“ปู้ววว.. ปุ..’ ฟองน้ำโปร่งใสนุ่มนิ่มยังคงพัวพันอยู่กับตัวนาง เจ้าตัวเล็กพูดอะไรก็ไม่ทราบ แต่ไป๋ซูเถียนกลับเข้าใจได้ …มันกำลังบอกว่าชอบนางมาก
“อืมมม… ข้าก็ชอบเจ้าเหมือนกัน ต่อไปข้าจะเรียกเจ้าว่า ‘ปู้เอ๋อ’ ดีหรือไม่?” เพราะไม่อาจระบุสายพันธุ์ หญิงสาวจึงได้เรียกมันอย่างง่ายๆ ตามเสียงร้องของมันแทน เสียงแหลมเล็กส่งเสียง ปู้ ปู้ อีกหลายครั้ง ริมฝีปากกลมพยายามฉีกยิ้มจนดวงตากลมสีเงินเปลี่ยนเป็นขีดสองเส้น ไป๋ซูเถียนเห็นแล้วก็หัวเราะเสียงใส มือเล็กลูบลำตัวนุ่มนิ่มของมันอย่างเอ็นดู
ไป๋ซีเฉิงยืนอยู่ไม่ห่างจากน้องสาว เขาไม่พูดอะไรออกมาเพียงแค่กวาดตามองรอบตัวอย่างงุนงง เหมืองผลึกเวทย์ที่เดิมยังเต็มไปด้วยผลึกสีขาวตอนนี้กลับหายไปเกือบครึ่ง เหตุใดนางจึงสามารถดูดซับพวกมันได้มากมายและรวดเร็วเช่นนี้… คำนวนเวลาจากที่เขาก้าวออกไปด้านนอก ดูเหมือนยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ
ไป๋ซูเถียนกำลังเล่นกับสัตว์เวทย์ของตน จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของพี่ชาย
‘แย่แล้ว.. เขาจะสงสัยหรือไม่?’ แม้ในใจจะนึกหวั่นอยู่บ้าง แต่หญิงสาวก็ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แกล้งชวนเขาคุยเรื่องอื่นอย่างเป็นธรรมชาติ
“พี่ใหญ่… เสือขาวของพี่ชื่ออะไรหรือเจ้าคะ? ให้ข้าตั้งชื่อให้ดีหรือไม่?” น้องสาวส่งยิ้มสดใสระหว่างเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาพี่ชาย โดยมีปู้เอ๋อลอยยืดย้วยตามมาอย่างร่าเริง “อืมม เป็นพยัคฆ์สีขาว…งั้นก็เรียกว่าเสี่ยวไป๋ ดีหรือไม่?”
ผู้เป็นน้องพยายามดึงความสนใจของพี่ชายออกจากตัวเอง แต่ผู้เป็นพี่กลับไม่ยอมร่วมมือด้วย
“เถียนเอ๋อ… เหตุใดเจ้าจึงบรรลุจอมเวทย์ได้เร็วเช่นนี้?” สีหน้าของไป๋ซีเฉิงปะปนระหว่างความสงสัยและความไม่แน่ใจ หากไป๋ซูเถียนแค่บรรลุจอมเวทย์เขาคงไม่ตกใจเท่าไหร่ เพราะขอเพียงมีผลึกเวทย์มากพอ ผู้ใดก็สามารถบรรลุได้… ที่เขาตกใจก็คือเวลาที่นางใช้ในการดูดซับผลึกเวทย์เหล่านี้และจำนวนของมันต่างหาก!
‘…กลยุทธ์เบี่ยงประเด็นไม่สำเร็จ ก็ได้แต่ต้องแกล้งโง่ไปเท่านั้น!’
