆพร้อมทั้งหอบเอาลมหอมเย็นๆจากภายในออกมากระทบหน้า “หรือจะอยู่เร่ร่อนในแดนคนตายแห่งนี้จนสิ้นอายุไข”แล้วเขาก็เดินไปด้านหลังของผม ผมมองตามเขาไปก่อนจะเห็นว่าข้างหลังนั้นเป็นดินแดนรกร้างที่เป็นทะเลทรายสุดสายตา “จงเลือก มนุษย์เอ๋ย” ยมทูตพูดเป็นคำสุดท้ายก่อนสายลมจะเข้าโอบล้อมตัวเขาแล้วพัดหายไป

ผมยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูนั้นมองเข้าไปที่ประตู แล้วก็มองกลับไปด้านหลังที่เป็นทะเลทราย การเกิดใหม่ กับการเร่รอน ผมจะเลือกทางไหนดี ถ้าผมเลือกจะออกเร่รอนผมก็ไม่รู้จะไปทำอะไร แต่ถ้าผมเลือกที่จะเกิดใหม่ผมก็ไม่รู้อีกว่าถ้าเลือกไปเกิดใหม่แล้วมันจะเป็นอย่างไง ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นอยู่นาน จนสังเกตุว่าประตูแห่งการเกิดใหม่กำลังจะปิดอย่างช้าๆเช่นเดียวกับทะเลทรายเบื้องหลังที่ค่อยๆถูกความมืดเข้ากลืนกิน

แล้วผมก็ตัดสินใจวิ่งเข้าหาความมืดภายในประตูแห่งการเกิดใหม่ ทันทีที่ผมเข้าไปข้างในประตูก็ปิดไล่หลังมา ตัวผมตกอยู่ในความมืดเพียงชั่งครู่ ก่อนที่จะมีแสงสว่างค่อยๆสว่างขึ้นมาแสงสว่างนี้เป็นแสงสว่างที่มาจากดอกไม้ใบหญ้าสีขาวที่ขึ้นอยู่เป็นเส้นทางเหมือนถนนต้นหญ้าและดอกไม่ทุกต้นมีแสงในตนเองเป็นแสงสีขาวนวลตาและตอนนี้ตัวผมก็ยืนอยู่บนถนนดอกไม้นี้ เมื่อผมมองไปข้างหน้าเป็นถนนสีขาวยาวไปจนสุดสายตาและเมื่อมองไปด้านหลังก็เป็นถนนสีขาวยาวสุดสายตาเช่นกัน “ประตูหายไปแล้ว” ผมคิดก่อนจะมองรอบตัวอีกครั้ง ซึ่งนอกจากทางเดินดอกไม้กับความมืดแล้วที่นี่ก็ไม่มีอะไรอีกเลย ผมที่ยืนอยู่นานก็ตัดสินใจเดินต่อไปข้างหน้า

นานเท่าไหร่ไม่ทราบได้นอกจากเสียงฝีเท้าของผม เสียงลมหายใจของผม และเสียงกำไลกระดิ่งที่ข้อมมือแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรเลย มันเงียบไปหมดจนรู้สึกทรมาณอีกทั้งผมยังรู้สึกแปลกๆมีบางอย่างกำลังหายไป ตอนที่ผมคิดได้เช่นนี้ได้มันก็ตอนที่ผมไม่สามารถนึกชื่อของพ่อแม่ และเพื่อนของตัวเองได้ ในรู้แค่ว่าพวกเขาสำคัญ แต่นอกนั้นผมไม่รู้อะไรเลย ผมพลาดซะแล้ว ผมทรุดนั่งลงทันทีที่นึกได้ ทำไมผมไม่คิดได้ให้เร็วกว่านี้นะว่าถ้าจะไปเกิดใหม่อีกครั้งผมจำเป็นจะต้องลืมทุกอย่างให้หมดไป ผมสับสนไปหมดและพยายามนึกเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับพวกเขาให้ออกแต่ก็ไม่ได้ยิ่งนึกเท่าไหร่ยิ่งลืมไปเรื่อยๆ

