หลังเธอวางสายจากหลี่ซูเฟิน ทั้งห้องผู้ป่วยก็มีแต่ความเงียบ
ป้าจางอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแต่แล้วก็ยั้งเอาไว้ตั้งหลายครั้ง ท้ายที่สุดก็พูดออกมาเพียงประโยคเดียวว่า “ต่อจากนี้ไปรับโทรศัพท์ให้น้อยหน่อยนะคะ คุณได้รับบาดเจ็บอยู่ ต้องพักผ่อนเยอะๆ”
ป้าจางอยู่มาครึ่งชีวิตแล้วมีเรื่องอะไรบ้างที่ไม่เคยเจอมาก่อน หลี่ซูเฟินพูดเสียงดังขนาดนั้นเธอจึงได้ยินหมดแล้ว หลี่ซูเฟินเอาเรื่องราวมาปะติดปะต่อกันมั่วซั่วไปหมด
เยี่ยชิงซินยิ้มแล้วขานรับเบาๆ ว่า “ค่ะ” เพียงคำเดียว
เยี่ยชิงซินเพิ่งกินข้าวเสร็จไม่นานเท่าไหร่นัก เฉิงหรูอวี้ก็พาหมอและพยาบาลมาตรวจเยี่ยม
เขาถามคำถามต่างๆ กับเยี่ยชิงซิน แล้วตรวจดูอาการเธอคร่าวๆ เธอไม่มีปัญหาใหญ่อะไร และฟื้นตัวได้ไม่น้อย อีกไม่กี่วันก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว
เยี่ยชิงซินพูดว่า “ขอบคุณค่ะคุณหมอเฉิง”
เฉิงหรูอวี้โบกมือให้คนที่ตามมาด้านหลังเพื่อบอกให้พวกเขาออกไปก่อน จากนั้นก็ทำท่าทางจริงจัง แล้วยิ้มด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ขึ้นมา
“ซินซินน้อย คุณรู้จักกับปั๋วยวนของพวกเราตอนไหนเหรอ พวกคุณพัฒนาไปถึงขั้นไหนกันแล้ว”
“…” เยี่ยชิงซินเงียบ
เฉิงหรูอวี้ทำหน้าทะเล้น “อย่าอายไปเลย คุยกับพี่ใหญ่เฉิงหน่อยสิ…”
“…” เยี่ยชิงซินเงียบอีก
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
คำพูดของเฉิงหรูอวี้หยุดลงทันที ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ด้วยท่าทางเหลืออด เขาเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาเดินไปยังระเบียงด้วยท่าทีจริงจังที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งยังเลื่อนประตูตรงระเบียงให้ปิดลงอีกด้วย
เมื่อเขารับโทรศัพท์ ก็มีน้ำเสียงเรียบนิ่งมั่นคงของจิ่งปั๋วยวนดังมาจากปลายสาย “ตอนทำงานก็ตั้งใจทำงานให้มันดีๆ หน่อย อย่ามัวแต่ล้อเล่นอะไรไม่เข้าท่ากับคนไข้”
ความหมายตักเตือนนั้นชัดเจนมาก
เฉิงหรูอวี้สะดุ้ง
เจ้านี่มันมีหูตามองทะลุฟ้าได้หรือไงกัน เขาเพิ่งจะพูดไปหยกๆ คำเตือนก็มาถึงตัวเสียแล้ว
เขาหันกลับไปมองเยี่ยชิงซินซึ่งกำลังนั่งอ่านนิตยสารบนเตียงคนไข้อย่างเงียบๆ แวบหนึ่ง เด็กสาวหน้าตาสะสวย ท่วงท่าโดดเด่น เธอนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ก็ช่างดูเหมือนภาพวาดอันงดงามภาพหนึ่ง ผ้าก๊อซที่พันอยู่บนศีรษะไม่ใช่แค่ไม่ได้ทำลายความงามของเธอเท่านั้น หากแต่ยังช่วยเพิ่มความนุ่มนวลเปราะบางแบบคนป่วยที่งดงามอีกด้วย
