หมู่บ้านกลางป่า
“แปลกจังเมื่อคืนยังเจ็บเท้าอยู่เลยนี่หว่า นี่ก็เดินมาตั้งนานแล้วกลับไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย”
หลังเดินเข้าป่ามาพักใหญ่ เซเว่นก็รู้สึกแปลกใจ แต่ที่จริงเขาก็ไม่รู้สึกว่ามันเจ็บตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว
“นี่กูอยู่ส่วนไหนของโลกวะ สัญญาณแม่งไม่มีสักขีด” มือใหญ่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเป็นรอบที่ห้าสิบกว่า แต่หน้าจอก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
“ป่านนี้เตงจะเป็นไงมั่งนะเรืองฤทธิ์?” เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองแสงสว่างเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ชายหนุ่มก็อดเป็นห่วงคนรักไม่ได้ แต่จะเรียกว่าคนรักก็คงไม่ถูกนักเพราะว่าในตอนนี้เขากับนายแพทย์เรืองฤทธิ์อยู่ในสถานะที่เรียกว่า พี่น้องที่ดีต่อกัน เท่านั้น แม้ทุกอย่างมันจะจบลงแล้วแต่ลึกๆ ในใจของเขายังโหยหา
“ทำไมมันคุ้นๆ วะ?” หลังจากเดินวนมาที่เดิมอยู่หลายครั้ง ชายหนุ่มก็นึกสงสัย ต้นไม้ โขดหิน พื้นหญ้า ทุกอย่างเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน เขาถึงขั้นเอามือถือมาถ่ายรูปเก็บไว้เปรียบเทียบ พอหยิบขึ้นมาเปิดดูก็พบว่า มันคือที่เดิม
“ฉิบหาย นี่กูหลงป่าเหรอวะ?” ร่างสูงโปร่งทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นหญ้าใต้ร่มไม้ พยายามนึกทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นในยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
“กองทัพต้องเดินด้วยท้อง !” เมื่อนึกขึ้นได้เขาจึงหยิบข้าวห่อใบบัวของตากับยายขึ้นมาจัดการทันที
หลังกินข้าวเซเว่นนั่งคิดอะไรเพลินๆ ใต้ร่มไม้ เสียงนกน้อยที่ขับกล่อม สายลมที่พัดแผ่วมาเป็นระยะ สีเขียวของธรรมชาติ บรรยากาศอันแสนผ่อนคลายได้ทำให้หนังตาของเขาหนักอึ้งและปิดลงช้า ๆ
“ฮ้าววว !” มือใหญ่ยกขึ้นมาปิดปาก ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นบิดขี้เกียจช้า ๆ นานแค่ไหนแล้วที่เซเว่นไม่มีโมเมนท์แบบนี้ นอนหลับแบบเต็มตื่น
“เฮ๊ย ! นี่กูหลับไปนานขนาดนั้นเลยเหรอวะ” เมื่อลืมตาขึ้น เขาก็ได้พบว่าบรรยากาศโดยรอบนั้นอยู่ในช่วงสายัณห์
“ขืนเดินทางตอนกลางคืนคงได้หลงทางกันพอดี ดีไม่ดีไปโผล่ประเทศเพื่อนบ้านแม่งยิ่งซวยไปอีก” ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ทุกอย่างผิดแผนไปหมด โชคยังดีที่เขายังมีขนมและน้ำหลงเหลือติดเป้จึงไม่ต้องทนหิวในตอนกลางคืน แต่มันก็ไม่มีมากพอที่จะใช้ประทังชีวิตในวันรุ่งขึ้น
เซเว่นเดินหาจุดที่คิดว่าปลอดภัยเพื่อจะนอนพักคืนนี้ เขาไม่มีประสบการณ์ในการเอาตัวรอดในป่าเลยสักครั้ง การเข้าค่ายลูกเสือน่าจะเข้าใกล้คำนี้มากที่สุด
“สวัสดีครับ” หลังจากนิ้วมือเรียวงามกดสไลด์เพื่อรับสาย น้ำเสียงนุ่มทุ้มก็กล่าวทักทายกลับปลายสาย
[นายชื่อเซเว่นใช่ไหม?] น้ำเสียงอันไพเราะน่าฟังเอ่ยถาม หากแต่ว่าท้ายประโยคนั้นแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ
“ใช่ครับ แล้วคุณเป็นใคร?”
