บทที่ ๙
[๑/๒]
ขนมหลายชนิดถูกวางลงบนแคร่ไม้ไผ่ หญิงชรามองไปยังคุณชายของเธออย่างชื่นชม คุณนมเห็นพร้อมภพมาตั้งแต่เกิด เพราะเมื่อครั้งที่หม่อมศิใกล้คลอด ท่านหญิงพรศรีท่านย่าของพร้อมภพให้ลูกสะใภ้ไปอยู่ด้วย เพราะเกรงว่าเมื่อเจ็บท้องคลอดขึ้นมาจะไม่มีใครคอยช่วย ดังนั้นลูก ๆ ทุกคนของท่านชายดลจึงเกิดที่วังสวนส้มทั้งสิ้น
“คุณชายยิ่งโตยิ่งเหมือนท่านชายนะคะ” เธอพูดออกมาด้วยรอยยิ้มใจดี
“มีแต่คนพูดแบบนั้นครับคุณนม”
“ท่านชายดลเธอเมื่อเล็ก ๆ ก็เหมือนคุณชายในตอนนี้ไม่มีผิด”
คุณนมเป็นแม่นมของท่านชายพีรดล เพราะเมื่อครั้งที่ท่านชายประสูติ ท่านหญิงพรศรีทรงประชวรอย่างหนักจนไม่สามารถให้นมบุตรชายได้ คุณนมจึงเข้ามาเป็นแม่นมและเลี้ยงท่านชายตั้งแต่นั้นมา
“คุณทิวาเอง โตขึ้นมาก็รูปงามเหลือเกิน”
“ขอบคุณครับคุณนม” ทิวายกมือไหว้ ก่อนจะหันกลับไปสนใจยังขนมที่อยู่ตรงหน้า “น่าทานทุกอย่างเลยครับ”
“คุณนมเป็นต้นเครื่องที่วังสวนส้ม เธออาจจะจำไม่ได้แล้ว” พร้อมภพบอกคนที่นั่งอยู่ข้างกัน
“เป็นอย่างนั้นครับ ผมต้องขออภัย” ทิวาไม่ได้พูดกับพร้อมภพ แต่หันไปเอ่ยบอกหญิงชราที่นั่งอยู่ไม่ห่างกัน เพราะเขาจำอีกฝ่ายไม่ได้จนนิดเดียว
“ลองชิมดูซีคะ” เธอว่าพลางเลื่อนจานลูกชุบสีสวยมาไว้ตรงหน้าทิวา ลูกชุบรูปนกดูแปลกตาจนทิวาอดชมไม่ได้
“สวย ผมไม่เคยเห็นใครปั้นลูกชุบเป็นนกสักที” ทิวาพูดขึ้นอย่างทึ่ง ๆ ก่อนจะคว้าเอาลูกชุบตรงหน้าขึ้นมา
“นกขมิ้น” เสียงนุ่มเอ่ยบอก พลางมองน้องน้อยไม่วางตา “ที่ไม่เคยเห็นเพราะที่อื่นไม่มี มีแค่ที่วังสวนส้มเท่านั้น”
“สวยมาก ๆ ครับคุณนม” ทิวาบอกหญิงชราพร้อมรอยยิ้มสดใส ก่อนจะเอ่ยถามอย่างคนใฝ่รู้ “หากคุณนมจะกรุณา ผมอยากเรียนครับ”
พร้อมภพยิ้มออกมาในทันที พลางมองไปยังร่างบางที่นั่งอยู่ข้างกัน ‘อยากเรียนรู้ไปเสียทุกสิ่ง ไม่เปลี่ยนไปจนนิดทิวาของพี่’
“เอาซีคะ นมสอนให้หลาน ๆ ทำอยู่ทุกวัน” คุณนมบอกอย่างใจดี เธออยากถ่ายทอดวิชาความรู้ที่มีให้ลูกหลาน ก่อนที่วันหนึ่งความรู้เหล่านี้จะติดตัวตายไปพร้อมกับเธอ “นมเองก็แก่แล้ว อยากถ่ายทอดความรู้ให้ลูกหลานเอาติดตัวไว้เป็นวิชาสืบไป นี่ก็เปิดร้านขนมมาตั้งแต่ปีกลาย ขายดีเชียวค่ะ”
คุณนมว่าพลางมองไปยังลูก ๆ หลาน ๆ ที่ทำขนมกันพัลวัน อีกทั้งยังมีคนมารับซื้อถึงที่ ไม่ต้องไปเร่ขายให้เหนื่อย