ผมร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น ผมกลัวความว่างเปล่าจากการลืมเลือนนี้ ผมกอดตัวเองไว้แล้วล้มตัวนอนร้องไห้ ขดตัวจนเหมือนทารก “ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอาไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา”ผมบอกตัวเองย้ำไม่หยุด “อย่าลืม”ผมบอกตัวเองด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงลงเต็มที “ใครก็ได้...ช่วยด้วย ผมไม่อยากลืม”

ในตอนที่ความสิ้นหวังเข้ามาควบคุมหัวใจของผมนั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาตรงบริเวณข้อมือซ้ายของผม กำไลกระดิ่งกำลังทอแสงอ่อนออกมา พร้อมทั้งปล่อยลูกไฟสีขาวเล็กๆออกมาไม่หยุด ส่วนลูกไปเล็กๆนั้นเมื่อออกมาก็จับตัวรวมกันเป็นกลุ่มก้องแสงขนาดใหญ่แล้วค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างจนกลายเป็นคนคนหนึ่ง

คนคนนี้เป็นคนที่ผมรู้สึกคุ้นเคยมาแต่ก็ไม่อาจจดจำได้ว่าเป็นใคร แต่คนคนนี้เป็นคนที่ดูงดงามมาก แต่กลับดูไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายเป็นชายหรือหญิง เขาหรือเธอก็ไม่แน่ใจเมื่อปรากฎตัวสมบูรณ์แล้วก็ยืนมือมาหาผมก่อนจะลูบหัวผมเบาๆ แล้วยิ้มอย่างเอ็นดู

“เด็กน้อย เจ้าใช่หรือไม่ที่เรียกร้องหาตัวข้า”คนคนนั้นพูด “เจ้าใช่หรือไม่ที่ต้องการความช่วยเหลือ” ผมพยักหน้าให้กับอีกฝ่ายพลางพยุงตัวเองให้ลูกขึ้นนั่ง แล้วปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มตัวเองออก

“ครับ”

“แล้วเจ้าต้องการให้ข้าช่วยสิ่งใด เด็กน้อย”

“ผมอยากออกไปจากที่นี้ ผมไม่อยากลืม ผมอยากจะกลับไปหาคนที่ผมรักอีกครั้ง”พอผมพูดจนร่างตรงหน้าก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนตอบกลับมาว่า

“คำขอร้องของเจ้ามากมายเหลือเกินเด็กน้อย ตัวข้าไม่อาจทำตามที่เจ้าร้องขอให้ได้หมด ข้าขอกล่าวกับเจ้าตามตรงว่าข้าไม่อาจช่วยเหลือเจ้าได้โดยตรง แต่ข้าแนะนำหนทางให้เจ้าได้ แต่กระนั้นสิ่งที่ตัวข้าทำนั้นไม่ได้ทำให้ฟรี”

“ผม...จะอะไรก็ได้ ขอให้ช่วยผมที ผมจะมอบให้ทุกอย่าง”

“งั้นก็ดีเด็กน้อย ข้าจะพาเจ้าออกจากที่แห่งนี้ และแนะนำทางให้เจ้าให้ไปหาท่านผู้หนึ่งที่จะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงได้ แต่ต้องแลกกับของสำคัญของเจ้ากำไลกระดิ่ง ตัวตนของเจ้า นั้นเจ้าต้องมอบให้กับข้า”

“ผมจะมอบให้คุณ” ผมว่าพลางถอดกำไลกระดิ่งออกมา ในตอนที่ถอดนั้นผมรู้สึกใจหายแปลก แต่ผมก็เลือกจะทิ้งความรู้สึกนั้นไป ผมยืนกระดิ่งไปให้คนคนนั้น “คุณจะให้ผมไปพบกับใคร”

 

“ข้าจะให้เจ้าเดินทางไปพบกับ มังกรแห่งชีวิต ผู้ที่สามารถประทานปาฏิหาริย์ ให้แก่เจ้าได้” คนคนนั้นพูดขณะยื่นมือมาหาผมนิ้วเย็นๆของเขาสัมผัสหน้าผากของผมเพียงแผ่วเบา “เอาละการเดินทางของเจ้าได้เริ่มต้นแล้ว เด็กน้อยผู้ทิ้งตัวตนเอ๋ยจงตามหา และร้องขอการประทานพร จากจ้าวชีวิตทั้งปวงเสียเทิด”

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว