ตอนที่ ๑๐ – ล่วงรู้ความลับ
ท้องฟ้าเปิดหลังจากพายุโหมกระหน่ำกว่าสี่ชั่วโมง นักโทษอัลฟ่าสองคนเดินเคียงกันมายังโถงรวมคงเป็นภาพชินตาสำหรับนักโทษในแดน ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามถึงอภิสิทธิ์ต่างๆ ในตัวจากัวร์อยู่แล้ว
แต่สำหรับเซเวียสนั้นไม่ใช่ ในสายตาสัตว์เดรัจฉานแถวนี้เซเวียสก็แค่โฮสต์คนหนึ่งที่เดินตามก้นจากัวร์ต้อยๆ ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แล้วจะถูกหมั่นไส้ก็ไม่แปลก แต่ใครมันจะไปเชื่อว่าทั้งสองคนเพิ่งเสร็จกิจกรรมทางเพศอันหนักหน่วงด้วยกันมาหมาดๆ
“ไม่อยากมื้อเย็นหรือไง”
“หึ กูอยากพัก” เซเวียสตอบพลางยกมือขึ้นมานวดข้างขมับปวดตุบๆ ของตัวเอง ระหว่างเดินไปทาบฝ่ามืออีกข้างลงบนแท่นสแกนและทำท่าจะแยกไปอีกทาง “ฝากมึงกินเผื่อด้วยแล้วกัน”
“คนอื่นเขามีแต่ยัดเอาๆ แย่งกันกิน ส่วนมึงนี่กินเท่าแมวดมจนตัวเหลือเท่านี้” จากัวร์มองหุ่นผอมๆ ของคนข้างกายที่ซูบลงไปอย่างเห็นได้ชัด ดูแขนนั่นซะก่อนกระชากทีเดียวคงหลุดติดมือ
“แล้วมึงจะมาใส่ใจกระเพาะอาหารกูทำไม”
“ก็เห็นว่าเสียพลังงานไปเยอะ”
“...เก็บปากไว้กินข้าวเหอะ”
เซเวียสขมวดคิ้วเอามือยันหน้าจากัวร์ออกห่าง เพราะประโยคกำกวมนั่น คนยิ่งเพลียอยู่ ปวดหัวไม่พอยังปวดเอวด้วย แม่ง ไม่น่าทำไปขนาดนั้นเลย
“เดินไหวก็เก่งแล้ว นึกว่าต้องอุ้มกลับมาซะละ”
“สัส... มึงนั่นแหละหาเรื่องให้กู”
“แล้วใครมันขย่มเอาๆ”
“ขืนมึงพูดอีกคำเดียวต่อไปกูจะไม่ให้มึงเข้าใกล้เกินหนึ่งเมตร!”
เซเวียสหันหลังเดินหนีพร้อมกับคำประกาศิต แต่อย่างจากัวร์น่ะเหรอจะฟัง ไม่งั้นคงไม่ทำหน้าตาไม่รู้ร้อนรู้หนาวขนาดนี้
กว่าพวกเขาทั้งสองคนจะกลับมารายงานตัวเรียบร้อยตามกฎของเรือนจำก็เกือบเป็นเวลาอาหารค่ำแล้ว อีกเรื่องที่จากัวร์เดาไม่ผิดดูเหมือนเซเวียสจะจับไข้เพราะตากฝนด้วย เลยต้องแยกกันแล้วปล่อยให้อีกคนกลับเข้าห้องขังไปซุกผ้าห่มอุ่นๆ ในรังนอนตามที่เจ้าตัวต้องการ ส่วนจากัวร์ก็เดินมาหาอะไรกิน
“ไอ้ห่ากัวร์! ใช่ว่ามีการ์ดกูแล้วมึงจะหายหัวไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบนะโว้ย!”
บรู๊คลินวิ่งมาผลักหัวเพื่อนชั่วที่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงมาหยิบเบอร์เกอร์มื้อเย็นราดซอสเข้าปากหน้าตาระรื่น ดูมีความสุขไม่ทุกข์ไม่ร้อนผิดปกติ ปล่อยให้เขาตามหาตัวแม่งครึ่งค่อนวัน
“ติดฝนว่ะ แบตพอต[1]
กูหมด” จากัวร์ตอบพลางเลียมายองเนสบนนิ้วหัวแม่มือตัวเองกินจนเกลี้ยง
“กูก็กลัวมึงจะกลับเข้ามาไม่ทันเวลา เดี๋ยวได้พากันซวยหมาทั้งหมด”
“แล้วไง ตามหากูมีอะไร”
“มีแขกมาเยี่ยมมึงรออยู่นานแล้วที่ห้องรับรองโน่น”
“แขกกู ใคร?”
อัลฟ่าหนุ่มร่างใหญ่ขมวดคิ้วกลืนมื้อเย็นที่เหลือในมือลงท้อง ตั้งแต่เข้ามาอยู่นี่เขายังไม่ใช้โควตาเยี่ยมเลยสักครั้ง ไม่ใช่เป็นคนดีอะไรก็แค่ไม่มีครอบครัวหรือเพื่อนฝูงให้สุงสิง แล้วใครมันจะมาเยี่ยมเขา
“มึงไปดูเองดีกว่า”
“เออ กูไปเดี๋ยวนี้แหละ ส่วนมึงไปเบิกยาให้แมวกูด้วย”
“ยาอะไรวะ แล้วแมวมึง?” บรู๊คลินตะโกนถามไล่หลัง เกาหัวพึมพำท้ายประโยคกับตัวเองแบบงงๆ
“NSAIDs[2]
ให้แมวห้องตรงข้ามกู” จากัวร์ตะโกนตอบกลับมา ใครมันจะเดาความหมายไม่ออก
“งั้นหรือว่า...นี่พวกมึงเอากันอีกแล้วเหรอ?!”
บรู๊คลินถอนหายใจ มองตามหลังเพื่อนที่เดินไปยังทางเชื่อมตึกรับรองแถมเมินคำถามสุดท้าย งานนี้พ่อเสือเพื่อนรักแม่งศีลแตกให้แมวห้องขังตรงข้ามแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
-
จากัวร์เข้ามายังห้องวีไอพีสำหรับรับรองแขกสำคัญ ซึ่งปกติมักเป็นแขกชั้นสูงที่ต้องการความเป็นส่วนตัวอย่างมากเพื่อเข้ามาเยี่ยมนักโทษในแดนนี้ ถึงแม้ว่าตอนนี้มันนอกเวลาเยี่ยมแล้วก็ตาม แต่จากัวร์ไม่ใช่นักโทษธรรมดาทั่วไปอยู่แล้ว
ชายวัยกลางคนผมยาวมัดไว้เรียบร้อย สวมแว่นสายตาทรงกลม สวมสูทกั๊กสีเทาเนี้ยบภูมิฐาน ถึงจะนั่งอยู่บนวีลแชร์แต่ก็ยังน่านับถือ หันมามองหลานชายผ่านซี่กรงเหล็ก
“ท่านอา?”
อัลฟ่าหนุ่มทั้งตกใจระคนดีใจที่ได้พบกับผู้อุปถัมภ์ค้ำชู ไม่ว่ามองยังไงอาก็ไม่เปลี่ยนไปจากสมัยเขาเป็นเด็กๆ ยังดูใจดีเหมือนเดิม ห้าปีแล้วที่เขาไม่ได้เจออาแท้ๆ ที่เขารักและนับถือเป็นผู้มีบุญคุณคนเดียวในครอบครัว ตั้งแต่ออกมาจากคฤหาสน์ของตระกูล
“โอ้โห นี่อานึกว่าตัวเองตาฝาดไปเสียอีก” ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่ามองหลานรักตั้งแต่หัวจรดเท้า “บอกว่าหลุดออกมาจากรูปท่านปู่อาก็เชื่อ เหมือนจริงๆ”
“อีกแล้ว เจอหน้าผมทีไรอาก็เอาแต่พูดถึงปู่” อัลฟ่าหนุ่มหัวเราะร่วน
“ยิ่งโตยิ่งเหมือนอย่างกับถอดแบบมา จะไม่ให้อาคิดถึงปู่หลานได้ยังไง”
ในสายตาของ อิไล ดีไวเลอร์ ผู้เป็นอา หลานชายคนนี้เหมือนกับบิดาของตนไม่มีผิด เหมือนแม้แต่คำพูดคำจากิริยาท่าทางต่างๆ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดพี่ชายคนโตซึ่งเป็นหัวหน้าตระกูลในเวลานี้ จึงไม่ถูกชะตากับลูกชายคนนี้นัก ครั้งพ่อยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ลงรอยกันสักเรื่องเดียว
นับตั้งแต่เห็นถึง ‘คำทำนาย’ ขณะพี่สะใภ้ตั้งครรภ์ พี่ชายของตนก็ไม่เคยดูดำดูดี ทั้งที่จากัวร์นั้นเป็นสายตรงเสมอกับลูกเมียคนแรกทุกอย่าง ทั้งยังวางแผนให้ลูกเมียเก่าเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป โดยไม่ฟังคำคัดค้านใครหน้าไหนด้วย
‘สิ่งใดที่ท่านได้มาโดยมิชอบทำให้ตระกูลต้องแปดเปื้อน ท่านจะต้องสูญสิ้นมันไปทั้งปวง บรรพบุรุษกำหนดมาไม่มีผู้ใดฝืนโชคชะตาได้ ดีไวเลอร์ผู้นี้มิใช่เสือดำธรรมดามาเกิด ส่วนคู่แห่งโชคชะตาจะนำพาให้เด็กคนนี้ได้ขึ้นเป็นถึงผู้นำตระกูลคนต่อไป’
อาจเพราะคำทำนายนี้ทำให้จากัวร์ถูกกีดกันออกห่างจากพ่อและพี่ชาย แต่ไม่ต้องห่วงหรอก คฤหาสน์ ดีไวเลอร์ เป็นสถานที่สุดท้ายที่จากัวร์จะกลับไปเหยียบ
“อย่างน้อยได้เห็นอาสบายดีผมก็สบายใจ”
“นี่พูดเหมือนจะไม่กลับไปที่บ้านอีกงั้นแหละ”
จากัวร์ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่เอื้อมมือลอดซี่กรงเหล็กไปจับมืออา ก่อนจะย่อตัวลงคุกเข่าเสมอชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ แค่มองหน้าหลานอิไลก็รู้ความคิดของหลานชายดี
“ว่าแต่มาถึงที่นี่ มีเรื่องสำคัญกับผมใช่มั้ยครับ หรือว่าที่บ้านเกิดเรื่องอะไร”
“ที่บ้านก็เหมือนเดิม เจสันเที่ยวเตร่ไปวันๆ ไม่ทำการทำงาน” อิไลส่ายหน้าอย่างเอือมระอา เจสันคือพี่ชายคนโตของจากัวร์ที่เกิดจากภรรยาแรกของพ่อ “ตั้งแต่หลานเข้ามาในนี้ เกิดเรื่องผิดปกติอะไรบ้างหรือเปล่า”
“ปกติดีเกินไปด้วยซ้ำ กลไกที่ท่านปู่สร้างไม่มีผลต่อคนในตระกูลเราอยู่แล้ว แม้แต่วัคซีนอะไรนั่นก็ไม่มีผล”
“เพราะงั้นอาถึงต้องรีบเอาเรื่องนี้มาบอก ข้างนอกเวลานี้ประธานาธิบดีกำลังค้นหาตัวอีนิกม่า[3]ไปทั่วทุกเขต เกิดชุมนุมต่อต่านรัฐบาลขึ้นทุกวัน อาเก็บเรื่องนี้เอาไว้ไม่ได้แล้ว หลานอยู่ในอันตราย!”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมทราบดี อย่าห่วงไปเลยครับ อากลับไปพักผ่อนเถอะ”
เมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่ายร้อนใจจากัวร์จึงรีบตัดบทเพราะไม่อยากให้อาเป็นห่วง อีกอย่างนี่ก็ใกล้หมดโควตาเยี่ยมนักโทษแล้ว
“อย่าเพิ่งไป จากัวร์! ไอ้ที่หลานไม่เป็นอะไรนั่นอาจเป็นไปได้ว่าวัคซีนมันไม่มีผลกับร่างกายอัลฟ่าที่มีชนชั้นแฝงอีนิกม่า”
Enigma (อีนิกม่า) เป็นชนชั้นแฝงของอัลฟ่าที่สืบสายเลือดบริสุทธิ์ จะเกิดกับผู้ที่เป็น True Alpha พบได้น้อยมาก จากสัดส่วนทรูอัลฟ่า 1/100,000 คน จะเจออีนิกม่าสักหนึ่งคน ส่วนใหญ่อีนิกม่ามักคิดว่าตัวเองคืออัลฟ่าเพราะไม่แตกต่างจากอัลฟ่าคนอื่นๆ ต้องตรวจร่างกายอย่างละเอียดเท่านั้นจะรู้ว่าเป็นอีนิกม่าหรือไม่ และอีนิกม่าไม่นับเป็นความบกพร่องทางร่างกาย
อีนิกม่ามีความสามารถเฉพาะตัว *สามารถเปลี่ยนอัลฟ่าให้กลายเป็นโอเมก้าได้ ด้วยการปล่อยน้ำเชื้อเข้าสู่ร่างกาย หรือกัดเข้าที่หลังคอ คล้ายเวลาสร้างพันธะกับโอเมก้า ใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ ร่างกายผู้ถูกกระทำจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็นโอเมก้าโดยสมบูรณ์ทุกประการ
มือหนาที่กำลูกบิดประตูชะงักกึก...