“ผมจะมาแน่ ๆ ครับคุณนม” ทิวารีบบอกอย่างดีใจ
“ค่ะ คุณทิวา”
“ทานได้แล้ว ประเดี๋ยวต้องรีบไปกันต่อ” พร้อมภพเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ก่อนจะคว้าเอาขนมกลีบลำดวนขึ้นมาชิม
เมื่อทิวาได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างนั้น ก็รีบกินลูกชุบสีสวยเข้าไปทั้งอัน ขนมฝีมือชาววังแท้ ๆ เป็นที่ถูกอกถูกใจทิวาจนไม่อยากกลับ เขาหยิบใส่ปากชิ้นแล้วชิ้นเล่าอย่างไม่รู้จักอิ่ม คุณนมเห็นแบบนั้นก็ยิ้มอย่างดีใจ อดเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้
“อร่อยหรือไม่คะ” คุณนมถามขึ้น พลางเลื่อนกาน้ำชามาให้ทิวา
“อร่อยมากครับ ไม่หวานเกินไป อร่อยทุกอย่างเลยครับ” คุณนมได้ฟังก็ยิ่งหัวใจพองโต รู้สึกเอ็นดูชายหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้ขึ้นอีกเป็นกอง
ทั้งสองใช้เวลาอยู่ที่บ้านคุณนมสักพักก็ต้องขอตัวกลับ ขนมมากมายถูกจัดใส่ตะกร้าสานใบสวย พร้อมภพตั้งใจเอาไปฝากคุณตาช่างทองของเขา ส่วนทิวาหลังจากได้ทานขนมอร่อย ๆ ก็แทบหุบยิ้มไม่ลงจนถึงบัดนี้
รถเคลื่อนตัวอยู่บนถนนโล่งเพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านริมคลองมหานาค ลมพัดเย็นในช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวัน ผนวกกับอากาศในช่วงปลายปีที่เย็นสบาย ทำให้ทั้งสองคนที่อยู่บนรถอารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง ทว่าบางครั้งก็มิอาจใช่เพียงอากาศที่เป็นตัวแปรอารมณ์ของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยขณะนี้
“ชอบมากหรือ” พร้อมภพถามขึ้นเมื่อมองไปยังคนที่กำลังยื่นหน้าออกไปรับลม ยามที่รถยนต์ขับออกจากความวุ่นวาย ตัดเข้าถนนสายเล็กเพื่อมุ่งหน้าไปยังเรือนของเศรษฐีช่างทอง
“ครับ ชอบมาก ขนมของคุณนมอร่อยทุกอย่างเลย” พูดไปก็ยิ้มไป สดใสเสียจนพร้อมภพอยากจะยกมือขึ้นลูบหัวทุย ๆ นั่น ทว่าตอนนี้คงไม่เหมาะนัก เพราะเขายังคงต้องประคองพวงมาลัยรถไว้
“หากชอบพี่จะพามาอีก” ทิวาได้ยินก็พยักหน้ารับ ก่อนนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ที่พระนครเพียงเดือนเดียวเท่านั้น สีหน้าที่เคยสดใสก็เริ่มหม่นลง เจ้าตัวนั่งเงียบพลางมองออกไปยังนอกหน้าต่างอีกทาง วงแขนเล็กกอดตะกร้าขนมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“เป็นอะไรไป” เมื่อครู่ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คราวนี้จู่ ๆ ก็เงียบไปเสียอย่างนั้น พร้อมภพชักไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรผิดอีกหรือ
“ไม่ครับ ไม่ได้เป็นอะไร” น้ำเสียงติดจะแง่งอนทำเอาพร้อมภพอดยิ้มไม่ได้ นานครั้งกว่าจะได้เห็นทิวาในมุมนี้
“พี่กลับมาครานี้มีเวลาไม่มากนัก แต่คงมากพอจะพาเธอมาเรียนทำลูกชุบจนเป็น” ทิวายิ้มออกมาในทันที พร้อมภพพูดทุกอย่างราวกับรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เพราะแบบนั้นทิวาจึงพยักหน้ารับอย่างดีใจ ก่อนพร้อมภพจะเอ่ยต่อ... “เมื่อทำเป็นแล้วก็อย่าลืมทำให้พี่ทานด้วย รู้หรือไม่”
“แน่นอนซีครับ” ทิวาเอ่ยรับพลางยิ้มกว้าง สดใสเสียจนพาใจคนถามสั่น
“จริงหรือ อย่างนั้นแล้วคราวนี้พี่จะได้ทานหยกมณีฝีมือเธอหรือไม่” ทิวาย่นคิ้วลงเล็กน้อย พลางมองไปยังคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย
“คุณชาย เอ่อ พี่ชายอยากทานหรือครับ”
“ก็เธอเคยบอกว่าจะทำให้พี่”
“อย่างนั้นคราวหน้าผมจะทำมาให้”
“งั้นพี่แวะไปรับที่โรงเรียนทุกวันดีหรือไม่” คราวนี้ทิวามองอีกฝ่ายอย่างงุนงง เป็นอย่างไรถึงต้องมารับเขาทุกวัน หากจะพาไปเรียนทำขนม ไปบางวันก็คงพอ ไม่จำเป็นต้องมารับทุกวันให้เหนื่อย หรือจะให้เขาไปเองก็ยังได้ คิดแบบนั้นทิวาจึงปฏิเสธอ้อม ๆ ไม่ให้เสียน้ำใจอีกฝ่าย
“ที่บ้านส่งคนมารับอยู่แล้วครับ”
“อย่างนั้นเดือนนี้ก็บอกที่บ้านว่าไม่ต้องให้คนมารับ พี่แวะมารับชายพงษ์ แล้วจะไปส่งเธอที่บ้านเอง” คิ้วบางย่นลงอีกครั้ง นี่คือคำสั่งหรือ อย่างไรถึงต้องทำน้ำเสียงเช่นนั้นด้วยเล่า ทิวาได้แต่คิด
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ลำบากคุณชายเปล่า ๆ” สายตาคมหันมองขวับ เมื่อคำที่ได้ยินไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร ทิวาเห็นแบบนั้นจึงรีบเปลี่ยนสรรพนาม “พี่ชาย ลำบากพี่ชายเปล่า ๆ บ้านของผมกับวังดรุณีสกุลอยู่คนละทาง พี่ชายจะเสียเวลาย้อนไปย้อนมาเพื่ออะไรกันเล่าครับ”
“พี่เต็มใจ” เพียงเท่านั้นทิวาก็พูดไม่ออก ทำได้แต่นั่งเงียบ ๆ ไป เพราะน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาไม่ใช่เพียงคำบอก แต่คล้ายจะเป็นคำสั่งกลาย ๆ เสียมากกว่า
………………..
