ความฝันตื่นหนึ่ง
0
ตอน
852
เข้าชม
74
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
1
เพิ่มลงคลัง

เรื่อง ความฝันตื่นหนึ่ง

เมื่อนานมาแล้วในตอนที่ตัวฉันยังเด็ก มีคนคนหนึ่งเคยบอกฉันว่า “มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความอยาก ซึ่งแต่ละคนก็มีความอยากมากน้อยต่างกันไป เพราะฉะนั้นจงระวังคนที่มีความอยากมากเกินไปให้ดี” ในตอนนั้นตัวฉันที่ยังเด็กไม่ได้เข้าใจความหมายของถ้อยคำนั้นเลย จนกระทั่งเมื่อตัวฉันได้เจอกับคนที่เป็นแบบนั้น คนที่เขาเรียกกันว่า “คนโลภ”  คนโลภที่ฉันเจอนั้น เขาเป็นคนสำคัญในชีวิตของฉัน เป็นคนที่ตัวฉันเฝ้าปรารถนาที่จะพบเจอมาตลอด จนวันหนึ่งเขาก็มาและแย่งเอาทุกอย่างในชีวิตของฉันไป โดยทำทุกอย่างเพื่อที่จะทำให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยไม่เลือกวิธีการ แม้ว่าวิธีนั้นจะเป็นการเอาชีวิตของคนทั้งคนก็ตาม

ในยามที่ตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้า ณ ชั้น 10 ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง  ตรงทางเดินของโซนห้องพักผู้ป่วยหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังรีบเดินไปตามทางอย่างรีบเร่ง เสียงรองเท้าส้นสูงของเธอดังกระทบเป็นจังหวะดังก้องไปทั่วทางเดินที่เงียบสงัด เธอคนนั้นเป็นคนที่มีใบหน้างดงามและดูมีเสน่ห์ทั้งที่วัยของเธอนั้นล่วงเลยมาถึงเลขสี่แล้วก็ตาม เธอเดินมาเรื่อยๆก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าห้องผู้ป่วยห้องสุดท้าย  หญิงวัยกลางคนมองไปที่ชื่อผู้ป่วยหน้าห้องด้วยความหงุดหงิด ดวงตาของเธอฉายแววอาฆาตแรงกล้า ก่อนจะเปิดเข้าไปภายในห้องนั้นโดยไม่เคาะประตู

ภายในห้องพักที่เงียบสงัดนั้น หญิงวัยกลางคนเดินตรงไปที่บริเวณกลางห้องที่มีผ้าม่านกั้นบังเตียงอยู่ เธอเดินเข้าไปก่อนจะเลื่อนม่านออกอย่างแรง เมื่อม่านเปิดออกที่อยู่ตรงหน้าของเธอนั้นก็คือร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่นอนหลับไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียง ที่มือและข้อมือของหญิงสาวนั้นถูกเจาะให้น้ำเกลือและสวมเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจเอาไว้ ใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นซีดเซียว หญิงวัยกลางคนมองภาพนั้นนิ่งก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปชิดที่เตียง ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนยามเมื่อมองหญิงสาวนั้นก็บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ สายตาของเธอนั้นมองดูคนตรงหน้าราวกับจะฉีกคนตรงหน้าให้เป็นชิ้นๆ “นางตัวมาร เมื่อไหร่แกจะหายไปซักที” นั้นเป็นสิ่งที่หญิงวัยกลางคนคิด ก่อนที่จะค่อยๆเอื้อมมือไปข้างหน้าอย่างช้าๆตรงไปยังเป้าหมายนั้นก็คือลำคอของหญิงสาว “แค่แกหายไปซะ ทุกอย่าง...ทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนเดิม”หญิงวัยกลางคนพูดเบาๆวางมือไว้ที่คอของหญิงสาวก่อนจะค่อยๆเพิ่มแรงกดขึ้นเรื่อยๆ “ลาก่อน อลิสา”