[ฉันชื่อ รังรอง เป็นคู่หมั้นของ หมอเรืองฤทธิ์ ฉันมีธุระอยากจะคุยกับเธอ ออกมาเจอกันหน่อยสิ] หญิงสาวลดความเร็วของรถลงแล้วตีไฟเลี้ยวเพื่อเข้าจอด
“คุณต้องการอะไร?” แม้จะเหน็ดเหนื่อยกับเวรบ่ายที่แสนยับเยินจนหลับไป แต่คำว่า คู่หมั้น ก็ทำให้เซเว่นหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“ก็คุยกับนายให้รู้เรื่องไง”
“ผมไม่เชื่อว่าคุณเป็นคู่หมั้นของแฟนผมหรอก ผมว่าคุณคงเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะฤทธิ์เขาเอ่อ เขาไม่ได้ชอบผู้หญิง....” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซเว่นรู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อาการแบบนี้มันเกิดขึ้นครั้งแรกที่มะลิเดินเข้ามาบอกเขาว่าเห็นหมอฤทธิ์พาผู้หญิงไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ แล้วกอดคอกันเดินขึ้นรถก่อนจะขับเข้ารีสอร์ต
“คิดเอาเองก็แล้วกันนะว่าจะมาคุยกันฉันตอนนี้ หรือจะให้ฉันบุกไปคุยกับนายถึงที่ทำงาน เผอิญช่วงนี้ฉันว่างซะด้วยสิ หมอเยอะๆ คนไข้เยอะๆ จะว่าไปมันก็คงบันเทิงดีเหมือนกันนะ” นิ้วมือเรียวยาวยกขึ้นมาม้วนผมยาวสลวยอย่างอารมณ์ดี
“กล้าก็มาสิ” ชายหนุ่มกล่าวท้าทาย
[ฉันรู้ว่าคนอย่างนายหน้าหนาอยู่แล้วแต่หมอเรืองฤทธิ์ล่ะนายคิดว่าเขาจะรู้สึกยังไง ถ้าหากมีคนรู้ว่านายกับเขาไม่ใช่แค่เพื่อนกัน?] รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้างามเมื่อเล่นงานกับจุดอ่อนของเซเว่น
“จะให้ผมไปเจอคุณที่ไหน?”
การเจอกับผู้หญิงแปลกหน้าในเวลาตีสามหน้าร้านสะดวกซื้อครั้งนั้น ทำให้เซเว่นได้รู้ว่าหมอฤทธิ์ผู้เป็นคนรักของเขากำลังคบกับเธออยู่ ทั้งประวัติแชท รูปภาพรวมถึงสเตตัสต่างๆ ทำให้เขาไม่มีข้อโต้แย้งและนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการทะเลาะกันครั้งใหญ่ระหว่างนายแพทย์เรืองฤทธิ์และบุรุษพยาบาลเจ็ดแสง
วิ๊งงงง ! ... เพียะ!
ฝ่ามือใหญ่ของเซเว่นฟาดเข้ากับแก้มขวาเต็มแรง นั่นจึงทำให้เขาตื่นขึ้นในตอนกลางดึกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เฮ้อ รอดจากที่นี่ไปได้หวังว่ากูคงไม่เป็นไข้มาลาเรียตายนะ” ชายหนุ่มทั้งนอนตื่นสายแถมยังนอนกลางวันตั้งหลายชั่วโมง ตื่นมากลางดึกแบบนี้เขาคิดว่าคงข่มตาหลับต่อไม่ได้อีกแล้ว
“แล้วทำไมต้องฝันถึงแต่เรื่องที่ทำให้ตัวเองเจ็บปวดวะ?” แม้เรื่องนี้จะผ่านมาได้สักพักใหญ่ แต่มันก็ยังฝังลึกในความทรงจำจนยากจะลบเลือน
“ถ้าไม่ต้องมาติดอยู่ที่นี่ เค้าคงจะได้ทำหน้าที่คนรักครั้งสุดท้ายให้เตงอย่างสมบูรณ์แล้ว” ใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วพร้อมกับถอนหายใจ
“โอ๊ย ไอ้ยุงบ้านี่ยังไง จะกัดอะไรกันนักกันหนา เดี๋ยวกูจับกินแม่ง !”
