พาร์ทเล็กๆ ของเดอะแก๊งค์
ในมุมหนึ่งของยายพลับพลึงสีชมพู
“ดูยายแว่นคนนั้นสิ อ่านแต่หนังสือมีเพื่อนรึเปล่าก็ไม่รู้?”
“ใครจะไปคบล่ะ พวกไอคิวสูงคุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง”
“ชีวิตนี้จะรู้จักทำอย่างอื่นบ้างไหมนอกจากอ่านหนังสือ?”
“เก่งตายล่ะ”
“ให้เรียนเก่งแบบนั้นแต่ไม่มีเพื่อนฉันไม่เอาหรอกนะ”
นี่คือตัวอย่างเพียงแค่ห้าประโยคจากหลายพันประโยคที่ฉันได้ยินมาตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา ถ้าคิดเป็นอัตราส่วนระหว่างประโยคที่ได้สนทนาในแต่ละวันก็น่าจะราวๆ 25.78 เปอร์เซ็นต์ ดูจากรูปประโยคแล้วก็คงจะพอคาดเดานัยสำคัญที่ต้องการสื่อสารมาได้ไม่กี่อย่าง
ข้อที่หนึ่ง รู้สึกสงสาร.....สงสารที่ฉันไม่มีเพื่อนคบเหมือนคนปกติ ฮัลโหล! เชื่อว่าหลายคนอาจจะเข้าใจผิดไปนะ ฉันมีเพื่อนคบค่ะ เพียงแต่อาจจะไม่ได้สนิทชิดเชื้อตัวติดกันไปไหนมาไหนตลอด 24 ชั่วโมงเพราะถ้าขืนเป็นแบบนั้น มันคงจะเบียดบังเวลาอันมีค่าในการอ่านหนังสือไป เพื่อนฉันส่วนใหญ่จะอยู่ที่โรงเรียนกวดวิชาเรามักจะคุยกันเกี่ยวกับเนื้อหาการเรียนและแนวทางในการเรียนต่อในอนาคตมากกว่าเรื่องส่วนตัว มันได้ประโยชน์และบริหารสมองมากกว่าค่ะ
เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องแสดงความสงสารผ่านคำพูดพวกนี้อีกนะคะ โดยส่วนตัวแล้วฉันคิดว่าไม่มีสาระอะไรและเป็นการใช้เวลาให้ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ค่ะ
ข้อที่สอง อยากรู้อยากเห็น .... ฉันคิดว่าคนเราทุกคนมีไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันบางคนอาจจะชอบดูหนัง ฟังเพลง เล่นกีฬา ชอปปิ้ง เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นมันล้วนทำให้เราพอใจและมีความสุขส่วนการอ่านหนังสือนับเป็นความสุขส่วนใหญ่ของฉันและมันก็ยังได้ประโยชน์มากมายด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้คงว่ากันไม่ได้หรอก
อยากจะขอเรียนแจ้งสำหรับหลายคนที่สงสัยว่าในแต่ละวันฉันได้ทำอะไร บ้างนอกจากการอ่านหนังสือ ทุกท่านคะ ฉันก็เป็นคนต้องการปัจจัยสี่เฉกเช่นท่าน มีความต้องการในส่วนของอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรคเหมือน กับสิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์ ไม่ได้บ้าอ่านหนังสือขึ้นสมอง จนถึงขั้นอาบน้ำไปด้วยอ่านหนังสือไปด้วย คนเราควรเรียนรู้ในการแบ่งเวลาให้ลงตัว ที่มักจะเห็นฉันอยู่แต่กับหนังสือไม่ได้หมายความว่าชีวิตนี้จะไม่ทำกิจกรรมอย่างอื่นเลย หวังว่าคงเข้าใจตรงกันนะคะ ไปต่อที่ข้อถัดไปกันค่ะ
ข้อที่สาม “ให้เรียนเก่งแบบนั้นแต่ไม่มีเพื่อนฉันไม่เอาหรอก” ประโยคนี้ตี ความได้หลายแบบ แต่จะขออนุญาตสรุปว่า นั่นเป็นความริษยาในความชาญฉลาดของฉันนะคะ อาจจะมีบ้างที่หลายคนคิดว่าฉันไม่มีเพื่อนแต่คำตอบมันมีอยู่แล้วในข้อแรก ขออนุญาตไม่ชี้แจงให้เสียพลังงาน การคบเพื่อนไม่ได้ทำให้คนเราเรียนเก่งหรือไม่เก่งเพราะหลักๆ อยู่ที่ตัวเราแทบทั้งหมด เพื่อนอาจจะมีส่วนอยู่บ้างแต่ไม่ใช่ทั้งหมด คุณจะมีเพื่อนเยอะแค่ไหนฉันไม่สนแต่ถ้าจะมาแข่งขันกันในทางการเรียนก็ต้องวัดกันซักตั้งค่ะ
ทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นมันอาจจะอ่านไปแล้วชวนสับสน เอาเป็นว่าขอสรุปสั้นๆ แบบให้เข้าใจง่ายก็คือ ฉันเป็นคนทุ่มเทกับการเรียน มีเพื่อนที่โรงเรียนและสถาบันกวดวิชาบ้างแต่ไม่ได้สนิทอะไรกันมาก มันไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับฉันมากจนถึงตอนเข้าศึกษาในระดับมหาลัย ปัญหาเรื่องนี้มันก็เริ่มเด่นชัดขึ้น
“วิไปเดินห้างกันไหม?”