“เอ๋…เร็วหรือเจ้าคะ? ข้าเข้าสู่สมาธิจึงไม่รู้ตัวเลย หรือเพราะข้าเคยสูบไอมาร ร่างกายจึงแตกต่างจากผู้อื่นอยู่บ้าง?” ใบหน้าหวานเอียงเล็กน้อย ดวงตากลมโตใสซื่อมองสบพี่ชายอย่างไร้เดียงสา
ไป๋ซีเฉิงย้อนคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับการใช้ผลึกเวทย์กลบไอมาร มันถูกพูดถึงเพียงสั้นๆ อยู่ในหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง…คงเพราะปกติแล้วนักเวทย์สายมารมีจิตใจโหดเหี้ยมเย็นชา หาได้ยากที่พวกเขาจะกลับใจมาเดินทางสายคุณธรรม ดังนั้นเรื่องนี้จึงถูกกล่าวถึงเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ไม่แน่ว่าร่างกายของนักเวทย์สายมารอาจจะไม่เหมือนคนทั่วไปจริงๆ
ใบหน้าหล่อเหลาเหลือบมองรอบตัวอีกครั้ง ประเมินด้วยสายตาน้องสาวของเขาน่าจะสูบผลึกเวทย์ไปหลายพันก้อน นั่นหมายความว่าร่างกายของไป๋ซูเถียนสามารถจุเวทย์ได้จำนวนมากกว่าผู้อื่นหลายสิบเท่า…! แต่เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หลายเดือนก่อน ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิทรงพักผ่อนไม่พอ รู้สึกอ่อนล้าจึงนำผลึกเวทย์มาดูดซับเล่น พริบตาเดียวผลึกเวทย์ระดับสูงทั้งเกือบหนึ่งแสนก้อนก็หายวับไป กลายเป็นที่เลื่องลือถึงพรสวรรค์ที่ได้รับจากมังกรฟ้า… หรือน้องสาวของเขาจะเป็นผู้ได้รับพรจากสวรรค์เช่นกัน?!
พี่ชายมองเหมืองผลึกเวทย์แล้วเงียบไปนาน ไป๋ซูเถียนมองแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมา ชั่วยามเดียวนางผลาญเงินไปมากมาย หากคิดเป็นจำนวนเงินอย่างน้อยก็หลายแสนตำลึง… ร่างกายนี้ช่างเป็นผีปากกว้างโดยแท้
“พี่ใหญ่ ข้าขอโทษเจ้าค่ะ”
ฉับพลัน… ไป๋ซีเฉิงก็หันขวับมาดึงนางไปกอดไว้แน่น
“เถียนเอ๋อ… พี่ดีใจจริงๆ !” ความรู้สึกของเขาในยามนี้มีเพียงความยินดีและโล่งใจ โชคดีที่พบเหมืองแห่งนี้ไม่เช่นนั้นต่อให้ก้มหน้าก้มตาเก็บเงินชั่วชีวิตเขาก็คงไม่อาจซื้อผลึกเวทย์จำนวนมากเช่นนี้ให้น้องสาวดูดซับได้ “ต่อไปนี้จะไม่มีใครสัมผัสไอมารในร่างเจ้าได้อีก เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องสูบไอมารอีกแล้ว …น้องพี่.. เจ้า…ปลอดภัยแล้ว”
หญิงสาวที่เดิมทีถูกลากไปกอดกะทันหันยังงุนงงอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของพี่ชายเจือด้วยเสียงสั่นๆ ดวงตาของนางก็แสบร้อนขึ้นทันที
คนผู้นี้ต้องรักไป๋ซูเถียนมากขนาดไหนกันนะ ทุกความคิดของเขาจึงได้มีเพียงน้องสาวคนนี้เท่านั้น