“นี่เจ้ากำลังคุยกับยุงอยู่รึ เจ้ามนุษย์น้อย?” เสียงนุ่มทุ้มที่เซเว่นรู้สึกว่าได้ยินแล้วเยือกเย็นดังมากระทบหูอีกครั้ง
“คุณอีกแล้วเหรอ?” ชายหนุ่มหันตามเสียงแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใครเขาจึงเลิกมองหา
“นี่ตามายายแม้นไม่ให้เจ้าพำนักอยู่ที่เรือนรึ ถึงได้ออกมาหลับนอนตามร่มไม้ให้ยุงหามเช่นนี้?” บุรุษผู้อยู่อีกฝั่งของต้นไม้เอ่ยถามอย่างสงสัย
“เขาไม่ได้ไล่หรอกแต่ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ ผมต้องรีบกลับไป” เซเว่นยกแขนขึ้นมาก่ายหน้าผากอย่างไม่รู้ตัว
“กลับไปที่ใด กลับไปหาใครหรือ?”
“กลับบ้าน กลับไปหา...” ชายหนุ่มสะดุด เขาจะกลับบ้านไปหาใคร ไปหาคนที่ทำให้เขามีความสุขแต่กลับสร้างรอยน้ำตางั้นเหรอ
“กลับไปหาคนที่เอาแต่สร้างความเจ็บและรอยน้ำตาให้เจ้ากระนั้นหรือ เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาจะยินดีที่ได้พบหน้าเจ้าอีก เจ้ามนุษย์น้อย” ถ้อยคำนี้เสียงแทงเข้าไปในใจ มันบาดลึกจนเขานิ่งเงียบไม่พูดอะไร
“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องหลั่งน้ำตา เจ้ามนุษย์น้อย”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมกำลังร้องไห้?” มือใหญ่ยกขึ้นมาปาดคราบน้ำตาอย่างรวดเร็ว เขาไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตา ไม่อยากให้ใครรู้ว่าลึกๆ แล้วตนอ่อนแอแค่ไหน
“ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ในเมื่อข้าเป็น...” บุรุษในมุมมืดเว้นจังหวะให้เติม
“ในเมื่อคุณเป็นวิญญาณ จริงสินะวิญญาณย่อมต้องรู้ แล้วคุณอยู่ที่นี่มากี่ปีเหรอ ทำไมถึงไม่ยอมไปผุดไปเกิด หรือว่ารอใครอยู่?” เซเว่นพยายามข่มความเศร้าด้วยการชวนคุย ไหนๆ ก็นอนไม่หลับแล้วมีเพื่อนคุยแก้เหงามันก็คงดีไม่น้อย แม้ว่าเพื่อนที่กำลังคุยกับเขาตอนนี้จะเป็นเพียงวิญญาณก็ตาม
“ข้าไม่ได้ล่วงรู้ไปทุกสิ่งดอกหนา บางอย่างที่เป็นความลับแห่งสวรรค์ใครก็มิอาจเข้าไปรับรู้ อ้อ แล้วนี้ข้าต้องตอบคำถามข้อไหนก่อนดีล่ะ เจ้ามนุษย์?”