เมย์เพื่อนข้างห้องแวะมาชวนหลังเลิกเรียนของบ่ายวันศุกร์
“วิว่าจะอ่านทบทวนวิชากายวิภาคศาสตร์หน่อยอ่ะ”
“งั้นจะฝากซื้ออะไรก็โทรบอกนะ”
“ขอบใจจ้ะ”
เมย์เป็นเพื่อนผู้หญิงปีหนึ่งคนเดียวเท่านั้นที่มักจะแวะมาทักทายและชวนฉันไปข้างนอกซึ่งส่วนใหญ่ก็จะได้รับการปฏิเสธ จนพักหลังก็เลยไม่ค่อยชวน ส่วนเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นน่ะเหรอ แทบจะไม่มีใครอ้าปากคุยกับฉันเลย แต่ถ้ามีงานกลุ่มเมื่อไหร่วิรงรองจะเป็นคนแรกที่เพื่อนๆ แย่งกันเพื่อให้เป็นประธานกลุ่มเพราะส่วนใหญ่ฉันมักหอบงานมาทำเพียงลำพัง
ฉันชื่อวิ ชื่อจริงนางสาวริรงรอง มาจากครอบครัวนักธุรกิจฐานะปานกลาง มีพี่สาวหนึ่งคน มีความใฝ่ฝันอยากจะสวมหมวกสีขาวมาตั้งแต่เด็กและตอนนี้ก็ได้เป็นนักศึกษาพยาบาลสมใจ แต่ที่ทำให้ขัดใจหน่อยก็คงเป็นกิจกรรมการรับน้องที่เอาเวลาอ่านหนังสือไปจนหมดนี่ล่ะ แต่สุดท้ายฉันก็ได้เรียนรู้ ว่ามันก็ให้ข้อคิดดี ๆ ในการใช้ชีวิตอยู่ไม่น้อย ทั้งเพิ่มทักษะในการแก้ปัญหา และพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ กิจกรรมนี้มีประโยชน์ค่ะ
“จะไม่ให้พวกเราช่วยจริงๆ เหรอ?” เพื่อนร่วมกลุ่มทำรายงานทั้งสามคนเอ่ยปากถามพร้อมแบกกระเป๋าใบใหญ่เตรียมกลับบ้านในเย็นวันศุกร์ ถ้ามองดูจากรูปการณ์แล้วพวกเธอคงไม่ได้ตั้งใจจะช่วยซักเท่าไหร่
“ไม่เป็นไรเราทำเองได้”
“โอเคงั้นไปแล้วนะ”
งานกลุ่มที่ว่านี้ต้องเร่งส่งภายในเช้าวันจันทร์ ซึ่งหมายความว่าต้องรีบปั่นให้เสร็จโดยใช้เวลาเพียงสองวัน ปกติถ้าแบ่งกันทำสี่คนก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมาก
แต่นี่ทุกอย่างฉันต้องเป็นคนลงมือทำทั้งหมด มันเลยค่อนข้างหนักเอาการ ฉันเคยแบ่งให้พวกนั้นทำบ้างแต่ผลที่ได้คือไม่เสร็จบ้าง ไม่ถูกบ้าง เกี่ยงกันบ้าง จนสุดท้ายต้องมานั่งตรวจทานแล้วลงมือทำด้วยตัวเองถึงออกมาดี จะให้ทำไงล่ะ งานกลุ่มก็ต้องได้คะแนนเป็นกลุ่ม แถมสามคนที่ว่านี่ก็อยู่รหัสติดกับฉัน แล้วอาจารย์ก็มักลดความยุ่งยากในการแบ่งงานด้วยการแบ่งตามรหัส ฉะนั้นชะตากรรมนี้ ฉันจึงต้องแบกรับมันไว้จนจบปีสี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“กายวิภาคศาสตร์ระบบไหลเวียนโลหิต”
ฉันท่องหัวข้อรายงาน ก่อนเดินตามชั้นหนังสือเพื่อตามหามันหวังว่ายังมีเหลืออยู่นะ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
ฉันเดินวนหาเป็นรอบที่สาม จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีหลงเหลืออยู่เลยสักเล่ม แสดงว่านักศึกษาคนอื่นรู้ว่าต้องทำรายงานเลยมายืมเอาไว้จนหมดเกลี้ยงเลยสิ ไม่เป็นไรเดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่เผื่อมีคนเอามาคืน
ความวิตกกังวลว่าจะทำรายงานไม่ทัน ซึ่งอาจส่งผลต่อคะแนนลามไปถึงเกรดตอนปลายเทอมจึงทำให้ฉันต้องรีบปรึกษากับเพื่อนร่วมกลุ่ม
[อ๋อ หนังสือเหรอฉันยืมมาแล้วแต่ว่ามันติดกระเป๋ากลับบ้านมาด้วยอ่ะ]
เสียงปลายสายตอบมา
“งั้นเธอทำรายงานได้ไหมวันจันทร์เช้าจะได้มารวบรวม”
[ไม่เอาอ่ะ ก็เธอบอกเองว่าจะรับทำเองทั้งหมด อีกอย่างงานนะเยอะแยะแบบนี้ฉันทำคนเดียวไม่ไหวหรอก]
“แต่วิไม่มีหนังสือนะจะทำรายงานได้ไง?”
จะให้ฉันค้นจากอินเตอร์เนตแล้วทำส่งงั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก
[ไม่รู้ล่ะเธอรับปากไว้แล้วเธอก็ต้องทำ แค่นี้นะฉันจะขึ้นเรือไปเกาะแล้ว]
ปลายสายกดวางไปเป็นอันจบบทสนทนาให้ทำแค่นี้ช่วยหน่อยก็ไม่ได้แถมมีรายงานกลุ่มแต่ไปเที่ยวเนี่ยนะเพื่อนร่วมกลุ่ม จะทำไงได้ล่ะในเมื่อเป็นคนรับปากเองนี่นา
เชื่อไหม ว่าคืนนั้นทั้งคืนฉันนอนไม่หลับเพราะกังวลเรื่องทำรายงานไม่ทัน
วันเสาร์ห้องสมุดเปิดช่วงบ่าย เพื่อให้รุ่นพี่ที่ขึ้นฝึกงานบนวอร์ดได้ลงมาค้นคว้าหาความรู้และเอาหนังสือไปทำรายงานเกี่ยวกับกรณีศึกษา ฉันจึงนั่งรอให้มีคนมาคืนหนังสือที่ชั้นจนเย็นแต่กลับไม่มีใครนำสิ่งที่ต้องการเอามาคืนสักเล่ม และแล้วห้อง สมุดก็ปิดในที่สุด วิรงรองจะเอาหนังสือที่ไหนมาทำรายงานกันล่ะทีนี้
“ฮึก! ฮึก!”
เพราะความเครียดและกดดันที่จะไม่มีงานส่งร่างผอมบางของฉันจึงมานั่งร้องไห้คนเดียวที่ใต้ต้นกาสะลองหน้าตึกในยามเย็น ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ฉันจึงกล้าทำแบบนี้ซึ่งปกติจะไม่ทำให้ใครได้เห็นหรอก แต่ส่วนนึงที่ทำให้เป็นต้องร้องไห้จนถึงขั้นสะอื้นก็คือความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เพื่อนร่วมกลุ่มไม่ยอมช่วยแก้ไขปัญหาแถมไม่เคยสนใจเลยด้วยซ้ำว่าจะไม่มีงานส่งและไม่มีคะแนน
“มีอะไรไม่สบายใจเหรอ?”
เพื่อนผู้ชายตัวเล็กหน้าสิวเอ่ยถามหลังจากที่นั่งลงข้าง ๆ
“ไม่มีอะไรหรอก” ฉันรีบเช็ดน้ำตาหลังจากตอบออกไป
“เราก็แอบร้องไห้บ่อยเพราะคิดถึงบ้าน แต่ร้องแล้วมันก็สบายใจขึ้นนะ”
“แต่เรื่องที่เราไม่สบายใจต่อให้ร้องไห้กี่ครั้งมันก็ไม่หายหรอก”
“บอกเราได้ไหมเผื่อช่วยได้?”
“อือ... คือว่าเราต้องทำรายงานแต่ไม่มีหนังสืออ่ะ”
ฉันลังเลก่อนจะบอกออกไป เพื่อนตัวเล็กอาจจะช่วยอะไรไม่ได้หรอก แต่อย่างน้อยแววตาห่วงใยแบบนั้นมันก็ทำให้รู้สึกว่ายังมีคนอยู่ข้างๆ ในวันที่ไม่มีใคร
“ระบบไหลเวียนโลหิตป่ะ?”
“อือ”
“งั้นรอตรงนี้นะ ห้ามไปไหนนะรับปากนะ”
“อือ”
“ห้ามโกหกนะ”
เพื่อนตัวเล็กชี้หน้าฉันก่อนจะรีบวิ่งกลับออกไปทางโรงพยาบาลแล้วจะให้รออะไรล่ะ
“ป่ะไปข้างนอกกัน”
เพื่อนตัวเล็กเดินกลับมาหลังจากหายไปเกือบครึ่งชั่วโมง พร้อมสะพายเป้ใบใหญ่ด้วยหน้ายิ้มแย้มผิดกับตัวฉันที่กระวนกระวายอย่างอยู่ไม่สุข
“จะไปไหนเราไม่ไปด้วยหรอกนะ”
“เถอะน่าจะมาเครียดอะไร น้า นะนะ”
เขาเอื้อมมือมากุมมือฉันแล้วดึงให้ลุกขึ้นด้วยใบหน้าออดอ้อนราวกับเด็ก
“อือ ก็ได้”
ไหนๆ ก็จะไม่มีงานส่งแล้วไปเที่ยวหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั๊ง ค่อยไปปั่นคะแนนตรงมิดเทอมกับไฟนอลเอาก็ได้
“รสชาติเป็นไงมั่ง?”
เพื่อนตัวเล็กมองหน้าฉันหลังจากที่ยื่นชามก๋วยเตี๋ยวปากหม้อให้สักพัก
“ยังไม่ได้กินเลย”
“พี่ครับเพื่อนผมไม่ยอมกินก๋วยเตี๋ยวปากหม้อร้านพี่ค๊าบ!”
“ว่าไงนะ!”
เสียงเจ้าของร้านตะโกนมาจากเตาทำเอาฉันสะดุ้งนี่จะแกล้งกันซึ่งๆ หน้าเลยเหรอเนี่ย
“กิน กินค่ะ” ไม่พูดพร่ำทำเพลง ฉันรีบตักมันเข้าปากแล้วจึงเคี้ยวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทำตาโตส่งยิ้มให้เพื่อน
“อร่อยมาก อร่อยจริง ๆ ”
“พี่ครับเพื่อนผมบอกว่าอร่อยมากค๊าบ!”
“จ้า!”
เสียงเจ้าของร้านตะโกนตอบกลับมา
“นี่จงใจแกล้งกันจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย?”
“จริง แล้วอร่อยจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย!”
“จริง!”
เราทั้งคู่สบตากันแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง จนลูกค้าหลายคนหันมามอง เพื่อนตัวเล็กทำตาโตเบ้ปากอย่างไม่สนใจ
ฉันว่าเพื่อนคนนี้มีพลังบวกอย่างเหลือล้น แล้วกำลังถูกส่งต่อมาให้เพราะอะไรน่ะเหรอก็ในวันที่แสนเคร่งเครียดแบบนี้เขายังทำให้ฉันยิ้มและหัวเราะออกมาได้ไงล่ะ
“ส่งแค่นี้นะ” เพื่อนตัวเล็กโบกมือตรงทางขึ้นหอหญิง
“ก็ต้องตรงนี้สิจะขึ้นหอหญิงรึไงล่ะ?”
“งั้นหลับตาก่อนสิเรามีอะไรจะให้”
“อือ ได้สิ”
“ห้ามขี้โกงนะ เตือนแล้วนะ”
“รับปากแล้วไงไม่โกงหรอก”
ฉันได้ยินเสียงกุกๆ กักๆ ตามด้วยเสียงรูปซิบ ถ้าเดาไม่ผิด เขาน่าจะหยิบอะไรออกจากเป้ใบใหญ่ที่สะพายมาด้วย
“ทีนี้ก็ลืมตาช้า ๆ”
“เฮ๊ย! ขอบใจมาก”
หนังสือกายวิภาคศาสตร์ และตำรากายวิภาคศาสตร์ระบบไหลเวียนโลหิต ถูกยื่นมาให้ต่อหน้า เป็นใครจะไม่ดีใจล่ะนี่เท่ากับการช่วยชีวิตวิรงรองเลยนะ
“ตอนแรกกะจะเอาให้เลยแต่เราเห็นเธอนั่งคร่ำเคร่งแต่กับการเรียนมาตั้งนานเลยอยากให้ไปพักสมองบ้าง”
“ถ่ายเอกสารมาทั้งสองเล่มเลยเหรอ เท่าไหร่อ่ะเดี๋ยวเราจ่ายตังให้”
“ไม่เป็นไรถือเป็นของตอบแทนที่พาเราไปกินของอร่อยก็แล้วกัน”
“นี่หลอกเราให้พาไปกินเหรอร้ายไม่เบานะ แต่เราก็เกรงใจอยู่ดี”
ฉันใช้กำปั้นชกไหล่เพื่อนตัวเล็กเบาๆ รู้สึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันปกติฉันไม่เคยทำแบบนี้กับใครโดยเฉพาะเพื่อนต่างเพศคงเพราะสัมผัสได้ถึงมิตรภาพที่อีกฝ่ายกำลังส่งมาล่ะมั๊ง
“ตอนแรกกะจะทำเท่ด้วยการให้หนังสือไปเลยแต่ลืมไปว่าเราเองก็ต้องทำรายงานเหมือนกัน
“เหลือเยอะไหมล่ะ?”
“อีกหัวข้อเดียวพอดีแบ่งกันทำกับเพื่อน”
“เราเหลือทั้งหมดเลยกะว่าจะปั่นคืนนี้”
“งั้นพรุ่งนี้มาทำรายงานด้วยกันที่โต๊ะใต้ร่มกาสะลองนะ ถ้าไม่ทันเดี๋ยวเราช่วยเอง”
“ไม่ต้องช่วยหรอกเราเกรงใจ”
“งั้นเอาหนังสือคืนมาเลย”
“ก็ได้ๆ เก้าโมงนะ”
“โอเค เอ่อ เราชื่อแลนด์นะ”
“เราชื่อ...วิ”
“งั้นเรากลับบ้านก่อนนะ”
“บายจ้ะ” เราโบกมือลาก่อนจะเดินจากกัน พื้นที่ที่เต็มไปด้วยความกดดันและน้อยใจของฉันมันถูกขับไล่ออกไปจนหมดสิ้น มีมิตรภาพที่งดงามเข้ามาแผ่กิ่ง ก้านสาขาทดแทนจนเต็มมิตรภาพมีรูปร่างหน้าตายังไงน่ะเหรอ ตัวเล็กๆ ผิวขาว ๆ แล้วก็ยิ้มเก่งแถมขี้แกล้งไงล่ะ
ฉันใช้วันอาทิตย์ทั้งวัน ไปกับการนั่งปั่นรายงานแบบตัวเป็นเกลียวหัวเป็น น็อต แต่ทุกอย่างมันสะดวกและรวดเร็วมากขึ้นเพราะเพื่อนตัวเล็กชื่อแลนด์ช่วยใช้ปากกาเน้นข้อความขีดในหนังสือตรงจุดที่สำคัญให้จนหมด ในตอนแรกฉันก็ตรวจ ทานทุกตัวอักษรเพราะเกรงว่าจะผิดพลาด แต่สักพักก็ลอกเอาทั้งหมดโดยไม่ต้องคิดอะไร เพื่อนตัวเล็กคนนี้นอกจากจะใจดีแล้วยังเก่งอีกด้วย
“ไม่รู้จะซื้ออะไรมาให้คิดไรไม่ออกเลยเอาข้าวกะเพรามาอ่ะ”
แลนด์วางข้าวกล่องพร้อมน้ำดื่มไว้ข้างหน้า นอกจากช่วยทำรายงานแล้วยังหาข้าวหาน้ำให้กินอีก อะไรจะดีขนาดนั้น
“โห เกรงใจอ่ะแต่ก็ขอบคุณนะ”
“ก็ไม่ยอมให้เราช่วยเขียนนี่นา ว่าแต่ถึงไหนแล้ว?”
“อีกแค่สองหัวข้ออ่ะ แลนด์สรุปไว้แบบนี้มันก็เลยเสร็จเร็วไง”
“งั้นเราขออะไรอย่างได้ป่ะ?”
“อะไรเหรอ?”
“เราขอเอารายงานไปเข้าเล่มให้นะ”
“อือ ก็ได้แต่เราจ่ายตังเองนะ”
“อือ ก็ได้”
“นี่ย้อนเราเหรอ?”
“ฮ่าๆ ๆ ”
ว่าแต่แลนด์ทำไมถึงได้ใจดีเอารายงานไปเข้าเล่มให้กันนะหรือว่ามีญาติทำกิจการร้านถ่ายเอกสาร แต่ช่างเถอะยังไงซะก็ไม่ต้องกังวลเพราะไม่มีงานส่งแล้วนี่หว่า คืนนี้คงได้นอนหลับฝันดีแน่นอน
“วิ ทำไมเธอทำแบบนี้ล่ะ?”
เพื่อนทั้งสาม โยนรายงานลงบนโต๊ะเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ในตอนบ่ายระหว่างรออาจารย์เข้ามาสอนเรียกความสนใจจากเพื่อนทั้งห้อง หลายคนถึงกับเงียบแล้วเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ
“วิทำอะไรเหรอ?”
“ยังจะมาทำเป็นซื่ออีก อาจารย์เขียนปากกาแดงตรงผู้จัดทำว่าทำไมถึงได้มีชื่อเธอเพียงคนเดียวทั้งที่มันเป็นงานกลุ่ม แบบนี้มันหมายความว่ายังไง?”
พวกเธอเปิดหน้ารายชื่อผู้จัดทำให้ฉันดู มันก็เป็นอย่างที่พูดมีชื่อนางสาววิรงรองเพียงคนเดียว จะเป็นได้ไงในเมื่อฉันเขียนรายชื่อทุกคนครบแล้ว มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ
“ทำคนเดียวก็ต้องมีรายชื่อคนเดียวสิ”
“นายมายุ่งอะไรด้วยนี่มันงานกลุ่มของพวกเรา”
หนึ่งในสมาชิกกลุ่มของฉันพูดเสียงดัง พร้อมกับชี้หน้าแลนด์ทั้งห้องเงียบสนิทแล้วหันมาสนใจการสนทนานี้
“วิเขียนชื่อทุกคนครบแล้วนะ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?”
ตอนนี้อดสงสัยในตัวแลนด์ไม่ได้ หรือต้องการให้ฉันกับเพื่อนต้องแตกคอจนต้องทะเลาะกัน
“งานกลุ่มงั้นเหรอเราเห็นวินั่งทำคนเดียววันอาทิตย์หนังสือก็ไม่มีถ้าคิดว่าเราโกหกมาเปิดดูรายงานได้เลย ทั้งเล่มมีลายมือของวิรงรองเพียงคนเดียว แบบนี้เรียกว่างานกลุ่มได้จริงดิ พวกเธอไม่ละอายใจกันบ้างเลยเหรอ?”
“ก็ ....”
“ก็อะไร ก็พวกเธอหนีกลับบ้านกันหมดล่ะสิ”
จากที่เคยเสียงดังตอนนี้เพื่อนทั้งสามคนกลับเงียบจนฉันนึกสงสาร
“เราในฐานะนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่หนึ่งคนนึงขอเสนอว่า ต่อไป
ถ้ามีการแบ่งงานทำเป็นกลุ่ม ให้พวกเราเสนออาจารย์ให้แบ่งกลุ่มตามความสมัครใจไม่ต้องเรียงตามรหัสตามเดิม ใครเห็นด้วยช่วยยกมือหน่อย”
ทั้งห้องยกมือสนับสนุนกันหมดยกเว้นเพียงแค่สามคน น่าจะเดาได้ไม่ยาก
“งั้นก็ตกลงตามนี้ หวังว่าคงเข้าใจในสิ่งที่เราทำนะ”
แลนด์ยื่นมือมาหยิบเล่มรายงานก่อนเดินออกจากห้องไป โคตรเท่อ่ะ
“วิ เอ่อ พวกเราขอคุยด้วยได้ไหม?”
“อือ ได้สิมีไรเหรอ?”