มุมปากของเฉิงหรูอวี้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยอกเย้าพลางพูดกลั้วหัวเราะว่า “ปั๋วยวน นายคงมีใจให้เธอจริงๆ ด้วย ทั้งช่วยเขาทวงค่าแรงและค่าชดเชย แล้วยังแอบช่วยขัดขวางไม่ให้ไถเจิ้งถิงประกันตัวคนจากสถานีตำรวจอีกด้วย นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ฉันเห็นนายช่วยเหลือผู้หญิงสักคน แถมยังเป็นสาวน้อยสวยสดขนาดนี้อีกต่างหาก ไอ้โคแก่เอ๊ย ปกติเห็นนายเคร่งขรึมจริงจังนักหนา คิดไม่ถึงเลยว่าที่จริงนายจะหน้าหม้อขนาดนี้ ชอบกินหญ้าอ่อนเหมือนคนอื่นเขา…”
“อย่าพูดจาเหลวไหล!” จิ่งปั๋วยวนพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “เธอยังเด็กอยู่เลย นายจะพูดอะไรกับเธอต้องให้มันเหมาะสมหน่อย ทำให้ตัวเองดูมีคุณธรรมบ้างสิ!”
เขาพูดจบก็วางสายทันที
เฉิงหรูอวี้หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วมองประเมินเยี่ยชิงซินที่อยู่ในห้องอย่างละเอียด
จิ่งปั๋วยวนปกป้องเธอขนาดนี้ แค่ล้อเล่นก็ยังไม่ยอมให้พูดเลย…
ยังเด็กอยู่งั้นหรือ
ดูแล้วน่าจะอายุสักยี่สิบได้แล้วกระมัง เด็กสาวอายุยี่สิบ ก็เหมือนผลท้อซึ่งสุกได้ที่พอดี ไม่ใช่เด็กเสียหน่อย
แต่เฉิงหรูอวี้ก็ไม่กล้าพูดเรื่องอะไรทำนองนั้นกับเยี่ยชิงซินอีกแล้วจริงๆ แต่กลับพูดขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้ผมแค่ล้อเล่นนะ คุณอย่าสนใจเลย” แล้วก็จากไป
เยี่ยชิงซินไม่ได้เอาเรื่องที่เขาพูดมาใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว
ประมาณเก้าโมง ก็มีคนจากสถานีตำรวจมาสอบถามเธอเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เยี่ยชิงซินนอนอยู่บนเตียงคนไข้พลางปรือตาทั้งสองข้างลงด้วยท่าทางเปราะบาง คิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อย กลีบปากซีดขาว พูดเพียงว่าตนปวดหัวมาก และจำเหตุการณ์ในตอนนั้นได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก
ตำรวจถามคำถามต่างๆ กับเธอ แต่เธอก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่รู้ ไม่แน่ใจ จำไม่ได้ เมื่อตำรวจไต่สวนแล้วไม่ได้อะไรขึ้นมาก็จากไป แล้วบอกว่ารอเธอดีขึ้นอีกหน่อยแล้วค่อยมาหาใหม่
เมื่อคดีไม่กระจ่างเพิ่มอีกวันหนึ่ง ไถซืออวิ๋นก็ออกมาไม่ได้อีกวันหนึ่ง
ไถซืออวิ๋นควรจะได้รับบทเรียนสักหน่อย การถูกคุมขัง น่าจะเป็นบทเรียนที่ดีมากสำหรับเธอ ให้เธอได้ลิ้มรสชาติในนั้นสักสองสามวัน จะได้จำได้นานๆ หน่อย
อยู่ๆ เยี่ยชิงซินต้องมาทนทุกข์แบบไร้ต้นสายปลายเหตุเช่นนี้ ต้องให้ตนได้อะไรกลับคืนมาบ้าง
จิ่งปั๋วยวนน่าจะยุ่งมาก เพราะไม่เห็นหน้าเขาเลยตลอดทั้งวัน