“เป็นความผิดอาที่ไม่เคยบอกหลาน เชื่ออาเถอะ”
“นะ นี่ท่านอาจะบอกว่า–”
“หลานเป็นอีนิกม่า เช่นเดียวกับท่านปู่”
ดวงตาคมกริบเบิกกว้าง ร่างสูงใหญ่ตัวแข็งค้างเมื่อได้ยินความลับที่ไม่เคยรับรู้มาตลอดยี่สิบห้าปีเต็ม รู้สึกว่าลำคอมันแห้งผากฉับพลัน คนแรกที่จากัวร์นึกถึงก็คือ ‘เซเวียส’ สมองของเขาปะติดปะต่อเรื่องราวแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับเซเวียสเกือบทั้งหมดได้ในทันที
ทำไมเขาถึงไม่เฉลียวใจเรื่องที่กลิ่นฟีโรโมนของเซเวียสเปลี่ยนไป ไหนจะร่างกายอีกคนที่มันผิดไปจากเดิมวันละนิดละหน่อย ทั้งหมดมันไม่ใช่เพราะผลข้างเคียงของวัคซีนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเขาเองด้วย วัคซีนนั่นทำให้เซเวียสฮีท แต่หลังจากนั้นน้ำเชื้อของเขาต่างหากที่ทำให้เซเวียสเปลี่ยนไป
ถ้างั้นหรือว่าตอนนี้เซเวียส...
จะเปลี่ยนเป็นโอเมก้าแล้ว
อัลฟ่าหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งบนดาดฟ้าของอาคารรับรองแล้วจุดบุหรี่มวนที่เพื่อนยื่นให้สูบแก้เครียด อุตส่าห์ตั้งใจเลิกขาดกับมันอยู่แล้วแท้ๆ จึงสูบบุหรี่ไฟฟ้าแทน แต่คงเลิกไม่ได้ซะล่ะมั้งแบบนี้ พอเล่าเรื่องที่อาบอกให้ไอ้บรู๊คฟังมันก็ตบไหล่เขาปลอบไปมาตามประสา
“เครียดเลยดิ แล้วมึงจะเอายังไงต่อไป”
“เอาไงเรื่องไหนล่ะ”
“เออ ไอ้กูก็ลืมไปว่าตอนนี้มึงมีอะไรให้คิดหลายเรื่อง” บรู๊คลินเอาศอกกระแซะแซวเพื่อน หวังให้เพื่อนเครียดน้อยลง “เก็กไม่มีหลุดฟอร์มเลยว่ะ เอาเรื่องงานก่อนดิ๊ เรื่องแมวมึงกูไม่ยุ่งขอเผือกห่างๆ พอ”
พอได้ยินว่า ‘แมวมึง’ แค่นั้น ริมฝีปากหยักก็ดูดสารนิโคตินจากมวนในมือเข้าปอดอย่างหนักหน่วงแล้วค่อยๆ พ่นควันสีเทาออกมาจากปากและจมูก โครงหน้าหล่อเหลาเงยมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา ดูเหมือนจะเครียดมากกว่าเดิม
“ไม่ยังไงก็สืบต่อ ยิ่งได้หลักฐานเป็นรูปธรรมเท่าไหร่ยิ่งดี หัวหน้ามึงเหอะ กูหวังว่าคงไม่โดนแม่งปลดก่อน” ยังไงประธานาธิบดีก็มีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้กับหน่วยข่าวกรอง ขอให้ไม่ผิดแผนก็พอ
“มึงอย่าลืมว่าการเมืองมันเป็นเรื่องของทุกคน ไม่มีใครเป็นกลางในสถานการณ์แบบนี้หรอก แม้แต่คนในรัฐบาล ความดีความชอบที่ปู่มึงเคยทำไว้กับประชาชน คนที่ยังภักดีก็มีไม่น้อยนะเว้ย”
“หึ พูดแล้วกูก็ขำ สะใจที่พ่อกูแพ้การเลือกตั้งเมดิสันแบบย่อยยับ”