เพื่อนผู้หญิงสามคนเรียงหน้ากันเข้ามาขอคุยด้วย หลังจากเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวันนี้
“คือพวกเราขอโทษนะที่ปล่อยให้เธอต้องทำรายงานคนเดียว”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“อย่าโกรธพวกเราเลย ยกโทษให้พวกเรานะ”
พวกเธอยื่นมือมาจับมือฉันด้วยสายตาอ้อนวอน
“เราไม่ได้โกรธพวกเธอหรอก จริงๆ นะ”
ฉันกุมมือแล้วบีบเบาๆ เพื่อให้มั่นใจ
“เราขอโทษพวกเธอด้วยนะเรื่องตอนบ่ายอ่ะ”
เสียงแลนด์ดังมาจากด้านหลัง ตอนแรกฉันคิดว่าเพื่อนทั้งสามคนจะรุมด่าแต่กลับยืนนิ่งด้วยสีหน้าสำนึกผิด
“ตอนแรกเราคิดว่าพวกเธอจะคุยกับวิเพียงลำพัง ไม่คิดว่าจะคุยเรื่องนี้กันต่อหน้าเพื่อนทั้งห้องเราก็เลยจำเป็นต้องทำแบบนี้เพื่อปกป้องเพื่อนเราน่ะ ขอโทษจริงๆ นะ”
อะไรนะที่แลนด์ทำลงไปเพื่อปกป้องเพื่อนอย่างฉันงั้นเหรอ
“ไม่เป็นไรหรอกพวกเราก็ผิดจริงๆ นั่นแหละต่อไปจะปรับปรุงตัวนะ”
“รายงานฉบับจริงถูกส่งและตรวจเสร็จแล้ว ส่วนเล่มที่เราให้เพื่อนเอาให้เธอมันแค่สำเนาไอ้คอมเมนท์นั่นเราก็เป็นคนเขียนเองทั้งหมดวิไม่ได้มีส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก ที่เราทำไปก็เพราะหวังดีกับทุกคนนะ”
เราหันหน้าไปมองแลนด์อย่างทึ่ง ๆ
“ถ้าไม่ทำแบบนี้วิก็ต้องรับหน้าที่ทำรายงานเพียงคนเดียวไปตลอด ซึ่งอาจ จะเหนื่อยกว่าพวกเธอแต่อย่าลืมว่าคนที่จะได้ความรู้ไปทั้งหมดก็คือคนทำพวกเธอไม่ได้ทำก็อาจจะรู้น้อยกว่า แล้วที่สำคัญถ้าเกิดวันนึงอาจารย์มารู้ทีหลังว่ารายงานทุกฉบับเป็นแบบนี้มาตลอดพวกเธอก็จะถูกมองไม่ดีจริงไหม?”
เพื่อนทั้งสามคนพยักหน้า
“พรุ่งนี้เราจะไปอธิบายให้เพื่อนๆ ฟังที่หน้าห้องนะ”
“ไม่เป็นไรพวกเราจะจัดการเอง”
เพื่อนทั้งสามคนเอ่ยปากก่อนจะเดินจากไป
รุ่งเช้าก่อนเข้าเรียนรายวิชาแรกเพื่อนทั้งสามคนก็ออกไปยอมรับหน้าห้องเรื่องความผิดทั้งหมดที่ได้ทำ พร้อมทั้งรับปากว่าจะแก้ไขและปรับปรุงตัว เรื่องราวทุกอย่างจึงจบลงด้วยดี
ฉันได้เพื่อนร่วมชั้นกลับมาสามคน และที่สำคัญได้เพื่อนรักมาด้วยอีกหนึ่งคน เพื่อนรักหน้าตาเป็นไงน่ะเหรอ ก็แบบว่าบทจะต๊องก็สุดกู่บทจะเอาจริงเอาจังก็โคตรเท่ไงล่ะ
“ติดใจใช่ไหมล่ะ?”
แลนด์เอ่ยปากแซวหลังจากที่ฉันเคี้ยวก๋วยเตี๋ยวปากหม้อไม่หยุด
“อือ วันนี้วิเลี้ยงนะ”
“อือ ก็ได้แต่ขออะไรอย่างได้ป่ะ?”
“จะขออะไรอ่ะ ขอทีไรมีเรื่องทุกทีแต่วิก็ให้ได้หมดล่ะถ้าแลนด์ขอ”
“เป็นเพื่อนกับแลนด์ตลอดไปนะ”
เพื่อนตัวขาวชูนิ้วก้อยขึ้นมา
“เราจะเป็นเพื่อนกันไม่ทิ้งกันตลอดไป”
ไม่อยากบรรยายเลยว่าใบหน้าของแลนด์เวลายิ้มกว้างนั้นเป็นยังไง น่ารักสดใสไม่ต่างจากดอกไม้ยามเช้าที่เบ่งบานรับรุ่งอรุณซึ่งพร้อมจะเพิ่มพลักบวกและมุมมองดีๆ ให้กับผู้คนที่ได้พบเห็น
ฉันเกี่ยวก้อยสัญญากับเพื่อนรัก คนที่ทำให้ฉันเป็นวิในแบบที่ไม่เคยเป็น จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ความเป็นเพื่อนของเราไม่เคยลดน้อยถอยลงมีแต่แน่นแฟ้นขึ้น
...ขอบคุณนะที่มาเป็นเพื่อนกับฉัน...