เยี่ยชิงซินง่วงแล้วก็นอน หิวแล้วก็กิน เป็นครั้งแรกที่เธอได้ใช้ชีวิตตอนสุดสัปดาห์อย่างสุขสบาย ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเพื่อเงินแบบนี้
ตอนหนึ่งทุ่ม
อู๋ฮว่าหรงหิ้วกระเช้าผลไม้และหอบดอกคาร์เนชั่นช่อหนึ่งมาเยี่ยมเธอ
เยี่ยชิงซินไม่ใช่คนคุยเก่ง แต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่ค่อยมีอะไรจะพูดกับคนที่ไม่คุ้นเคยอยู่แล้ว อู๋ฮว่าหรงจึงได้แต่พูดอยู่ตลอด เพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัดเกินไป เริ่มจากสาธยายเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากเยี่ยชิงซินได้รับบาดเจ็บและหมดสติไปอย่างละเอียดยิบ จากนั้นก็กล่าวว่า “ตอนแรกฉันคิดว่าจะอยู่ดูแลเธอเมื่อคืนนี้แล้วเชียว แต่ผู้จัดการร้านโทรเรียกฉันกลับไปจัดการธุระ ฉันยุ่งจนถึงตอนดึกเลย…”
บลาๆๆ เขาพูดอะไรมากมายไปหมด
เยี่ยชิงซินฟังอย่างใจลอย ที่จริงแล้วเธอไม่ได้อยากฟังคำพูดพวกนี้ของเขาเลยสักนิด แต่คนอื่นอุตส่าห์มีน้ำใจมาเยี่ยมทั้งที เธอก็ไม่สะดวกใจจะไล่เขากลับไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง อู๋ฮว่าหรงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามเธอว่า “เมื่อวาน…ผู้ชายที่มาส่งเธอที่โรงพยาบาลเป็นใครเหรอ ดูแล้วเหมือนเขาจะตื่นตระหนกเพราะเธอมากเลยนะ”
ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะอายุสามสิบกว่าๆ สวมสูท รองเท้าหนัง ทั้งยังขับรถหรูอีก คล้ายจะเป็นเถ้าแก่ใหญ่
นอกจากนี้ เมื่อวานผู้ชายคนนั้นยังไปที่ร้านเพื่อเจรจาเรื่องค่ารักษาพยาบาลของเยี่ยชิงซินอีกด้วย ตอนแรกผู้จัดการร้านก็ปฏิเสธไม่ยอมจ่าย แต่สุดท้ายแล้วเมื่อผู้จัดการร้านรับสายจากผู้จัดการเขต ท่าทีก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าทันที ไม่ใช่แค่จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เท่านั้น แต่ยังพยักหน้าและโค้งคำนับส่งชายคนนั้นขณะจากไปด้วย
จากนั้นอู๋ฮว่าหรงก็แอบถามผู้จัดการร้านเป็นการส่วนตัวว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่ผู้จัดการร้านก็เอาแต่ทำเป็นว่าอยากปกปิดให้มิดชิดจนมองออกว่าเขาใจสั่นเนื้อเต้นไปหมดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เกรงว่าชายคนนั้นคงจะเป็นคนใหญ่คนโตที่ร้ายกาจมาก
นักศึกษาหญิงวัยกระเตาะหน้าตาสวยกับคนใหญ่คนโต…มักจะชวนให้คนนึกไปถึงคำจำพวก ‘เมียน้อย’ ‘ชู้รัก’ ‘เด็กเสี่ย’ หรืออะไรเทือกๆ นี้
เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของอู๋ฮว่าหรง เยี่ยชิงซินก็รู้แล้วว่าในใจเขากำลังคิดอะไรอยู่