ใช้เวลาไม่นานนักรถก็เคลื่อนมาจอดที่หน้าประตูไม้สูง ทิวารีบลงจากรถไปเรียกให้คนที่อยู่ไม่ไกลมาช่วยเปิดประตูให้ เมื่อบ่าวที่อยู่ไม่ไกลเห็นว่าเป็นทิวา เธอจึงรีบกุลีกุจอวิ่งมาเปิดประตูออกทันที
“คุณทิวา อย่างไรไม่บีบแตรเรียกล่ะเจ้าคะ” บ่าวหญิงถามขึ้นอย่างสงสัย
“คราวก่อนบีบแตรแล้วคุณป้าว่าครับ” ทิวาพูดเพียงเท่านั้นบ่าวหญิงก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ อีกทั้งยังยิ้มเจื่อนให้อย่างรู้กัน
นั่นเพราะคุณนายหญิงของเรือนเล็กชอบนอนกลางวัน บางครั้งก็นอนจนเข้าเวลาเย็นย่ำ เมื่อมีเสียงดัง ๆ รบกวนเธอจะด่ากราดไม่เว้นแม้แต่หลานชายอย่างทิวา ที่เธอเองก็ไม่ค่อยพึงใจในตัวเขาเท่าไรนัก
รถยนต์ของพร้อมภพเลี้ยวเข้ามาจอดอยู่ด้านหลังของเรือนใหญ่ ส่วนทิวาเองเมื่อรถจอดสนิทก็วิ่งตัวปลิวไปหาชายชราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกใต้ถุนเรือน ภาพคุ้นตาที่พร้อมภพเห็นทุกครั้งที่มาเรือนนี้ คุณตาช่างทองมักจะชอบนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวนั้น พลางมองทอดออกไปยังลำคลองที่อยู่เบื้องหน้า
“คุณตา” ร่างบางตรงไปกอดคุณตาของเขาไว้แน่น ก่อนจะก้มลงกราบแทบตักของชายชรา พร้อมภพที่เดินตามมากับตะกร้าขนมในมือได้แต่มองแล้วก็ยิ้ม ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีความน่ารัก น่าเอ็นดูของอีกฝ่ายก็ไม่จางลงเลย
น่าเอ็นดูจริงเชียวทิวาของพี่...
“มาได้อย่างไรลูก แล้วนั่นใครล่ะ ไม่คุ้นจนนิด” เศรษฐีช่างทองหรี่ตามองคนที่เดินตามหลังหลานชายมา ด้วยเพราะหูตาเริ่มฝ้าฟาง ทำให้เห็นคนที่มาใหม่ไม่ชัดนัก ทิวาเห็นก็ได้แต่นั่งยิ้มเงียบ ๆ ไม่เฉลยให้คุณตาได้รู้
พร้อมภพเดินมายอบตัวนั่งลงไม่ห่างจากทิวา ยกมือพนมไหว้เศรษฐีช่างทองอย่างสุภาพ
“ไหว้พระเถอะพ่อหนุ่ม” เศรษฐีช่างทองเอ่ยพลางรับไหว้ ก่อนจะถาม “ลูกใครหลานใครล่ะพ่อ ฉันแก่แล้วจำอะไรไม่ค่อยได้”
“คุณตาจำผมไม่ได้หรือครับ ผมพร้อมภพ” เศรษฐีช่างทองทำท่าครุ่นคิดอยู่นาน จนสุดท้ายเป็นพร้อมภพที่เอ่ยขึ้นมาก่อน “บุตรชายหม่อมศศิธร กับท่านชายพีรดลครับ”
บอกเพียงเท่านั้นเศรษฐีช่างทองก็เบิกตากว้าง ยกมืออันเหี่ยวย่นจับเข้าที่ไหล่ของพร้อมภพอย่างเบามือ
“คุณชายพร้อมหรือ โตจนตาจำไม่ได้เชียวลูก” เศรษฐีช่างทองรักพร้อมภพเหมือนลูกหลานแท้ ๆ ด้วยเพราะเห็นมาแต่อ้อนแต่ออก อีกทั้งยังเศร้าใจที่เด็กหนุ่มต้องเสียตา เสียยายซึ่งเป็นเพื่อนรักของตนตั้งแต่ยังเล็ก
“ครับคุณตา ผมเอง”
