“ พี่สาวร้านที่เราจะไปเป็นร้านของท่านหรือเจ้าคะ ”
ถ้าหากว่าพี่สาวมีร้านของตัวเองอยู่ในตลาดกลางเมืองก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพี่สาวไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาทั่วๆไป
“ใช่แล้วร้านนั้นเป็นสินเดิมของท่านแม่ข้าเอง เจ้าเรียกข้าพี่ไป๋เซียงก็ได้น ะจะได้ดูสนิทสนมกันยิ่งขึ้น ส่วนสามีข้าให้เรียกเขาว่าท่านพี่หยาง ”
“ดียิ่งนัก ข้าจะได้มีท่านเป็นเหมือนพี่สาวอีกคน พี่ไป๋เซียงรู้หรือไม่ว่าก่อนที่ข้าจะมาเจอท่านข้าเหงามากแค่ไหน
ผู้คนต่างรังเกียจข้า ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ข้าเลย
แม้ตอนที่ยืนพูดคุยกับข้าก็ไม่มีใครกล้ามองหน้าข้า รวมถึงคนอื่นๆในเรือนของข้าก็เช่นกัน จะมีก็เพียงท่านพ่อกับท่านแม่ที่ไม่รังเกียจข้า ”
สีหน้าของนางดูเศร้าหมองทุกทีที่นึกถึงเรื่องราวในอดีต
“หากเจ้ารู้สึกไม่ดีก็อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย ข้าขอเวลาเพียงเจ็ดวันข้าจะรักษาใบหน้าของเจ้าหายขาดเอง เจ้าจะได้ไม่อายใครอีก”
ระยะเวลาเพียงแค่นี้เป็นเรื่องที่เพ้อฝันมากเหลือเกินสำหรับการรักษาสิวให้หายขาด แม้แต่ในยุคสมัยปัจจุบันที่มีนวัตกรรมเครื่องมือที่ทันสมัยมากมายยังต้องใช้เวลาในการรักษาเป็นเดือน
แต่นางก็หาได้สนใจไม่เพราะนางไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในสมัยปัจจุบันแล้ว
ในสมัยนี้ บนสถานที่ที่นางยืนอยู่กลับมีเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออีกมากมาย
ขณะนี้นี้นางมีสมุนไพรที่เจ้าจิ้งจอกน้อยสกัดให้อยู่ในมือ นางสามารถรักษาสิวให้ขายขาดเพียงไม่กี่วัน
นางมีลางสังหรณ์ใจว่าหลังจากเจ็ดวันนี้จะมีปัญหาอีกมากมายตามมา นางจำเป็นต้องหาผู้มีอำนาจมาคอยหนุนหลัง ลำพังแค่นางกับสามีจะต่อต้านยังไงไหว ไหนจะเรื่องเจ้าจิ้งจอกน้อยอีก
หากมีผู้คนภายนอกรู้ว่านางมีสัตว์วิเศษไว้ในครอบครองจะไม่แย่เลยรึ หรือว่านางจะต้องเร่งสร้างฐานกำลังลับเอาไว้เผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เรื่องนี้กลับไปถึงเรือนนางต้องรีบปรึกษากับท่านพี่
“ท่านพูดจริงหรือเจ้าคะพี่ไป๋เซียง
เย่.. ข้าดีใจยิ่งนักเวลาออกไปข้างนอกข้าจะได้ไม่ต้องใช้ผ้าคลุมหน้าอีกแล้ว”
ท่าทางดีใจของนางราวกับเด็กน้อยได้ของเล่นใหม่
“ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเอง จะหายแน่หรือเจ้าคะคุณหนู”
สาวใช้ขยับลุกขึ้นกระซิบเบาๆกับนายของตน นางไม่เชื่อว่าหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาจะมีควาสามารถขนาดนั้น
เสียงกระซิบของนางเบามากหากคนทั่วไปนั่งอยู่นรถม้าด้วยกันก็ยังไม่ได้ยิน
แต่ซูไป๋เซียงกลับได้ยินสิ่งที่สาวใช้พูดชัดเจนทุกคำ ในหัวของนางพลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
“ข้าเปลี่ยนใจแล้วข้าจะไม่คิดค่ารักษาแม้แต่ตำลึงเดียว ข้ามีเพียงข้อเสนอเล็กน้อยเท่านั้น”
หากสังเกตุดูดีๆจะเห็นแววตาเจ้าเลห์เปล่งประกายออกมาจากดวงตาของนาง นี่อาจจะเป็นผลพลอยได้จากการทพันธะสัญญาก็เป็นได้นางจะเริ่มมีไหวพริบที่ดีและมีความเจ้าเล่ห์มากขึ้น
“ข้อเสนออันใดหรือเจ้าคะ”
“ข้อเสนอนี้เจ้าตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องให้บิดามารดาของเจ้าเป็นผู้ตัดสินใจ”
“เช่นนั้นพอจะบอกคร่าวๆได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะได้บอกให้ท่านพ่อทราบก่อนล่วงหน้า หากใบหน้าของข้าหายข้าจะพาพี่ไป๋เซียงไปพบท่านพ่อที่เรือน”
ซูไป๋เซียงซ่ายหน้าเบาๆ แล้วกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“บอกท่านไปว่าหากท่านรับข้อเสนอของข้า ตระกูลของท่านจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันถดถอย”
เหลียนสวีกับสาวใช้ถึงกับสะอึกเมื่อได้ยินซูไป๋เซียงพูดเช่นนั้น นางไม่อยากจะคิดเลยถ้าหากท่านพ่อได้ยินประโยคนี้จะกริ้วขนาดไหน
“เอาละ พวกเจ้าอย่าทำหน้าเคร่งเครียดขนาดนั้นเลย ถึงที่หมายแล้วลงมาได้เลย”
เมื่อก้าวเท้าลงไปก็เจอร้านอาหารขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงหน้า "ร้านเป่าเป้ย" ร้านแห่งนี้เคยมีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในตลาดแห่งนี้ แต่หลายปีให้หลังกลับซบเซาลงอย่างไม่น่าเชื่อ
“ข้างในจะดูโทรมหน่อยนะ ข้ายังไม่มีเวลาไปเลือกซื้อของมาตกแต่งใหม่เลย”
“ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะข้าไม่ใช่คนถือตัวขนาดนั้น ”
ซูไป๋เซียงอมยิ้มเล็กน้อยกับคำตอบที่ได้
ก็เพราะนางเป็นคนเช่นนี้อย่างไรเล่าข้าจึงอยากเลือกครอบครัวของนางให้เข้ามาเป็นอีกส่วนสำคัญในชีวิต