เขาจะต้องเหมือนกับหลี่ซูเฟินที่คิดว่าตนกับจิ่งปั๋วยวนมีความสัมพันธ์กันแบบนั้นแน่นอน
จิ่งปั๋วยวนใจดีช่วยเหลือเธอ เธอจึงไม่อาจให้คนอื่นเข้าใจความใจดีของเขาผิดๆ ได้
เยี่ยชิงซินยิ้มทีหนึ่งแล้วพูดว่า “เขาเป็นคุณอาห่างๆ ของฉันน่ะค่ะ เมื่อวานบังเอิญผ่านมาพอดี…”
ที่แท้แล้วเป็นคุณอาห่างๆ นี่เอง! อู๋ฮว่าหรงเชื่ออย่างง่ายดาย เขาหัวเราะเสียงดังฮ่าๆ อารมณ์แจ่มใสขึ้นมาทันตาเห็น เขาพูดอู้อี้ประโยคหนึ่งว่า “ฉันก็รู้อยู่แล้วว่าเธอไม่ใช่คนแบบนั้น…”
“หืม” เยี่ยชิงซินฟังไม่ชัด
อู๋ฮว่าหรงสีหน้าชะงักค้างไปก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที “ไม่มีอะไรหรอก…เธอจะกินผลไม้ไหม ฉันจะไปล้างให้เธอเอง”
เขาพูดจบก็หยิบแอปเปิลผลหนึ่งขึ้นมาจากกระเช้าที่ตนหิ้วมาแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ห้องน้ำทันที โดยไม่สนใจว่าเยี่ยชิงซินจะกินหรือไม่
ขณะที่จิ่งปั๋วยวนเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วยนั้น ก็เห็นภาพที่เด็กหนุ่มกำลังปอกแอปเปิลให้เด็กสาวอย่างอบอุ่น
ชายหนุ่มสวมสูทสีดำที่รีดจนเรียบกริบทั้งร่าง สีเข้มนั้นยิ่งทำให้เขาดูเคร่งขรึมและเป็นผู้ใหญ่ เครื่องหน้าหล่อเหลา สายตาลึกล้ำซ่อนคมเอาไว้ ระหว่างเดินนั้น ก็เผยนาฬิกาหรูบนข้อมือให้เห็นรางๆ ช่วยเสริมให้เขาดูสูงส่ง มีเสน่ห์น่าหลงใหลยิ่งขึ้น
ท่าทีของเขาช่างยิ่งใหญ่ ราวกับเมื่อเขาเดินเข้าประตูมา ความกดอากาศบริเวณนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปทันที
อู๋ฮว่าหรงซึ่งเดิมทีกำลังหัวร่อต่อกระซิกตามใจตนเองกลายเป็นระวังตัวขึ้นมา เขายืดกายขึ้น แล้วมองไปทางจิ่งปั๋วยวนและพยายามเค้นคำพูดออกมาอยู่นานสองนาน จนในที่สุดก็เค้นออกมาได้สองพยางค์ว่า
“คุณอา”
หัวคิ้วของจิ่งปั๋วยวนเลิกขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับกำลังงุนงง
เยี่ยชิงซินลูบหน้าผาก เจ้าอู๋ฮว่าหรงนี่ เรียกคุณอาประสาอะไรกัน
ขณะที่เธอคิดอยากจะพูดอะไรเพื่ออธิบายสักหน่อย
ใครจะไปรู้ว่าอู๋ฮว่าหรงกลับโพล่งออกไปแนะนำตัวเสียแล้ว “สวัสดีครับคุณอา ผมชื่ออู๋ฮว่าหรง ทำงานเป็นฝ่ายขายครับ ผมเป็นเพื่อนของหลานสาวห่างๆ ของคุณครับ”
เขาพูดจบยังโค้งคำนับอย่างเป็นทางการอีกด้วย
ท่าทางแบบนั้น เหมือนกับแฟนหนุ่มพบผู้ปกครองของแฟนสาวเป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น
เยี่ยชิงซินเงียบกริบ “……”