“พี่ใหญ่… ขอบคุณที่ทำเพื่อข้ามาตลอด” นางอยากกล่าวคำนี้แทนน้องสาวของเขา… เชื่อว่าหากนางได้รู้ก็คงรู้สึกซาบซึ้งใจไม่ต่างกัน
ไป๋ซีเฉิงก้มลงมองหน้าน้องด้วยดวงตาอ่อนโยนและสงสาร “พี่สมควรทำเพื่อเจ้า… หากพี่ไม่ทิ้งพวกเจ้าไว้…”
“ไม่ใช่ความผิดของพี่นะเจ้าคะ! อีกอย่าง นั่นเป็นคำสั่งจากราชาแคว้นหนิง…สถานการณ์แบบนั้นต่อให้ท่านอยู่คงไม่อาจทำอะไรได้อยู่ดี”
ร่างสูงเกร็งขึ้นวูบหนึ่งเมื่อได้ยินชื่อศัตรู … เห็นสีหน้าพี่ชายมืดครึ้มลง ไป๋ซูเถียนก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร แต่ว่านางไม่อยากให้เขาเป็นแบบนี้เลย น่าจะมีสักวิธีที่สามารถลงโทษคนผิดได้โดยที่เขาไม่ต้องเดือดร้อนไปด้วย
เฮ้อ… ดูเหมือนชีวิตเปี่ยมสุขที่วางแผนไว้คงต้องหม่นหมองลงสักเล็กน้อยล่ะนะ
เมื่อปัญหาเรื่องไอมารหมดไป ปัญหาที่เหลือก็คือพวกเขาต้องคิดว่าผลึกเวทย์ที่เหลือกว่าครึ่งควรจัดการเช่นไร
“เจ้าอยากขายหรือจะเก็บไว้เล่า?” ผู้เป็นพี่ยกการตัดสินใจให้น้องสาวอย่างใจกว้าง เขาถือว่าผลึกเวทย์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ไป๋ซูเถียนหามา ดังนั้นเขาจึงไม่อยากก้าวก่าย
“อืมม…ขายหมดคงไม่ได้… แต่จะทิ้งไว้ก็ไม่ดีอีก… เพราะต้องหาคนมาคอยเฝ้าไว้ แถมยังเสี่ยงต่อการถูกยึดจากทางการอีกด้วย”
“อย่างมากก็แค่ยี่สิบล้านตำลึงเท่านั้น พี่ว่าทางการคงไม่สนใจหรอก”
“อะไรนะ? ยี่สิบล้านตำลึงหรือเจ้าคะ?!” ผู้เป็นน้องตาเบิกกว้าง… หูดับไปตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว “ผลึกเวทย์เหล่านี้ไม่ใช่ว่าก้อนละร้อยตำลึง ทั้งหมดก็ล้านกว่าตำลึงหรือ?!”
“พวกนี้คือผลึกเวทย์ระดับกลางมีไอเวทย์มากกว่าผลึกเวทย์ระดับต่ำหลายเท่า ราคาซื้อขายอยู่ที่ก้อนละพันตำลึง พี่คำนวนดูแล้วก็ตามนี้ล่ะ”
หากดวงตาของไป๋ซูเถียนเปลี่ยนรูปได้ ตอนนี้คงกลายเป็นก้อนตำลึงไปแล้ว!
ตอนแรกเงินล้านกว่าตำลึง หญิงสาวยังไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่นัก ด้วยความรู้ความสามารถของนางเชื่อว่าไม่กี่ปีก็สามารถหาเงินจำนวนนี้มาได้ แต่หากเป็นสิบกว่าล้านตำลึง…
“เงินเยอะเพียงนี้…พวกเราไม่มีเรื่องต้องใช้เงินก็เก็บไว้ก่อนดีหรือไม่ เอาอย่างนี้เถิด พวกเราขายแค่ที่จำเป็นต้องใช้ก็พอ..แล้วที่เหลือล่ะ จะเก็บไว้ที่ไหนดี?” ความตื่นเต้นทำให้หญิงสาวเริ่มเดินวนไปมา ยิ่งพูดสองตาก็ยิ่งเปล่งประกาย จนผู้เป็นพี่หลุดหัวเราะด้วยความขบขัน
“พี่เพิ่งรู้ว่าเจ้าชอบเงินมากเพียงนี้..”
