ป้าจางกลับมาตอนเกือบสามทุ่มจริงๆ
เธอนำอาหารอร่อยๆ ที่ทำจากบ้านมาด้วย
ป้าจางหยิบอาหารออกมาให้เยี่ยชิงซินกินไปพลางปากก็พูดเจื้อยแจ้ว “ลูกชายป้ามีแฟนอยู่คนหนึ่ง อยู่ๆ เมื่อวานนี้ก็โทรมาบอกป้าว่าแฟนท้องแล้ว กำลังเตรียมตัวจะแต่งงานกันจึงบอกให้ป้ากลับไปพบพ่อแม่ของฝ่ายผู้หญิงเขาเสียหน่อย ปัดโธ่เอ๊ย เด็กสาวสมัยนี้จะแต่งงานก็จะเอาทั้งบ้าน ทั้งรถ ทั้งสินสอด จะแต่งเมียให้ลูกสักคนนี่ ป้ากับพ่อมันต้องทุ่มเทไปครึ่งชีวิตเลยทีเดียว”
แม้ปากจะว่าร้ายแต่บนใบหน้าของป้าจางกลับเต็มไปด้วยความปีติยินดี เห็นได้ชัดว่าดีใจมาก
เยี่ยชิงซินยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นหนูก็ขอแสดงความยินดีกับป้าจางที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นคุณย่าแล้วนะคะ”
ป้าจางฟังแล้วก็หัวเราะฮิฮิด้วยความยินดี เธอกล่าวว่า “จะมีลูกสักคนก็ต้องจ่ายค่านู่นค่านี่เยอะแยะไปหมด…”
เฉิงหรูอวี้กำชับว่าไม่ให้เยี่ยชิงซินกินอาหารเผ็ดร้อน แต่อาหารที่ป้าจางนำมาส่วนใหญ่มีแต่อาหารรสจัดทั้งนั้น เยี่ยชิงซินจึงชิมไปเพียงคำเล็กๆ เท่านั้น
ป้าจางเองก็พะวงถึงอาการบาดเจ็บของเธอ จึงไม่ได้ให้เธอกินอะไรมากนัก
เยี่ยชิงซินไปแปรงฟันในห้องน้ำ ก่อนจะขึ้นเตียงนอน
ป้าจางก็เก็บกวาดเล็กน้อยก่อนจะนอนลงไปเช่นกัน
กลางดึก เวลาประมาณห้าทุ่ม ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกผลักออกเบาๆ
เยี่ยชิงซินนอนหลับสนิทไปแล้วจึงไม่ได้ยินอะไร ส่วนป้าจางยังหลับไม่สนิทจึงรู้สึกตัวตื่นทันที เธอใส่เสื้อคลุมแล้วลุกขึ้นมาดู ที่แท้แล้วเป็นจิ่งปั๋วยวนนั่นเอง
ป้าจางคิดจะเปิดไฟ แต่กลับถูกจิ่งปั๋วยวนยกมือขึ้นห้ามเอาไว้
เขามองเยี่ยชิงซินที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงแวบหนึ่งโดยอาศัยแสงไฟจากนอกหน้าต่าง แล้วถามป้าจางว่า “ตอนที่ป้ากลับมาเธอเป็นยังไงบ้าง”
ป้าจางสะดุ้ง
เป็นยังไงอะไรกัน
ป้าจางย้อนนึกถึงสภาพของเยี่ยชิงซินขณะที่ตนกลับมาแล้วตอบอย่างพินิจพิจารณาว่า “ก็ดีมากเลยนะคะ”
จิ่งปั๋วยวนพยักหน้าทีหนึ่งก่อนจะจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ป้าจางไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอกลับไปนอนด้วยความมึนงงเหมือนมีหมอกปกคลุมทั่วสมอง
เมื่อจิ่งปั๋วยวนกลับถึงบ้านตระกูลจิ่งก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว
ทั้งบ้านเงียบสนิท
เขาเปลี่ยนรองเท้าตรงโถงด้านหน้า เพิ่งจะเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น เสียงร้อนอกร้อนใจของคุณนายจิ่งก็ดังมาจากโซฟา “ยังรู้จักกลับมาด้วยเหรอ!”