กลับเข้าสู่ช่วงสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ by Phaki9 ครับ
จบสวยอีกแล้ว คุณจะมีเอี่ยวกับเรื่องของทุกคนไม่ได้นะไอแลนด์ : ผม
ไอ้ปื๊ด : ไอ้เตี้ยมันชอบเจ๋อครับ (อมยิ้ม)
วิ : วิชอบให้แลนด์เจ๋อนะ เจ๋อทุกเรื่องด้วยยิ่งดี
เดอะแก๊งค์ : ช่ายยย! (ประสานเสียง)
ไอแลนด์ : งั้นต่อไปกูไม่ยุ่งกับมึงแล้ว! (งอนตุ๊บป่อง)
ดี ปล่อยให้มันอยู่คนเดียวไปเลย : ผม
ไอ้ปื๊ด : ไม่ได้นะ พี่โอห์มยิ่งไม่อยู่ กูเหงา (ทำหน้าละห้อย // แอคติ้งเว่อ)
เรียว : ก็ไปหาน้องแจนสิจ๊ะ ใช่ไหมฟิล์ม?
ฟิล์ม : ใช่ ใช่ ใช่!
ไอแลนด์ : อ้อ วิมีฉายาเกี่ยวกับหมาด้วยนะ!
วิ : พอเลยนะ (ทำหน้าดุ)
เล่าหน่อยครับ นานๆ จะเจออาจารย์วิในมุมอื่น : ผม
เรียว : แว่นหนาหมางง...
วิ : หยุดนะ...เฮฮาหมาเฮ้ว
ไอ้ปื้ด : ฉายาอะไรก๊องแก๊งเบอร์นั้นวะ?
นั่นสิครับ มีที่มาที่ไปยังไง? : ผม
เรียว : ก็วันนั้นเราไปเดินตลาดมืดกัน แลนด์มันเห็นร้านขายอาหารหมา ก็เลยไปเหมามา ไม่รู้ถูกหวยหรือล็อตเตอรี่เราก็เลยต้องช่วยมันหอบหิ้วจนเหงื่อตก
ฟิล์ม : ทำไมเรื่องนี้ฉันไม่รู้
วิ : วันนั้นแกกลับบ้านไง วันเกิดพี่สาวคนโต
ไอ้ปื๊ด : ไงต่อ
ไอแลนด์ : ในระหว่างทางกลับเราก็ไปเจอหมาเด็กที่กำลังเล่นกันอยู่ ผมก็เลยแบ่งขนมให้ ตอนแรกเรียวกับวิก็กล้าๆ กลัวๆ เพราะกลัวว่าแม่มันจะมาเจอแต่หมาเด็กน่ารักมากเลยนะตั้งหกตัวแหนะ
หมาเด็ก? : ผม
ไอ้ปื๊ด : ลูกหมาน่ะครับ ไอ้เตี้ยมันชอบบัญญัติศัพท์แปลก ๆ
ไอแลนด์ : เดี๋ยวนะ มึงรู้ด้วยเหรอว่าบัญญัติแปลว่าอะไร?
วิ : บูลลี่! (วิแกล้งปราม)
เรียว : แกว่าปื๊ดโง่เหรอแลนด์ ร้ายกาจ! (ทำตาโต)
ฟิล์ม : ปื๊ดไม่ได้โง่ แค่ฟังคนอื่นพูดไม่ค่อยทัน เข้าใจอะไรช้ากว่าคนปกติเท่านั้นเอง
ไอ้ปื๊ด : เออ ขยี้กันเข้าไป (ทำหน้าปลง // แคะขี้มูก)
สรุปเพื่อนๆ ลงความเห็นว่าคุณปื๊ดโง่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหมาเด็กวะ? : ผม
ไอแลนด์ : แหะ แหะ ไม่เกี่ยวครับ
เรียว : จากนั้นเราก็เห็นว่าหมาเด็กมันน่ารักก็เลยเข้าไปเล่นกับพวกมัน
ไอแลนด์ : เรียวเล่นกับหมาเด็กเหมือนมันเป็นเด็กจริงๆ เลยนะ คุยกัน ถามนั่นนี่แถมยังจั๊กจี้ หมาเด็กชอบใหญ่เลย
วิ : ตัดภาพไปที่แม่หมาที่กลับมาเจอ ...
ฟิล์ม : แม่หมากัดแกเหรอเรียว เรียกป่อเต็กตึ้งไหม?