‘ยากจนมาครึ่งชีวิต เป็นท่านจะชอบเงินหรือไม่เล่า?!’ เสียดายคำนี้เสี่ยวเถียนพูดได้แต่ไป๋ซูเถียนพูดไม่ได้ “เปล่าเจ้าค่ะ… ข้าแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้จัดการยากเท่านั้น”
เสียงหวานเอ่ยน้ำเสียงที่พยายามสะกดให้เนิบช้า ไป๋ซูเถียนผู้นั้นไม่เคยมีความชอบในเงินทอง ดูเหมือนนางคงต้องเก็บอาการบ้างแล้ว …ใบหน้าเล็กแสร้งขมวดคิ้วกลุ้มใจ ขณะมองสำรวจผลึกมูลค่ามหาศาลตรงหน้า
“เฮ้อ…ความร่ำรวยนี่ก็เป็นปัญหาเหมือนกันนะ” …ปัญหาหลักตอนนี้คือนางกลั้นยิ้มจนปวดแก้มไปหมด ไม่ได้สิ.. จากนี้ต้องฝึกไว้ให้ชิน จะให้ผู้ใดรู้ไม่ได้ว่านางร่ำรวยมาก ไม่เช่นนั้นคนธรรมดาไร้เส้นสายอย่างพวกนางอาจเป็นอันตรายได้
“ปู้วววว…” ปู้เอ๋อ เห็นผู้เป็นนายลำบากใจจนมีสีหน้าแปลกประหลาด.. เจ้าฟองยืดได้จึงเสนอตัวแก้ปัญหา มันลอยตัวยืดย้วยออกไปด้านหน้า จากนั้นริมฝีปากเล็กๆ นั่นก็อ้าออก
ภาพอันน่าตื่นตะลึงปรากฏขึ้น ปากขนาดเล็กเท่าปลายนิ้วกลับขยายออกกว้างจนเกือบเต็มถ้ำ ไป๋ซูเถียนได้ยินเสียงสูดลมหายใจเข้าหนึ่งครั้ง จากนั้นพื้นดินและผนังถ้ำก็สั่นสะท้าน ผลึกเวทย์มากมายแทรกตัวออกมากระโดดเข้าปากยักษ์นั้นอย่างเชื่อฟัง
‘ฟุ่บๆๆๆๆๆ’
ผลึกเวทย์ลูกแล้วลูกเล่าพุ่งเข้าสู่ท้องของปู้เอ๋อ ขณะที่สองพี่น้องได้เบิกตาค้างมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตั้งตัวไม่ทัน เจ้าลูกโป่งยักษ์ยามนี้ยามอ้าปากสุดความกว้าง ศีรษะของมันจึงแหงนเงยมาด้านหลัง เมื่อเห็นผู้เป็นนายคล้ายจะทึ่งในความสามารถของมัน ดวงตาสีเงินก็หยีลงจนกลายเป็นขีดเล็กๆ …
เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ… ผลึกเวทย์ทั้งหมดก็หายเข้ากระเพาะของมันไป
ปู้เอ๋อปิดปากลงมันกลับมาขนาดเท่าเดิมอีกครั้ง ผลึกเวทย์จำนวนมหาศาลที่ได้รับทำให้เส้นสายในตัวมันชัดเจนขึ้นมาก เจ้าลูกโป่งใสลอยพลิ้วเข้าหานางด้วยท่าทางเบิกบานใจ
“เถียนเอ๋อ สัตว์เวทย์ของเจ้า… กินเก่งดีนะ” ไป๋ซีเฉิงเอ่ยกับน้องสาวอย่างเช่นผู้มีประสบการณ์ ทว่าไป๋ซูเถียนกลับสะดุ้งเฮือก หันมามองเขาคล้ายไม่เชื่อหู ก่อนจะวิ่งเข้าหาผนังถ้ำอย่างร้อนใจ
“ไม่จริง? ผลึกเวทย์ทั้งหมดนั่น …!” มือเล็กสัมผัสผนังถ้ำไปมา ก่อนจะหันมาถามสัตว์เวทย์ของตนด้วยความหวัง
“ปู้เอ๋อ บอกข้าที เจ้าแค่เก็บมันไว้…ไม่ได้กินเข้าไปหมดใช่หรือไม่?”