“ถ้าเปรียบพ่อมึงกับเมดิสันแม่งก็เหมือนให้เลือกตายวันนี้หรือตายพรุ่งนี้ ไอ้ห่า ใครมันจะอยากตายวันนี้จริงมั้ยวะ”
จากัวร์ขำในลำคอกับสิ่งที่เพื่อนเปรียบเปรย ที่ตอนนี้ตระกูลดีไวเลอร์ยังมีหน้ามีตาอยู่ได้ก็เพราะกินบุญเก่าของปู่ทั้งนั้น แม้แต่เจสันพี่ชายสุดที่รักของเขาก็ยังไม่เอาไหน คงได้พ่อมาเยอะไปหน่อยมั้ง ขืนตระกูลตกอยู่ในมือสองพ่อลูกแบบนี้อีกไม่นานคงพังพินาศสมใจ
“แล้วนี่แมวกูกินยาเรียบร้อยใช่มั้ย”
“กินแล้ว คงหลับไปละป่านนี้”
ดี ให้หลับไปก่อน เพราะเขาเองยังหาวิธีบอกเรื่องนี้แบบดีๆ ไม่ได้ จากัวร์ถอนหายใจ จมูกโด่งปล่อยควันลอยออกไปบนอากาศ
“มึงหาถุงมาให้กูด้วยละกัน”
“เชี่ยย แล้วที่ผ่านมามึงไม่ใช้? นี่อย่าบอกนะว่าแตกในด้วย”
“ก็เออไง ถ้าของมึงมีก็แบ่งมาก่อน เผื่อกูฉุกเฉิน”
“กูมีอันเดียวโว้ย!” บรู๊คลินอ้าปากค้าง เอากับมันดิไอ้เพื่อนคนนี้ ชักจะศีลแตกไปใหญ่โตละ “งั้นมึงเอาไปก่อนก็ได้ กูคงไม่ได้ใช้เร็วๆ นี้”
จากัวร์หยิบซองฟอยล์ในมือเพื่อนมาแลกกับบุหรี่ที่ดูดไปแค่ครึ่งมวนก่อนจะลุกเดินหนีไป ไม่สิ จะบอกว่าแลกก็ไม่ได้เพราะบุหรี่นี่ก็ของมันเหมือนกัน
-
เขากลับมายังห้องขังและเดินตรงไปยังห้องฝั่งตรงข้ามห้องตัวเองอีกตามเคย แสงดาวลอดผ่านเพดานสูงกว่าห้าเมตรส่องลงมายังโพรงนอน ร่างสูงใหญ่ยืนกอดอกพิงกำแพงคุกมองดูคนหลับซุกตัวกับผ้าห่มจนโผล่ออกมาแค่ตากับจมูก
ในสายตาจากัวร์ เซเวียสคงไม่อาจเอาชีวิตรอดในคุกแดนนี้ได้ด้วยสภาพร่างกายแบบนี้แน่ ยิ่งถ้าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว โอเมก้าในคุกอัลฟ่าคือจุดตกต่ำและอันตรายที่สุด มีคนตายทุกวันก็จริง แต่ก็มีคนใหม่เข้ามาแทนที่ในแดนนี้ทุกวันเช่นกัน
คุกแห่งนี้ไม่อาจเดาสถานการณ์ล่วงหน้าได้ ร่างกายคงไม่เท่าไหร่แต่จิตใจเซเวียสจะรับไหวไหมคือสิ่งที่จากัวร์คิดไม่ตก แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่รู้ชะตาชีวิตตัวเองด้วยซ้ำไป
“อืออ”
เสียงงัวเงียในลำคอดังขึ้นมาแทรกความคิด ร่างบนเตียงพลิกไปมาหาไออุ่นกลางดึก จากัวร์จึงนอนลงข้างๆ ด้วยสภาพแบบว่าอีกนิดจะตกเตียง มือหนาจับคนที่พันตัวเองกับผ้าห่มเป็นก้อนม้วนเหมือนโรตีเข้ามากอดทั้งอย่างนั้น เสียงงัวเงียท้วงนั่นก็เงียบลงไปเหลือเพียงแค่ลมหายใจผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอ เขาเคลิ้มมองขนตายาวเรียงกันทุกเส้นรับกับใบหน้ามีเสน่ห์ ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจมองแต่สุดท้ายก็เผลอหลับไปทั้งแบบนั้น