อลิ...อลิส...อลิสา...เสียงใครบางคนกำลังเรียกฉัน เสียง...มันดังขึ้นรอบๆตัวฉัน ตัวฉันที่ได้ยินเสียงเรียกแต่กลับไม่อาจมองเห็นหรือรู้ที่มาของเสียงก็ได้แต่เหลียวมองรอบตัวอย่างแปลกใจ ที่นี่ที่ไหน...ได้แต่คิดแบบนั้น เพราะที่ที่ฉันอยู่ตอนนี้มันมืดสนิท มันมืดไปหมดจนมองไม่เห็นอะไร นอกจากบริเวณรอบๆตัวของฉันเอง ฉันได้แต่เหลียวซ้ายแลขวาอย่างคนที่ไม่รู้จะทำยังไง ฉันกลัวความมืดนี้จนไม่กล้าแม้แต่จะเดินก้าวไปข้างหน้า แต่ทว่าทั้งๆที่ฉันกลัวแต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะมองไปในความมืดนั้นเพื่อมองหาที่มาของเสียงที่เรียกฉันอยู่ เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยจนราวกับว่ามันกำลังดังอยู่ภายในหัวของฉัน แล้วฉันก็พลันรู้สึกถึงแรงเขย่าที่ตัวฉันแรงๆ

“อลิสา...อลิสา ได้โปรดตื่นซักที”เสียงนั้นสั่นเครือและดูไร้เรียวแรง ฉันรู้สึกถึงอะไรอุ่นๆที่หยดลงตรงใบหน้าของฉัน ฉันรู้สึกถึงอ้อมกอดอุ่นๆที่กอดฉันแน่นจนรู้สึกเจ็บ “ได้โปรด อลิสา...ลูกตื่นขึ้นมาเถอะ” ฉันจำเสียงนี้ได้ มันเป็นเสียง “แม่” ของฉัน

ในตอนนั้นฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองค่อยๆลืมตา แสงข้างนอกนั้นสว่างจ้ามากจนฉันได้แต่กระพริบตาเสียหลายครั้งกว่าจะชิน ภาพแรกที่ตาของฉันเห็นคือภาพใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของหญิงสาวคนหนึ่งที่ฉันคุ้นตามากๆ เธอคนนั้นมีสีหน้าดีใจมากที่เห็นฉันตื่นขึ้นมา “อลิสา” เธอร้องออกมาอย่างดีใจก่อนจะกอดฉันเสียเต็มแรง ในตอนนั้นฉันถึงได้รู้ว่าเธอคือเจ้าของเสียงเรียกในหัวของฉัน ที่ความคิดแรกของฉันเมื่อจำเสียงนั้นได้ว่าเธอคือแม่ของฉันนั้นเอง แม่ร้องไห้ไม่หยุดขณะที่กอดฉันไว้ เธอร้องอยู่พักหนึ่งก่อนจะอุ้มฉันขึ้นมา ใช่อุ้มฉันขึ้นมาฉันในตอนนี้ที่เป็นเพียงเด็กอายุน่าจะประมาณ 4 ขวบ ไม่ใช่หญิงสาวอายุ 20 ต้นๆ แม่อุ้มฉันขึ้นไปบนบ้านแล้วพาชั้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ กินข้าว เล่น ของเล่น แล้วเข้านอน ซึ่งจากทั้งหมดนี้ฉันถึงได้รู้ว่าตัวฉันในตอนนี้เป็นเหมือนคนดูที่ดูความทรงจำผ่านคนๆหนึ่งซึ่งในที่นี้ก็คือตัวฉันเองตัวฉันในวัยเด็ก เป็นเพียงแค่คนดูที่ทำได้แค่ดูไม่อาจจะบังคับร่างกายใดๆได้เลย