จิ่งปั๋วยวนเดินเข้าไป “คุณย่า ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะครับ”
คุณนายเฒ่าจิ่งมองเขาแล้วตำหนิอย่างรุนแรงด้วยความโกรธจากหลายสาเหตุ “ฉันน่ะอยากนอน แต่จะนอนหลับลงได้ยังไงกันล่ะ ไหนแกว่ามาซิ คนอายุตั้งสามสิบกว่าแล้วยังไม่หาเมียสักกะคน ฉันก็แค่อยากอุ้มเหลนสักคนตอนยังมีชีวิตอยู่ แกตั้งใจจะเล่นแง่กับฉันใช่ไหม ฉันให้แกไปกินข้าวกับชิงโยวตอนค่ำแล้วแกหายหัวไปไหนมา ชิงโยวรอแกตั้งสองชั่วโมงกว่า ผู้ชายอย่างแกนี่มันช่างงามหน้าจริงๆ!”
ตอนสี่โมงเย็น จิ่งปั๋วยวนรับโทรศัพท์คุณนายจิ่งซึ่งบอกให้เขาไปกินข้าวกับอวี๋ชิงโยวตอนค่ำ ตอนนั้นเขาก็ปฏิเสธไปแล้ว
แต่คุณนายเฒ่าก็ยังยืนกรานความคิดของตนและจัดแจงเตรียมเวลา เตรียมสถานที่เอาไว้พร้อม และให้อวี๋ชิงโยวไปรอเขา
แต่คนอย่างจิ่งปั๋วยวนจะถูกจัดการได้ง่ายๆ เสียที่ไหนกัน
“คุณย่า ผมวานคนให้หาหยกจากพม่ามาให้คุณย่า เดี๋ยวจะให้คนออกแบบเครื่องประดับให้นะครับ”
คุณนายเฒ่าจิ่งชะงักไป จากนั้นนัยน์ตาก็เป็นประกายขึ้นมา “จริงเหรอ คุณภาพดีไหม ก้อนใหญ่ขนาดไหนล่ะ”
เธอโปรดปรานหยกมาก เมื่อได้ยินคำว่า ‘หยก’ ไม่ว่าโกรธอะไรก็ลืมไปหมด
จิ่งปั๋วยวนยิ้ม “คุณภาพชั้นสูงเลยล่ะครับ รับรองว่าคุณย่าจะต้องชอบแน่ๆ”
คุณนายเฒ่าจิ่งออกอาการแทบจะรอไม่ไหว “หยกนั่นอยู่ไหนล่ะ พรุ่งนี้ฉันไปดูหน่อยได้ไหม”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันกลับไปนอนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าจะได้ตื่นเร็วหน่อยแล้วออกจากบ้านไปพร้อมแกเลย”
คุณนายเฒ่าจิ่งดีใจเหมือนเด็กคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น เธอหมุนกายกลับห้องไปด้วยความดีใจ แต่เพิ่งเดินไปได้แค่สองก้าว เธอก็หยุดลงก่อนจะเคาะหัวอย่างงุนงง ทำไมเธอจึงรู้สึกเหมือนลืมเรื่องอะไรไปสักอย่างหนอ
เรื่องอะไรล่ะ
พุทโธ่ อายุมากแล้วก็มักจะเลอะเลือน สมองนี่ก็ใช้ไม่ค่อยได้ เธอคิดไม่ออกแล้ว
ช่างเถอะๆ กลับไปนอนให้เร็วหน่อยดีกว่า เรื่องที่พรุ่งนี้จะไปดูหยกพร้อมกับหลานนั้นสำคัญกว่า
จิ่งปั๋วยวนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกลับขึ้นไปบนห้องของตน
เขาถอดเสื้อตัวนอกแขวนไว้บนราว จากนั้นก็คลายเนกไทออกแล้วล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูแวบหนึ่ง
หน้าจอนั้นว่างเปล่ามาก ไม่มีข้อความหรือโทรศัพท์ใดๆ
ข้อความที่ส่งให้เยี่ยชิงซินก่อนหน้านี้ ไม่มีการตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น
ริมฝีปากบางของจิ่งปั๋วยวนเม้มเป็นเส้นตรง เขารู้สึกไม่พอใจขึ้นมารางๆ
ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปทันทีขณะโยนโทรศัพท์ทิ้ง แล้วเขาก็หยิบบุหรี่และไฟแช็กจากบนโต๊ะกาแฟก่อนจะเดินตรงไปที่ระเบียง