“เข้ามาใกล้ ๆ หน่อยลูก ขอตาดูใกล้ ๆ หน่อย ไปอยู่เมืองนอกเมืองนาเสียนาน สบายดีหรือไม่ลูก”
“สบายดีครับคุณตา แล้วคุณตาสบายดีหรือไม่ครับ”
“ตาก็อยู่ตามอัตภาพ คนแก่จะให้สบายกว่านี้ได้อย่างไร” เศรษฐีช่างทองว่า พลางหัวเราะออกมาด้วยเสียงแหบพร่าจนน่าใจหาย
พร้อมภพมองไปยังผิวหนังเหี่ยวย่นของชายชราที่เขาเคารพรัก กลับมาคราวนี้คุณตาช่างทองแก่ตัวขึ้นมากทีเดียว หลังจากการจากไปของท่านย่า ทำให้พร้อมภพเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น เขาตระหนักแล้วว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ยั้งยืนยงตลอดไป
“คุณตาไม่แก่จนนิดเดียวครับ คุณตายังแข็งแรงเหมือนหนุ่ม ๆ ดูแข็งแรงกว่าลุงขันเสียอีก” เศรษฐีช่างทองหัวร่อกับคำป้อยอของหลานชาย มือเหี่ยวยกขึ้นลูบหัวหลานชายอย่างเอ็นดู
“ตาแก่แล้ว ไม่ต้องมาแกล้งยอตา ได้อยู่มาเท่านี้ก็นับว่าเกินพอมากแล้ว” เศรษฐีช่างทองว่า พลางมองทอดไปยังคลองมหานาคที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะพูดต่อ “ตาได้เห็นมาทุกอย่าง ทั้งเปลี่ยนรัชกาล สงคราม เปลี่ยนการปกครอง ที่สำคัญ...ตาได้อยู่จนลูกหลานโตถึงเพียงนี้ แค่นี้ก็เกินพอแล้วลูก”
“ไม่พอหรอกครับ คุณตาจะต้องอยู่กับผมไปอีกนาน ต้องอยู่กับผมตลอดไป” ทิวาพูดขึ้นด้วยเสียงเศร้า แม้จะรู้ดีว่าตลอดไปมันไม่มีจริง เป็นเพียงนิทานหลอกเด็กก็เท่านั้น
“พูดเท่านี้ก็เศร้าเสียแล้ว หลานคนนี้นี่ช่างเอาแต่ใจจริง” ชายชราว่าพลางหัวเราะขึ้นในลำคอ ก่อนจะหันไปบอกอีกคนที่นั่งอยู่ “คุณชายรู้หรือไม่ คราวก่อนพูดเรื่องนี้กันเจ้านี่เขางอนตาไปหลายวัน ไม่ยอมมาหาแต่ก็ส่งขนมมาไม่ขาด ไม่รู้โกรธแบบไหนกันนะคุณชายว่าหรือไม่”
“คุณตา!” ทิวาโพล่งขึ้นอย่างอาย ๆ
พร้อมภพนั่งมองสองตาหลานคุยกันแล้วก็ยิ้มตาม เพราะแบบนี้นี่เองคุณตาถึงรักและเอ็นดูหลานชายคนนี้นัก ขนาดตัวเขาเองก็ยังอดเอ็นดูเจ้าตัวเล็กนี่ไม่ได้
“พี่ชายพร้อมมีขนมมาฝากคุณตาด้วยครับ” ทิวาว่าพลางมองไปยังตะกร้าสานใบสวยที่วางอยู่ ก่อนพร้อมภพจะยกมันขึ้นมา แล้วส่งให้คุณตาช่างทอง
“ขนมอะไรหรือลูก ไม่น่าเสียสตางค์ซื้อมา อยากกินอะไรตาจะบอกให้บ่าวทำ พ่อทิวานี่ก็ทำได้”
“ขนมของคุณนมครับคุณตา คุณนมข้าหลวงของท่านย่า” พร้อมภพบอกพร้อมกับส่งตะกร้าขนมให้ชายชรา ก่อนจะเล่าต่อ “หลังจากท่านย่าสิ้นคุณนมก็ออกมาอยู่กับลูกหลาน ถ่ายทอดวิชาทำขนมจนขายดิบขายดี ขนมของคุณนม รสชาติดีทีเดียวครับ คุณตาลองชิมดู”