“ปู้ ปู้ ปุ” … (ปัญหาของท่านถูกข้ากินไปหมดแล้ว นายหญิงดีใจใช่หรือไม่?) ดวงตาสีเงินนั่นหยีลงอีกครั้งด้วยพยายามส่งยิ้มให้นาง เส้นสายในตัวปู้เอ๋อกระพริบวาบอีกครั้งเป็นสัญญาณว่าผลึกเวทย์ทั้งหมดได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับร่างนี้แล้ว
ฮืออออ… นายของเจ้าดีใจจนแทบหลั่งน้ำตาแล้ว… นี่ข้ากลับไปจนอีกแล้วใช่หรือไม่?! ….
หลังขอโทษพี่ชายเป็นครั้งที่ร้อย ไป๋ซูเถียนก็เดินตามเขาออกมาจากโพรงถ้ำ จิตใจของนางสงบลงมาก หลังจากที่ปู้เอ๋อออดอ้อนนางหลายครั้ง “ช่างเถิด … ข้ายังมีตำรับยาหาเงินได้ อีกทั้งเงินห้าร้อยตำลึงที่มีก็พอให้สร้างโรงหมอได้อย่างสบาย!”
เห็นน้องสาวกลับมามีรอยยิ้มสดใส ไป๋ซีเฉิงก็ยิ้มออกมาเช่นกัน “เงินหมื่นกว่าตำลึงของพี่เจ้าเอาไปใช้ได้เลย”
รอยยิ้มสดใสเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ขึ้นแวบหนึ่ง ผู้เป็นพี่มีน้ำใจนางย่อมไม่ปฏิเสธ… “พี่ใหญ่ให้ข้าแล้วข้าจะทำอะไรก็ได้ใช่หรือไม่?”
ดีเลย… สิ่งแรกที่นางจะทำคือปรับปรุงห้องของพี่ใหญ่นั่นล่ะ!!
“เจ้าตัวเชื้อโรค ออกไปให้พ้นนะ!”
ทั้งคู่ได้ยินเสียงตะโกนเล็กๆ ดังขึ้นจากด้านหน้า เมื่อไป๋ซูเถียนมองตามไปก็เห็นกลุ่มเด็กสามสี่คนกำลังทะเลาะกัน หนึ่งในนั้นยืนอยู่ห่างออกมาคล้ายถูกขับไล่
“ผู้ใดให้เจ้ามาตักน้ำที่นี่ คิดจะแพร่เชื้อให้พวกเราตายใช่หรือไม่?!”
“เพราะมีเจ้าทำให้พวกเราทั้งหมู่บ้านอยู่ไม่เป็นสุข เหตุใดเจ้าไม่ไปอยู่สถานกักกัน!”
คำว่าสถานกักกันทำให้ไป๋ซูเถียนสังหรณ์ใจขึ้นมา เมื่อมองให้ชัดก็พบว่าร่างเล็กๆ ที่ยืนนิ่งให้เด็กคนอื่นด่าทออยู่นั้นคุ้นตาอย่างมาก เด็กชายสี่ขวบ ผิวขาวตากลมแม้จะผ่ายผอมไปบ้างแต่ก็ยังน่ารักสะดุดตา
“เสี่ยวเป่า” หญิงสาวเอ่ยทักพลางเดินเข้าไปหาร่างมอมแมมนั้น แต่เมื่อเด็กน้อยหันมาหา ไป๋ซูเถียนจึงได้เห็นว่าแก้มใสของเขารอยแดงช้ำคล้ายถูกตบ!
“พวกเจ้าทำอะไรกัน?!”
#ดึกๆ มาอีกตอนนะคะ รออ่านพรุ่งนี้เช้าก็ได้น้า ฝันดีค่า