ฉันเฝ้ามองการกระทำและรับรู้ความรู้สึกที่แสนอบอุ่นจากแม่ผ่านตัวฉันในวัยเด็ก ทำให้ฉันรู้ว่าแม่รักฉันมาก แม่มักจะกอดและหอมแก้มฉันเบาๆอย่างถนุถนอมเสมอ แม่มักเรียกชื่อฉันเบาๆพร้อมมอบรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นมาให้ แม่มักจะเล่านิทานสนุกๆให้ฉันฟัง แล้วพาฉันไปนั่งเล่นด้วยกันแถวๆศาลาริมน้ำ และแม่มักจะทำอาหารอร่อยๆให้ฉันกิน ในช่วงเวลานี้ตัวฉันมีความสุขมากกับการเฝ้ามองและรับรู้ถึงความรู้สึกรักของแม่ทีถูกส่งผ่านเข้ามา แต่ฉันก็รู้ว่าแม่แปลก...แปลกไป...แปลกไปขึ้นเรื่อยๆ ในตอนกลางคืนแม่มักลุกขึ้นมากลางดึกก่อนจะเดินออกไปที่สวนหลังบ้าน มาพูดคนเดียวอยู่เสมอ บางครั้งแม่ก็ตะคอกเสียงดังลั่นราวกับทะละกับใครบางคน และบางครั้งแม่ก็จะอาละวาดทำลายข้าวของจนเสียหาย ซึ่งทุกครั้งตัวฉันที่เป็นเด็กก็จะได้แต่ร้องไห้อย่างตกใจ แล้วแม่ที่เหมือนกับได้สติก็จะรีบมากอดและปลอบตัวฉันให้หายตกใจ

แต่แล้วในช่วงหนึ่งอยู่ๆแม่ก็เหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่แม่ก็ยังทำทุกอย่างให้เหมือนเดิมอยู่ แต่ว่าที่มันไม่เหมือนเดิมคือความรู้สึกและแววตาของแม่ที่มองมาที่ฉัน แม่มักมองมาที่ฉันด้วยแววตาที่ไม่สับสนและไม่แน่ใจ และบางครั้งแววตานั้นก็ยังมีความเกลียดชังซ่อนอยู่ แล้วแม่ก็เป็นแบบนั้นอยู่นานมาก จนกระทั้งในวันที่ผู้ชายคนหนึ่งมาที่บ้าน ผู้ชายคนนั้นเข้ามาพูดอะไรซักอย่างกับแม่ ก่อนที่จะมีปากเสียงกัน เสียงของแม่โวยวายดังลั่น กับเสียงตะคอกของผู้ชายคนนั้น ทำให้ตัวฉันกลัวจนไม่กล้าออกไปได้แต่ร้องไห้มองแม่จากที่ตรงประตูบ้าน การทะเลาะกันของคนสองคนสองคนเริ่มบานปลายจนมีการลงไม้ลงมือกันเกิดขึ้น แม่ถูกผู้ชายคนนั้นตบก่อนจะถูกพลักอย่างแรงจนแม่ล้มลงกับพื้น แม่นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น แล้วผู้ชายคนนั้นก็ก้มไปพูดอะไรซักอย่างกับแม่ก่อนจะเดินจากไป

คล้อยหลังจากผู้ชายคนนั้นจากไปไม่นานแม่ก็ลุกขึ้นแล้วเดินก้มมาหาฉัน ตัวฉันที่เห็นผู่ชายคนนั้นไปแล้วก็วิ่งร้องไห้ไปหาแม่ แต่เมื่อวิ่งไปถึงตรงหน้าของแม่ฉันก็ชะงัก แววตาของแม่น่ากลัวมากจนฉันกลัวจนต้องถอยหนีไป “แม่จ๋า” ตัวฉันเรียกแม่เสียงเบาขณะรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาแม่อีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะที่ชายกระโปรงของแม่ แต่ทว่าไม่ทันได้จับ ตัวฉันก็ถูกแม่กระชากแขนอย่างแรง ก่อนแม่จะลากตัวฉันไปที่ศาลาท่าน้ำ ในตอนนั้นแม่น่ากลัวมาก น่ากลัวจนฉันพยายามแกะมือของแม่ออกจากแขนฝืนตัวออกมา แรงมือของแม่ที่บีบลงมามันเจ็บมากจนราวกับกระดูกจะหัก “แม่จ๋า แม่เอิง...ไม่เอาหนูกลัว ฮือ...”ฉันได้แต่ร้องไห้และตะโกนซ้ำไปซ้ำมา