“แหะ แหะ ผมคงรีบถามมากไป งั้นผมถามทีละข้อก็แล้วกัน แต่ถ้าข้อไหนคุณไม่สบายใจที่จะตอบก็ไม่ต้องตอบนะ ตกลงไหม?” เมื่อคราบน้ำตาเริ่มแห่งเหือดไป รอยยิ้มและเสียงหัวเราะก็กลับมาแต่งแต้มไปใบหล่อเหลาอีกครั้ง
“ย่อมได้ แต่ต้องให้ข้าถามกลับบ้างนะ เจ้ามนุษย์น้อย”
“ย่อมได้ !” ชายหนุ่มเลียนเสียงก่อนจะยิ้มกว้าง หารู้ไม่ว่าบุรุษที่อยู่อีกฝั่งของต้นไม้ก็มีอาการไม่แตกต่างกัน
“คุณอยู่ที่นี่กี่ปี เอ่อ ผมหมายถึงนานแค่ไหน” เซเว่นพยายามปรับคำพูดให้ตรงกับภาษาที่วิญญาณตนนั้นสื่อสารมา แม้จะไม่คุ้นเคยแต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไร
“ข้าไม่เคยนับว่ากี่ปี แต่จำได้ว่าหลายชั่วอายุคน”
“แล้วทำไมถึงไม่ไปผุดไปเกิดสักทีล่ะ?”
“ที่ยังอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนเพราะข้ารอใครคนหนึ่ง”
“รอมาหลายชั่วอายุคน ไม่นานไปหน่อยเหรอ แล้วถ้าเขาไม่มาล่ะคุณจะทำยังไงต่อไป?” ตอนนี้ความเศร้าหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความอยากรู้อยากเห็น
“ต่อให้เนิ่นนานชั่วกัปชั่วกัลป์ข้าก็รอไหว เพราะคนผู้นั้นเป็นดั่งชีวิตและลมหายใจของข้า ต่อให้ผืนดินดอนดาวดึงจะเปลี่ยนไปสักเพียงไหน ข้าก็จะยังรออยู่ตรงนี้มิเปลี่ยนแปรผัน” น้ำเสียงนั้นช่างดูมั่นคงและหนักแน่นจนเซเว่นนึกอยากรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร เหตุใดถึงทำให้วิญญาณตนนี้หลงรักหัวปักหัวปำจนถอนตัวไม่ขึ้น
“เจ้าชื่ออะไร มนุษย์น้อย?” คราวนี้บุรุษผู้อยู่อีกฝั่งเริ่มถามบ้าง
“ผมชื่อเซ เอ่อ ชื่อเจ็ดแสง” ภาษายุคปัจจุบันยังไม่เข้าใจนี่ล่อภาษาอังกฤษวิญญาณโบราณคงรู้เรื่องหรอก
“เจ็ดแสง แสงอะไรหรือ?”
“แสงตะวัน แสงจันทร์ แสงดาว... แสงอะไรก็ได้ขอให้ครบเจ็ดก็พอ”
“แต่ข้าคิดว่าไม่น่าใช่แสงพวกนั้นหรอก”
“แล้วคุณคิดว่าเป็นแสงอะไรล่ะ?”
“ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ...” บุรุษผู้นั้นเงียบไปสักพัก
“แสงทั้งเจ็ดก็คือ...รุ้ง...”
*******************
เบื่อ....อ เบื่อพวกไม่ลืมแฟนเก่า เบื่อพวกไม่ Move on เขาทำขนาดนั้นยังอาลัยอาวรณ์อย่างกับคนโดนของงั้นแหละ เอ๊ะ หรือว่าเซเว่นจะโดนของจริง ๆ !?
แต่จะโกรธยังไงก็คงโกรธเซเว่นไม่ลง คนบ้าอะไรตั้งท่าเดินทางออกจากดอนดาวดึงแต่กลับไปนอนหลับใต้ต้นไม้จนเย็นซะได้ หมั่นไส้ ปนสงสารบวกกับเอ็นดูได้ไหม
มีใครอยากรู้ไหมว่าวิญญาณปริศนาที่ชอบมาตอนกลางคืนเป็นใคร จะดีหรือร้ายกันแน่ แต่ที่อยากรู้มากกว่าก็คือคนบ้าอะไรคุยกับวิญญาณรู้เรื่อง !