นัยน์ตาของจิ่งปั๋วยวนเข้มขึ้นมากขณะปรายตามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองไปทางเยี่ยชิงซิน ในดวงตานั้นแฝงไว้ด้วยอารมณ์ที่เยี่ยชิงซินไม่อาจเข้าใจได้ “คุณอาเหรอ”
เยี่ยชิงซินยกมุมปากขึ้นด้วยความรู้สึกทั้งกระอักกระอ่วนและห่อเหี่ยวใจ จากนั้นก็ทำคอตก
ที่เธอทำไปก็เป็นผลดีต่อตัวเขาทั้งนั้น เดิมทีเขาช่วยเธอก็เพราะหวังดี ถ้าหากถูกคนอื่นเข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขึ้นมาล่ะก็ ตัวเธอเองน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ชื่อเสียงของเขาจะไม่ได้รับความเสียหายหรอกหรือ
จิ่งปั๋วยวนไม่ได้พูดอะไร เขาแค่เดินไปตรงโซฟาแล้วนั่งลง ก่อนจะหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งติดมือขึ้นมาจากใต้โต๊ะกาแฟแล้วพลิกดู
แม้เขาจะแค่นั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่พูดอะไรก็ตาม แต่ร่างของเขากลับแผ่อานุภาพออกมาอย่างเต็มที่ อากาศภายในห้องราวกับหนักสักพันชั่ง ทำให้คนหายใจลำบากไปหมด
อู๋ฮว่าหรงรู้สึกอยู่ไม่สุขเหมือนกำลังนั่งอยู่บนพรมที่เต็มไปด้วยเข็ม เขารู้สึกว่าแม้แต่ปอกแอปเปิลก็ทำไม่ได้อีกต่อไป ยังไม่ทันไร เขาก็ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงลุกขึ้นหมายจะกล่าวอำลา
สายตาของจิ่งปั๋วยวนกวาดมองไปทางเขาอย่างเย็นชา ทั้งเคร่งขรึมและเฉียบคม “นายคิดจะจีบซินซินใช่ไหม”
สายตานั่น...จะพูดอย่างไรดีล่ะ เมื่ออู๋ฮว่าหรงมองแล้วก็รู้สึกว่า แค่ตนพูดว่า ‘ใช่’ ออกไป สายตานั้นก็จะกลายเป็นใบมีดจริงๆ แล้วตรงเข้ามาเฉือนตนจนแยกออกเป็นแปดส่วน
เขากลืนน้ำลายดังเอื๊อกพลางส่ายหน้ารัว
เพียงแต่เมื่ออู๋ฮว่าหรงเพิ่งจะส่ายหน้าเสร็จ เขาก็ตะลึงงันไป
เขามีความคิดแบบนั้นกับเยี่ยชิงซินจริง แต่เมื่อครู่นี้เขากลับปฏิเสธความในใจของตนต่อหน้าเยี่ยชิงซินไปเสียแล้ว เพียงเพราะสายตาเพียงแวบเดียวของคุณอาห่างๆ ของเธอเท่านั้น
ทำไมตนถึงตระหนกขนาดนี้เล่า
อู๋ฮว่าหรงรู้สึกว่าตอนนี้ตนไม่มีที่ยืนอีกแล้ว เขาไม่มีหน้ามาอยู่ต่อหน้าเยี่ยชิงซินแล้วจริงๆ เขาถึงขั้นรู้สึกได้ว่าสายตาของเยี่ยชิงซินที่มองมายังเขาเต็มไปด้วยความดูแคลนเสียด้วยซ้ำ
เขารีบร้อนกล่าวอำลาโดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นแล้วจากไปเหมือนกับจะหนีอย่างไรอย่างนั้น
เยี่ยชิงซินเห็นอู๋ฮว่าหรงหนีไปด้วยท่าทางหัวซุกหัวซุนแบบนั้น เธอก็งุนงงไปหมด เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
บางครั้งการหยั่งเชิงกันระหว่างผู้ชายนั้นก็กะทันหันและเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงแบบนี้แหละ
เห็นได้ชัดว่าอู๋ฮว่าหรงเป็นฝ่ายแพ้อย่างราบคาบ