อากาศอันหนาวเหน็บห่อหุ้มเขาเอาไว้ทันที ความหนาวถึงขีดสุดทำให้สมองของเขาปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง
เขาอยู่ไม่สุขขนาดนี้เพราะข้อความอันหนึ่งไม่ได้รับการตอบกลับตั้งแต่เมื่อไรกัน
หลังสูบบุหรี่ไปมวนหนึ่ง สีหน้าของเขาก็กลับมาเคร่งขรึมและสงบนิ่งดังที่แล้วมา
ค่ำคืนอันปกติสุขคืนหนึ่งผ่านพ้นไป
เยี่ยชิงซินเก็บข้าวเก็บของอย่างลวกๆ แล้วไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล
ที่จุดชำระเงิน พยาบาลแจ้งเธอว่าค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดเป็นเงินสองหมื่นเจ็ดพันแปดร้อยหกสิบหยวน
เยี่ยชิงซินสะดุ้ง แล้วถามออกไปโดยไม่แสดงสีหน้าว่า “สองหมื่นเจ็ดพันแปดร้อยหกสิบเหรอคะ แน่ใจนะคะ ฉันอยู่แค่สามวันเท่านั้นเองนะคะ”
ไม่ได้บอกว่าอาการบาดเจ็บของเธอไม่สาหัสหรือไง แล้วทำไมถึงใช้เงินมากมายขนาดนี้เล่า
นอกจากนี้ ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอก็มีเงินแค่หนึ่งหมื่นกว่าเหรียญซึ่งจิ่งปั๋วยวนช่วยเธอขอมาจากทางฝ่ายจัดงานเท่านั้น ก็ยังไม่พออยู่ดี
นางพยาบาลยิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วอธิบายด้วยความใจเย็นว่า “ไม่ผิดหรอกค่ะคุณเยี่ย ห้องที่คุณอยู่เป็นห้องพิเศษวีไอพี คืนละหกพันแปดร้อยเหรียญเหรียญ สามคืนก็สองหมื่นสี่ร้อยเหรียญเหรียญ ค่าวินิจฉัยโรค ค่าตรวจ ค่าเวชภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งหมดเจ็ดพันสี่ร้อยหกสิบเหรียญค่ะ”
เยี่ยชิงซินเงียบ “…”
เธอลืมไปได้อย่างไรกันว่าห้องผู้ป่วยวีไอพีนั้นแพงมาก เธอควรจะรีบย้ายไปห้องผู้ป่วยธรรมดาทันทีที่รู้ว่าตัวเองอยู่ในห้องผู้ป่วยวีไอพีแล้ว
เงินไม่พอแล้วควรทำเช่นไรดีเล่า
ขณะที่เยี่ยชิงซินไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีนั้น พยาบาลก็พูดขึ้นว่า “หลังหักค่ารักษาพยาบาลของคุณออกไปแล้วก็เหลืออีกสองหมื่นสองพันหนึ่งร้อยสี่สิบเหรียญค่ะ”
นางพยาบาลหยิบธนบัตรสองปึกใส่ลงไปในเครื่องนับเงินอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ส่งมาให้เธอ ขณะเดียวกันก็ส่งใบเสร็จแผ่นหนึ่งมาให้ “กรุณาเซ็นชื่อรับรองด้วยนะคะ”
เยี่ยชิงซินสะดุ้งอีกครั้ง จากนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง ตอนที่ดำเนินเรื่องเข้าแอดมิทในโรงพยาบาลต้องจ่ายเงินมัดจำ เงินนี่จะต้องเป็นจิ่งปั๋วยวนที่ช่วยเธอจ่ายอย่างแน่นอน
หลังจากเยี่ยชิงซินจัดการทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว เธอก็หยิบเงินกลับไปยังห้องผู้ป่วย เมื่อป้าจางเห็นเธอกลับมาก็พูดยิ้มๆ ว่า “จัดการเรียบร้อยแล้วเหรอคะ ลุงลู่ขับรถมารออยู่ที่ด้านล่างตึกนี้แล้วค่ะ ตอนนี้พวกเราลงไปกันเถอะ”
ลุงลู่คือคนขับรถของจิ่งปั๋วยวน