“อ้อ! คุณนมนั่นเองตาจำได้” ชายชราว่าก่อนจะเปิดใบตองที่ปิดขนมอยู่ออก “หม่อมศิเคยเอามาให้บ่อย ๆ เมื่อครั้งไปเฝ้าท่านหญิง ตาไม่ได้กินนานแล้ว”
“อร่อยทุกอย่างเลยครับคุณตา” ทิวารีบบอก
“อย่างนั้นก็มากินด้วยกันเลยดีหรือไม่ล่ะพ่อทิวา” ทิวายิ้มร่าเตรียมจะเอ่ยยินดี ทว่าเมื่อหันไปข้างกันก็เห็นสายตาเป็นประกายของคนที่นั่งอยู่ กำลังมองเขาอย่างไม่วางตา
“ไม่ดีกว่าครับ อันนี้ของคุณตา ทิวาทานมาเยอะแล้ว” เสียงเศร้าเอ่ยออกไป เพราะความจริงแล้วเขาอยากทานขนมจะแย่
“ตากินคนเดียวไม่หมดหรอกลูก มากินด้วยกันเสียจะเป็นไรไป” เศรษฐีช่างทองบอกกับหลานรัก ก่อนจะหันไปถามคนที่นั่งอยู่อีกคน “วันนี้คุณชายรีบไปไหนหรือไม่ล่ะ”
“ไม่ครับคุณตา ผมไม่มีธุระที่ใด”
“อย่างนั้นอยู่กินข้าวกับตาก่อนได้หรือไม่”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับคุณตา วันนี้ผมต้องรบกวนคุณตาแล้ว” เศรษฐีช่างทองหัวเราะเสียงค่อย รอยยิ้มดีใจในยามที่ลูกหลานแวะมาทานอาหารด้วยนั้น เผยออกมาจนเก็บไม่มิด
“วันนี้ให้ตาทิวาลงครัวแล้วกัน คนนี้เขาทำอาหารเก่งนัก ทำอะไรก็อร่อย” เศรษฐีช่างทองพูดไปก็มองหลานชายไป แววตาภูมิใจในตัวหลานชายทำให้พร้อมภพพลอยรู้สึกอิ่มเอมไปด้วย
“ไม่หรอกครับคุณตา ผมก็ได้ป้านิ่มช่วยทั้งนั้น” นิ่มเป็นบ่าวในเรือนของเศรษฐีช่างทอง เป็นแม่ครัวใหญ่ทำอาหารสำหรับบ้านท่านเศรษฐี รวมไปถึงบ้านของทองเทพที่อยู่ในที่ดินผืนเดียวกัน
“วันนี้พ่อมานพเองก็ว่าจะแวะมาเหมือนกัน” ทิวาพยักหน้ารับ “เรียนที่เดียวกัน เจอกันบ้างหรือไม่ล่ะพ่อทิวา”
“เจอทุกวันครับคุณตา”
“ดีแล้ว สนิทกันไว้น่ะดีแล้วลูก พี่น้องกันแท้ ๆ เสียดายแม่มานีเขาไม่กลับมาทางนี้เลย ตาคิดถึง” ทิวาได้แต่เงียบ ก่อนจะซบลงที่ตักคุณตา
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมานีถึงไม่ค่อยชอบบ้านทางนี้ แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าอาจเพราะคุณตาและคุณยายฝั่งนู้นเลี้ยงมา มานีคงจะสนิทใจกับทางนู้นมากกว่า แต่กับมานพนี่เขาไม่เข้าใจ เพราะมานพเองก็ไม่ค่อยมาเยี่ยมคุณตา ทั้งที่บ้านอยู่ในรั้วเดียวกันแท้ ๆ
“เดี๋ยวพี่มานีว่างก็คงมาครับคุณตา อย่างไรคุณพ่อ คุณแม่ก็อยู่ทางนี้” เศรษฐีช่างทองพยักหน้าช้า ๆ อย่างเข้าใจ ก่อนทิวาจะถามขึ้น “คุณตาอยากทานอะไรครับ ทิวาจะทำให้”
“ทำอะไรตาก็ชอบหมด ทำมาเถอะลูก”
“อย่างนั้นเป็นมัสมั่นดีหรือไม่ครับคุณตา เห็นคุณตาบ่นอยากทานหลายครั้งแล้ว”
“ดีซิลูก ตาอยากกินมานาน จะบอกให้นางนิ่มทำทีไรก็ลืมทุกที”
“อย่างนั้นวันนี้ทิวาจะทำมัสมั่น”