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเซเวียสสะดุ้งตื่นขึ้นมาจามเพราะหวัดเล่นงานตั้งแต่เมื่อคืน แต่ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นว่าตัวเองหลับซุกอกกว้างแบบแนบแน่นก็แปลกใจ เขามองจากัวร์อยู่แบบนั้นนานนับนาที แค่มองเพราะว่ามันใกล้มากนั่นแหละไม่ได้มีเหตุผลอื่น
“ถ้าตื่นแล้วก็ลืมตาขึ้นมา”
ดวงตาคมกริบเปิดเปลือกตาขึ้นมามองคนสั่ง แหม...ทีตอนนี้ล่ะเชื่องเชียว
“ปล่อยด้วย ร้อนจะตายแล้ว” เซเวียสถอนหายใจ อกกว้างถูกมือดันออกห่างจากตัวแต่แขนหนายังคงกอดเอวอยู่ “มีอะไร จ้องกูอยู่นั่น”
“มึงเข้ามาอยู่นี่กี่สัปดาห์แล้ว”
“สามล่ะมั้ง ไม่สิ ครบสี่สัปดาห์วันนี้”
“งั้นก็เอากับกูครบสามสัปดาห์พอดี”
จากัวร์ขมวดคิ้วปิดความเครียดไว้ไม่มิด ฝ่ามือหนาใต้ผ้าห่มจับไปตามเอวที่คอดลงและสะโพกที่มีน้ำมีเนื้อเต็มฝ่ามือมากขึ้น ก่อนจะก้มมองข้อมือเรียวเล็กลงมือที่ดันอกตัวเองค้างไว้ตอนนี้ ใจนึงก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่อีกใจรู้ดีว่ามันเกิดขึ้นแล้ว
“กลิ่นมึงคือกลิ่นอะไร”
“ไม่รู้กูไม่ได้กลิ่น แต่ลูอิสชอบบอกว่ากลิ่นเหมือนไม้สน ก็คงตามนั้นมั้ง”
ท่าทางของจากัวร์ทำให้เซเวียสรู้สึกประหลาดใจเอามากๆ ปกติอีกคนไม่เคยมีท่าทีใส่ใจหรือสนใจอะไรจุกจิกแบบนี้ เซ้นส์ของเขากำลังบอกว่าเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น และจากัวร์ก็กำลังทำหน้าตาจริงจังเกินไป
“แต่ตอนนี้กูได้กลิ่นดอกซ่อนกลิ่น” เป็นดอกซ่อนกลิ่นมาตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว
“มึงจะบอกว่ากลิ่นกูเปลี่ยนไปเหรอ เพราะวัคซีนนั่นอีกแล้ว? แต่กูไม่ได้ฉีดโดสที่สองไปไม่ใช่หรือไง”
“ไม่ใช่แค่กลิ่นที่เปลี่ยน ร่างกายมึง ทุกอย่าง”
สิ่งที่จากัวร์พูดออกมาเป็นสิ่งที่เซเวียสรู้ดีอยู่แล้วลึกๆ ข้างใน ตั้งแต่เกิดผลข้างเคียงรุนแรงจนฮีทครั้งนั้นเป็นต้นมา ร่างกายของเขาไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลย โดยเฉพาะตอนที่อยู่ใกล้อีกคน อีกทั้งยิ่งเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือตอนที่มีเซ็กส์กัน
มันไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งที่มีอะไรกัน พวกเขาทำเกินกว่านั้นไปมากโขทีเดียว
“ถ้ามึงอยากพูดอะไรมึงก็พูดออกมาสิวะ อย่าให้กูกลายเป็นคนโง่เข้าใจมั้ยจากัวร์!”
เพราะอีกคนเอาแต่เงียบนั่นแหละเซเวียสถึงได้ร้อนไปทั้งหน้าอก ไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไร เครียดจนคลื่นไส้ไปหมดแล้วแม่ง
“บอกแล้วมึงจะรับได้มั้ยล่ะ กูคิดว่าไม่มีทาง”
“มันยังมีอะไรแย่ไปกว่าการถูกจับมาทดลองยาในคุกนี้อีกเหรอวะ แค่นี้กูก็เหมือนรอวันตายอยู่แล้ว นี่มึงคงมองว่ากูอ่อนแอมากเลยสินะ”
เซเวียสยันตัวลุกขึ้นจากที่นอนออกห่างด้วยอารมณ์โมโห แต่จากัวร์ก็คว้าตัวไว้จนเขานั่งคร่อมบนตัวอีกคน เซเวียสดึงมือตัวเองออกจากมือหนาที่คว้าข้อมือแน่นแต่แกะยังไงก็แกะไม่ออก
“ถ้าคิดแบบนั้นมึงก็ออกไป โอ๊ย! ปล่อย!”
บอกตามตรงนะตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาไอ้อารมณ์น้อยใจบ้าบอ คิดมากจนเวียนหัวไปหมดแบบนี้มาจากไหน เมื่อกี๊ลุกไวไปรึเปล่าวะ รู้สึกเหมือนจะอ้วกเลย
จากัวร์กัดกรามแน่นคิ้วขมวดจนแทบจะผูกโบว์ได้ข้างขมับปวดตุบๆ ห่วงความรู้สึกอีกคนก็ห่วง รู้สึกผิดอีกต่างหาก
“เอางั้นก็ได้ แต่มึงต้องตั้งสติแล้วฟังกูให้ดี–”
“อึก...โอ้กกกกกก”
ประโยคของจากัวร์ถูกตัดฉับลงเพียงเท่านั้นเพราะเซเวียสที่นั่งพะอืดพะอมจนน้ำตาคลอใช้แรงที่มีทั้งหมดกระชากมือจนหลุดแล้ววิ่งไปทรุดตัวโก่งคออาเจียนออกมาอยู่ที่มุมห้อง
ผลลัพธ์ของการที่เขาน็อต[3]ในตัวเซเวียสครั้งนั้น
ใช่ ถุงยางคงไม่จำเป็นอีกแล้ว...
อัปเดต ๑๐๐%
#คุกทดลองอัลฟ่า
เชิงอรรถ
^
Pod[1] – (พอต) คำเรียกบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งในเรื่องจากัวร์ดัดแปลงพอตเป็นเครื่องส่งสัญญาณและวิทยุสื่อสารพกติดตัว
^
NSAIDs[2] – (เอ็นเสด) เป็นกลุ่มยาแก้อักเสบชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ใช้มากในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวด บวม หรืออักเสบต่าง ๆ เช่น แก้ปวด ลดไข้ ใช้รักษาโรคข้ออักเสบต่าง ๆ
^
น็อต[3] – Knottion ส่วนโคนขององคชาติของอัลฟ่าจะมีเนื้อเยื่อคล้ายฟองน้ำ เวลามีเพศสัมพันธ์ เลือดจะคั่งบริเวณนี้ ทำให้มันพองออก ซึ่งเรียกว่าอาการ Knotting อวัยวะเพศจะล็อคติดกับช่องคลอดหรือทางทวารหนักของผู้ร่วมเพศ ไม่สามารถดึงออกเองได้ ต้องรอประมาณ 30 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมงให้อวัยวะอ่อนตัวลง ระหว่างที่ติดอยู่ด้านในจะมีการปล่อยน้ำอสุจิออกมาเป็นระยะ ๆ เพื่อให้มีโอกาสปฏิสนธิได้มากที่สุด โดยปกติอัลฟ่าจะ Knot เฉพาะเวลามีอะไรกับโอเมก้าที่เป็นฮีท แต่อัลฟ่าสามารถ Knot นอกฮีทได้ด้วยในกรณีที่ทั้งคู่มีอารมณ์มาก ๆ หรือเจอคู่ที่สมน้ำสมเนื้อกัน