เยี่ยชิงซินรั้งป้าจางที่กำลังจะหิ้วกระเป๋าจากไปเอาไว้ ก่อนจะยัดเงินมัดจำที่เหลือใส่มือเธอแล้วกล่าวว่า “ป้าจางคะ นี่คือเงินที่เหลือจากเงินมัดจำค่าเข้าแอดมิทที่ประธานจิ่งช่วยจ่ายให้หนู ป้าช่วยหนูเอาไปคืนให้เขาหน่อยนะคะ แล้วช่วยบอกเขาด้วยว่าหนูจะรีบคืนเงินที่เหลือให้เขาโดยเร็วที่สุด ฝากขอบคุณเขาด้วยนะคะ”
ป้าจางยัดเงินกลับใส่มือเยี่ยชิงซินแล้วส่ายหน้าพลางพูดว่า “เงินนี่คุณเอาไปคืนให้คุณเขาเองก็แล้วกันนะคะ พวกคุณก็ไม่ได้จะไม่เจอหน้ากันอีกเสียหน่อย อีกอย่างคุณจิ่งช่วยเหลือคุณครั้งใหญ่ขนาดนี้ คุณไม่อยากขอบคุณต่อหน้าเขาสักครั้งเลยหรือคะ”
“ป้าจาง…”
“โธ่ คุณเยี่ย คุณดูสิว่าป้าอายุปูนนี้แล้ว ความจำก็ไม่ค่อยจะดี คุณทำใจทำร้ายเซลล์สมองที่เหลือเพียงไม่กี่เซลล์ของป้าได้ลงคอเหรอคะ”
คำพูดของป้าจางทำให้เยี่ยชิงซินหัวเราะคิกคัก คิดไม่ถึงว่าป้าจางก็ล้อเล่นเป็นกับเขาด้วย
ทั้งสองลงไปชั้นล่างด้วยกัน
ป้าจางพาเยี่ยชิงซินเดินตรงไปยังลานจอดรถแล้วเดินไปทางแลนด์โรเวอร์สีขาวคันหนึ่ง
หน้าต่างรถไม่ได้ปิดเอาไว้ เมื่อเยี่ยชิงซินเดินเข้าไปใกล้ ก็พบว่าคนบนที่นั่งคนขับไม่ใช่ลุงลู่อะไรอย่างที่ป้าจางพูด หากแต่เป็นจิ่งปั๋วยวนต่างหาก
มือข้างหนึ่งของเขาวางอยู่บนพวงมาลัยอย่างสบายๆ ส่วนแขนอีกข้างหนึ่งก็เท้าหน้าต่างรถเอาไว้ นาฬิกาหรูสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายวาววับจนแสบตา หว่างนิ้วเรียวยาวคีบบุหรี่ที่ไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งเอาไว้ เสน่ห์แบบแบดบอยแทรกอยู่ท่ามกลางความหนักแน่นแบบผู้ใหญ่ มาดแมนเต็มร้อย
เพียงแต่สีหน้าของเขาเคร่งขรึมจนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
เมื่อเขาเหลือบไปเห็นว่าพวกเธอกำลังมา ก็ดึงบุหรี่เข้ามาสูบครั้งหนึ่งก่อนจะดับบุหรี่แล้วโยนทิ้งไป
ป้าจางมองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความแปลกใจว่า “ลุงลู่ไปไหนล่ะคะ”
จิ่งปั๋วยวนตอบเสียงเรียบว่า “เขามีธุระ ผมเลยมารับพวกป้าแทนน่ะ”
“เอ๊ะ” ป้าจางยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ “แต่เมื่อกี้ตอนโทรคุยกัน ลุงลู่ยังบอกว่าวันนี้ไม่มีตารางอะไรนี่คะ…”
สายตาลึกล้ำของจิ่งปั๋วยวนกวาดมาด้วยแววตาเรียบเฉย ป้าจางรู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาจึงรีบหุบปากไปทันที
อย่าเห็นว่าตามปกติแล้วคุณจิ่งเหมือนจะพูดจาดีมาก แต่ถ้าเขาโมโหขึ้นมาเมื่อไร สายตานั่นก็ทำให้คนผวาจนตายได้เลยทีเดียว
ป้าจางก้มลงวางกระเป๋าไว้ที่กระโปรงท้ายรถ หลังจากขึ้นรถแล้วก็พยายามหายใจเสียงเบาลงแล้วทำตัวเหมือนเป็นคนล่องหน
แต่เธอไม่เข้าใจจริงๆ นี่นา ตนยังไม่ทันได้พูดอะไรสักหน่อย ทำไมคุณจิ่งก็ไม่พอใจเสียแล้วเล่า