เรียว : เรียกมารับแกเถอะย่ะ แม่หมาไม่ทำอะไรหรอกเพราะฉันมีล่าม
วิ : ล่ามแปลภาษาหมา ฮ่า ฮ่า ฮ่า (หัวเราะเบาๆ)
เอ่อ โทษนะผมงง แปลภาษาหมานี่ยังไงเหรอครับ? : ผม
เรียว : คือแลนด์มันนั่งคุยกับแม่หมาน่ะครับ มันบอกว่าลูกคุณน่ารักดีนะ ขอพวกเราคุยด้วยได้ไหม ขอเล่นด้วยได้หรือเปล่า
ไอแลนด์ : ฉันคุยกับแม่หมา ส่วนแกน่ะเล่นจ๊ะเอ๋กับหมาเด็ก แถมจั๊กจี้พุงด้วย
ไอ้ปื๊ด : หนักเลยนะนั่น
แล้วสรุปแม่หมาโอเคไหม? : ผม
วิ : แม่หมาโอเคเพราะแลนด์ติดสินบน
ไอแลนด์ : แหม ยายแว่นหนาหมางง (เบ้ปากใส่)
เรียว : แต่พอคนบางคนอยากเล่นด้วย หมากลับไม่เล่นด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า
วิ : หยุดเลยนะ
ฟิล์ม : ยังไงอ่ะ อย่าบอกนะว่ามันสงสัยว่ายัยป้าคนนั้นเป็นใคร
ไอแลนด์ : ที่สุด! หมาเด็กหยุดเล่นกับเรียวแล้วมารุมจ้องวิ พวกมันเดินวนรอบๆ
แล้วก็มองอย่างสงสัย สุดท้ายก็รุมเห่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ไอ้ปื๊ด : สรุปเห่าแว่นหรือการแต่งตัวแบบคุณป้ากันแน่
วิ : บูลลี่!
ไอแลนด์ : น่าจะแว่นเพราะถ้าเป็นกระโปรงหมาเด็กคงรุมทึ้งไปแล้ว
เอิ่ม บางทีฉายาก็เกิดง่ายเหลือเกินเนาะ : ผม
วิ : ปกติชีวิตราบเรียบน่ะค่ะ ไม่ค่อยมีเหตุการณ์น่าตื่นเต้นอะไร
ไอแลนด์ : บางคนก็มีฉายานะ (เหล่มองเพื่อน)
ไอ้ปื๊ด : มึงหุบปากเลยนะ (กัดฟันพูดเบาๆ)
ฟิล์ม : เล่ามาเลย...
เรียว : ไม่ต้องมาข่มขู่เพื่อนฉันนะยะ (ชี้หน้าไอ้ปื๊ด)
เรื่องนี้ต้องขยาย : ผม
ไอแลนด์ : เรื่องนี้เกิดมานานมากน่าจะตั้งแต่มัธยม ก็ไม่มีไรมากวันนั้นเราไปดูหนังก็เลยกลับค่ำไปหน่อย ระหว่างเดินเข้าซอยไอ้ปื๊ดมันก็มัวแต่คุยแชทกับสาวๆ ทั้งที่เพิ่งเกิดเรื่องไม่นาน แหม ยังจะทำตัวกะล่อน
ฟิล์ม : พวกผู้ชายก็งี้แหละ (เบ้ปากใส่ไอ้ปื๊ด)
ไอ้ปื๊ด : หยุดเลยไอ้เตี้ย กูเล่นเกมเหอะ
ไอแลนด์ : อ้าวเหรอ โทษทีว่ะ (เกาหัว)
เรียว : คนชอบใส่ความเพื่อนก็แบบนี้แหละ (เบ้ปากใส่แลนด์กับฟิล์ม)
ไอแลนด์ : ก็มัวแต่เล่นเกมไงถึงเดินเหยียบน้องหมา (มองตาขวาง)
ไอ้ปื๊ด : ก็มันไม่หลบกูเอง โทษกูฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนะ (เถียงกลับ)
แล้วหมาดวงซวยตัวนั้นเป็นไงบ้างครับ? : ผม
ไอแลนด์ : ขาหลังซ้ายหักครับ
ฟิล์ม : คนเลว!
เรียว : คนใจร้าย!
วิ : สงสารน้องหมาจัง (ทำตาละห้อย)
คุณนี่บาปหนานะครับคุณปื๊ด : ผม
ไอ้ปื๊ด : สรรเสริญกูเข้าไป รีบเล่าต่อให้จบสิวะไอ้เตี้ย ก่อนที่เขาจะรุมกูมากกว่านี้
ไอแลนด์ : โห! สรรเสริญ ศัพท์ยากขึ้นทุกวันนะมึงเนี่ย คืองี้ไอ้ปื๊ดมันก็ไม่ได้ชั่วช้าขนาดนั้นหรอก เมื่อเห็นน้องหมาเจ็บเราก็เลยพาไปรักษา แล้วจากนั้นมาเจ้าหมาตัวจรจัดตัวนั้นก็เลยกลายมาเป็นสมาชิกของบ้านไอ้ปื๊ด คุณยายทองนี่หลงรักไอ้ด่างมากกว่าหลานอย่างไอ้ปื๊ดอีก
ฟิล์ม : คนน่ารัก
เรียว : คนใจดี
วิ : ดีใจจังที่น้องหมามีบ้าน
คุณนี่ใจบุญสุนทานนะครับคุณปื๊ด (ตามน้ำซะหน่อย) : ผม
ไอ้ปื๊ด : แหม ตอนแรกไม่เห็นพูดงี้ (มองขวาง)
เดอะแก๊งค์ : เค้าขอโทษษษ... (ยิ้มแหยๆ)
เค้าด้วย (ตามน้ำไปอีกหน่อย) : ผม
เพื่อเป็นการขอโทษ งั้นให้คุณปื๊ดเล่าอีกเรื่องนึง พิเศษสุดๆ เลยนะเนี่ย : ผม
ไอ้ปื๊ด : จริงเหรอครับ (มองอย่างดีใจแล้วหันมองเพื่อนๆ)
ไอ้ปื๊ด : จะเล่าแล้วน้าาา...