แม่ลากตัวฉันมาถึงศาลาท่าน้ำ ก่อนจะค่อยเดินลากตัวฉันไปที่ริมน้ำ แล้วตะคอกใส่ฉันซ้ำไปมา“เพราะแก แกคนเดียว ชีวิตฉันถึงได้เป็นแบบนี้” แม่ทั้งตะคอกทั้งร้องไห้ก่อนจะมองฉันด้วยสายตาชิงชังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วจึงพลักฉันลงไปที่แม่น้ำ ในชั่ววินาทีที่ฉันกำลังตกลงไปฉันก็ได้เห็นแม่ทรุดลงนั่งก่อนจะทั้งหัวเราะและร้องไห้สลับกันไป แล้วตัวฉันก็ดำดิ่งลงไปสู่ความมืดของสายน้ำ ที่มันทั้งอึดอัดและเจ็บปวดจนแทบขาดใจ

ท่ามกลางสายน้ำที่พัดพาตัวฉันเข้าไปสู่ห้วงลึกของความมืดมิด ตัวฉันก็ได้คำตอบที่ตัวเองเฝ้าหามานานทั้งเรื่องที่ทำไมตัวเองจำเรื่องในตอนเด็กไม่ได้ ทั้งเรื่องที่ทำไมตัวเองไม่มีทั้งพ่อและแม่เหมือนคนอื่นเค้า และทั้งเรื่องทำไมแม่ถึงพึ่งปรากฎตัวออกมาแล้วเข้ามาพยายามเอาทุกๆอย่างไปจากฉัน ฉันก็ได้คำตอบที่ค้างคาใจตัวเองมานานจนหมด แต่ว่าที่แม่ทำแบบนี้ก็เข้าใจแม่อาจจะกำลังป่วยอยู่แต่ตัวฉันก็ยังเสียใจ และรู้สึกว่าตัวเองมืดมนจนเกินกว่าจะหาทางออกเจอ

มันเป็นความรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก เหมือนมอะไรม่กดอยู่ตรงคอจนไม่สามารถหายใจออกมาได้ ในความมืดนั้น สองมือของฉันพยายามแกะอะไรบ้างอย่างที่กดอยู่ตรงคอ ดวงตาของฉันก็พยายามฝืนลืมตาขึ้นมาผ่านความมืดจนมองเห็นใบหน้าของใครบางคนได้อย่างเลือนราง ก่อนจะชัดเจนขึ้นตามสติที่เริ่มกลับมา เมื่อร่างกายอยู่ในอันตราย

แม่คือคนที่ฉันเห็นอยู่ตรงหน้าเมื่อสติของฉันกลับมาอย่างครบสมบูรณ์ ใบหน้าของแม่ที่กำลังแสยะยิ้มออกมาทั้งๆที่น้ำตาไหลอายแก้ม และมือของแม่ที่บีบอยู่ที่คออย่างแรงจนตัวฉันไม่อาจจะหายใจได้ ฉันที่ร่างกายถูกบังคับให้ขาดอากาศนั้นได้แต่ปัดป่ายเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดให้ตัวเอง พยายามแกะมือที่บีบอยู่รอบคอออก ทั้งจิกทั้งข่วนจนมือของคนที่บีบจนเต็มไปด้วยเลือดแต่ก็ยังไม่อาจทำให้มือนั้นคลายแรงลง จนฉันได้แต่ปัดป่ายไปทั่วเพื่อหาอะไรที่จะทำให้ตัวเองรอดจากสถานการณ์นี้ได้แต่ก็ไม่มี สติของฉันเริ่มเลือนลางลงอีกครั้ง ตัวฉันที่ที่เกือบจะยอมแพ้อยู่นั้นก็ปัดป่ายไปโดยบางอย่าง ณ ตอนนั้นฉันไม่รู้สิ่งนั้นคืออะไรแต่ก็คว้ามาก่อนจะฟาดเข้าที่ร่างของคนที่อยู่เหนือกว่าอย่างแรง

เพล้ง เสียงแก้วแตกดังลั่นขึ้นก่อนที่มือที่บีบตรงคอจะหลุดออกและหายไป ฉันจึงได้หายใจอีกครั้ง ฉันหอบหายใจอย่างแรงเพื่อตักตวงอากาศที่อยู่รอบตัวให้ได้มากที่สุด พลางหันไปมองหาคนที่ฉันลงมือทำร้ายไป

ตรงพื้นห้องมีร่างร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ร่างของผู้หญิงคนสำคัญในชีวิตฉันที่นอนจมกองเลือดที่ไหลออกมาจากบริเวณศรีษะไม่หยุด “แม่!!!” ฉันได้แต่กรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น

เสียงสวดอภิธรรมศพดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนร่างของผู้ที่ลาลับจะถูกพระเพลิงนำพาไปสู่ฟ้า เหล่าญาติมิตรอันเป็นที่รักต่างพากันมาล่ำลากันเป็นครั้งสุดท้ายเสียงกระซิบร่ำไห้ดังลอยไปในอากาศเคล้าคลอกับเสียงสวด บรรยากาศที่หนักอึ้งภายในงานได้ชักจูงและนำผู้คนดำดึงไปสู่ความเศร้าสร้อย

ณ ตรงนั้นบริเวณที่นั่งของเจ้าภาพร่างของหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ มือทั้งสองข้างของเธอนั้นปิดปากตัวเองไว้ราวกับจะกั้นเสียงร้องไห้ของตน ท่าทางของเธอน่าสงสารเสียจนคนรอบตัวได้แต่เข้ามาปลอบเสียด้วยความเข้าใจ

“อย่าร้องเลย แม่เอิง หนูสาเขาไปดีแล้วนะลูก”เสียงคุณยายที่สนิทด้วยคนหนึ่งดังขึ้นพร้องทั้งตัวคนพูดได้เข้ามาลูบหลังปลอบเบาๆ จนคนฟังต้องโผวเข้ากอดเอิงสะอื้นจนตัวโยน ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงที่สั่นเครือ “แต่หนูยังทำใจไม่ได้ค่ะป้า เด็กคนนั้น...เด็กคนนั้นทั้งๆที่พึ่งได้กลับมาเจอกันแท้ๆ ฮือ...”เอิงร้องไห้พลางซุกหน้าเข้ากับไหล่ของอีกฝ่าย

ภายใต้ใบหน้าที่หลบซ่อนของเอิงที่ไหล่ของหญิงชรานั้นหญิงสาวได้แสยะยิ้มออกมาทั้งทั้งน้ำตายังไหลก่อนตัวเธอจะย้อนนึกไปถึงช่วงวินาทีแห่งความเป็นความตาย

เพล้ง เสียงแก้วแตกดังลั่นขึ้นก่อนที่มือที่บีบตรงคอของอลิสาจะหลุดออกและหายไป เธอจึงได้หายใจอีกครั้ง อลิสาหอบหายใจอย่างแรงเพื่อตักตวงอากาศที่อยู่รอบตัวให้ได้มากที่สุด พลางหันไปมองหาคนที่เธอลงมือทำร้ายไป

ตรงพื้นห้องมีร่างร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ร่างของผู้หญิงคนสำคัญในชีวิตเธอที่นอนจมกองเลือดที่ไหลออกมาจากบริเวณศรีษะไม่หยุด “แม่!!!” อลิสาได้แต่กรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น

อลิสาตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าคนตรงหน้าจะเป็นอะไรไป เธอรีบลงจากเตียงอย่างทุลักทุเล จนสะดุดตกเตียงแต่เธอก็ฝืนความเจ็บปวดไว้ลุกขึ้นยืนเพื่อมองหาอะไรซักอย่างที่จะสามารถช่วยชีวิตคนตรงหน้าได้ จนสายตาของเธอไปจับจ้องเข้ากับปุ่มกดฉุกเฉิน เธอไม่รอช้ารีเข้าไปคว้าแล้วกดอย่างรวดเร็ว

“เจ้าหน้าที่พูดสายอยู่ค่ะ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้ค่ะ”เสียงจากอิมเตอร์คอมที่ตอบกลับมาทำให้เธอยิ้มออกมาอย่างดีใจ แต่ทว่าความดีใจนั้นกลับอยู่ได้ไม่นาน อลิสาก็รู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายตน เธอพยายามจะพูดสายตอบกลับไปแต่ความเจ็บปวดที่หัวใจกลับตรึงตัวของเธอไว้แน่น ความเจ็บปวดนั้นค่อยๆเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เรื่อยๆก่อนจะ กระชากสติ และ ลมหายใจของเธอไป ร่างของอลิสาค่อยๆล้มลงกับพื้นแล้วแน่นิ่งไป

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว