ตอนที่ ๘ - ลูอิส เออร์ไวน์
จากัวร์รีบกลับออกมาจากที่เกิดเหตุเพราะเกรงว่าถ้าใครเห็นตัวเข้าเรื่องราวมันจะวุ่นวายไปใหญ่ ไหนจะเรื่องที่เขาแอบหนีออกมาจากคุก แต่ทว่าระหว่างเดินลัดเลาะหลบหลีกสายตาผู้คนออกมาจากบล็อคที่ 24 ในเขตโรสคิงส์ อัลฟ่าหนุ่มเดินสวนกับใครบางคนที่ยืนพิงรถหรูทรงคลาสสิกแต่งตัวด้วยสูทราคาแพง รองเท้าคัทชูเงาวับ ตัวสูงพอกับเขากำลังยืนคุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางเคร่งเครียดอยู่ แม้จะห่างออกมาหลายช่วงตัวแล้วหูก็ยังได้ยินคนคนนั้นพูดโทรศัพท์อย่างชัดเจน
“เซเวียส...”
ขายาวชะงักกึก
“หนีไปกับกูมั้ย กูจะพามึงหนี แค่มึงตอบตกลงมาคำเดียว กูจะพามึงไปทุกที่ที่มึงต้องการ”
ลูอิสพูดกับปลายสายอย่างแน่วแน่ จากัวร์หันขวับไปมองหน้าเจ้าของน้ำเสียง ดวงตาคมกริบแข็งกร้าวลอดใต้ปีกหมวกปะทะกับสายตาของลูอิสทันใด สองคนจ้องกันอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วเข้มของคนโทรศัพท์ขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยในท่าทีของบุคคลนั้นตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าดูไม่น่าไว้ใจ และสายตาไม่เป็นมิตรนั่นมัน...
“เชิญเข้าไปพบท่านรัฐมนตรีได้เลยครับคุณชาย”
ระหว่างรอคำตอบที่เงียบไปของเพื่อนสนิทเสียงของบอดี้การ์ดพ่อก็ขัดจังหวะความคิดเสียก่อน
“กูต้องไปธุระให้พ่อแล้ว ถ้างั้นอีกสามวันกูจะไปเอาคำตอบถึงที่ -- อืมม รู้แล้วน่าไม่ต้องย้ำนัก มึงก็ดูแลตัวเองดีๆ กูอยากเจอหน้ามึงแทบแย่แล้ว”
เมื่อปลายสายตอบรับเขาก็ยิ้มออกมาคนเดียวแบบไม่มีสาเหตุ ก่อนมือหนาจะเก็บโทรศัพท์เครื่องบางเข้าใส่กระเป๋ากางเกงเนี้ยบ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาคนที่เดินผ่านหน้าไปก็ไม่อยู่ซะแล้ว ลูอิสเลิกสนใจเรื่องอื่นเพราะงานของพ่อที่ส่งเขามาพบรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์
“ทางนี้ครับ”
ลูอิส เออร์ไวน์ (Luis Irvine) อัลฟ่าหนุ่มวัย 25 ปี ทายาทนักธุรกิจตระกูลเก่าแก่จากรัฐทางใต้ เออร์ไวน์เป็นอีกหนึ่งตระกูลที่ได้รับการนับหน้าถือตามาอย่างยาวนาน เหมืองแร่เกือบทั้งหมดในรัฐเป็นมรดกของตระกูลเรียกว่ามีกินมีใช้จนตายแล้วเกิดใหม่ก็ยังเหลือบาน ลือกันหนาหูว่าลูอิสลูกชายคนเดียวของประธานกำลังจะมารับช่วงต่อธุรกิจทั้งหมด ที่สำคัญเส้นสายคอนเนคชั่นเออไวน์นั้นหนาเสียยิ่งกว่ายางรถยนต์
“โอ้ ไม่ได้พบกันเสียนาน เออร์ไวน์เจ้าลูกชายนั่นเอง”
“นี่ของฝากเล็กน้อยครับ พ่อฝากมา” ชายหนุ่มทักทายอย่างเป็นธรรมเนียม
“ลุงได้ข่าวมาจากพ่อว่าหลานเลิกเล่นสนุกแล้ว ได้ฤกษ์กลับมาช่วยงานแล้วล่ะสิ”
“ครับ ก็ประมาณนั้น ผมคงต้องฝากตัวท่านลุงด้วย” ลูอิสจับมือกับท่านรัฐมนตรี
“ถ้าเป็นหลานรักแค่นี้เรื่องเล็กน้อย”
“ท่านลุงพูดอย่างนั้นผมก็สบายใจครับ”
“ฮ่าๆ ป่านนี้พ่อหลานคงฉลองใหญ่โตแล้วล่ะ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนยอมกลับมาอยู่ในลู่ในทาง เสาร์นี้ไปไดร์ฟกอล์ฟกับลุงสิ จะได้คุยเรื่องอื่นกัน”
ลูอิสขมวดคิ้วเล็กน้อย “พอดีวันนั้นผมมีนัดสำคัญแล้ว คงต้องเป็นโอกาสหน้าแล้วล่ะครับ”
“เดตตามประสาหนุ่มสาวสินะ อย่าลืมพามาให้พ่อกับลุงดูตัวล่ะ”
นั่นสินะ จะว่าไปก็คงเป็นเดตที่พิลึกดี...
หลังจากเกิดคดีของเซเวียส ลูอิสถูกพ่อเรียกตัวกลับกะทันหันเพราะกลัวจะไปมีเอี่ยวด้วย ถึงทางบ้านจะสนิทกันแค่ไหนก็จำต้องถอย ก่อนหน้านี้ลูอิสตัวติดกับเซเวียสอย่างกับอะไรดี ตั้งแต่เด็กมีเซเวียสที่ไหนก็ต้องมีลูอิสที่นั่น ขนาดเซเวียสหนีที่บ้านมาเป็นโฮสต์ก็ยังหอบเสื้อผ้ามาอยู่ด้วยเพราะไม่อยากแยกกันไปไหน
พอเซเวียสไม่อยู่ลูอิสก็เขวไปหมดจนต้องถอยกลับมาตั้งหลัก ทุกวันทุกวินาทีลูอิสรู้ดีว่าที่ตรงนี้มันรอคอยให้เขากลับมายืนไหล่ตรงต่อบทบาทหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อตระกูล อีกหน่อยพวกเขาก็ต้องหาคู่และแต่งงาน เซเวียสเองก็เช่นกัน ถ้าไม่ถูกจับเข้าคุกไปซะก่อนพวกเขาคงได้ทำอะไรหลายอย่างที่อยากทำในช่วงสุดท้ายของชีวิตวัยรุ่น
ที่สำคัญเขายังมีหลายอย่างที่อยากจะบอก...
หนึ่งในนั้นคือความรู้สึกที่มีต่อเซเวียส
-
ข่าวอดีตเลขาประธานาธิบดีฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรมนั้นเป็นปริศนา ทำให้ผู้คนเริ่มหันมาสนใจเรื่องคดีทุจริตต่างๆ ที่เมดิสันอาจจะมีเอี่ยวด้วย รวมทั้งเซเวียสเองที่รู้สึกไม่ชอบมาพากล เมื่อวานนี้เขาได้ยินจากัวร์คุยกับบรู๊คลินถึงเรื่องการนัดพบกับใครบางคน และเมื่อคืนจากัวร์ก็ออกไปจากห้องขังจนกระทั่งเช้ามืดก็ยังไม่กลับมา มันผิดปกติ
ที่สำคัญไปกว่านั้นช่วงนี้เซเวียสรู้สึกตัวเองเหนื่อยง่ายมาก แถมยังไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรงอีก ทั้งที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนต่อให้แบกกระสอบทรายสามสี่กระสอบ ชกมวยกับลูอิสที่ยิมเป็นสิบยกแรงก็ยังเหลือๆ นี่อะไรแค่ออกไปสวนสนามตามโปรแกรมของเรือนจำง่ายๆ เล่นเอาหอบจนเกือบหายใจไม่ทัน ร่างกายมันแปลกไปจนรู้สึกได้
แล้วไหนจะเรื่องที่ลูอิสพูดในโทรศัพท์อีก ให้ตายเถอะ...
หรือว่าเขาจะหนีไปกับเพื่อนดี อย่างน้อยก็ไปตายเอาดาบหน้า ไม่ต้องถูกทรมานจนตายด้วยการทดลองยาอยู่ในคุกนรกนี่
มือเรียวยกขึ้นมากุมขมับเมื่อระบบประสาทรับรู้สึกถึงความเย็นเฉียบของน้ำลึกที่ปะทะเข้ากับร่างกาย เซเวียสพยายามสูดลมหายใจแต่กลับสำลักน้ำแทบตาย ทุกครั้งที่คิดจะหนีออกไปต้องเจอกับอาการประสาทหลอน นั่นคือสิ่งที่ควบคุมนักโทษในคุกแห่งนี้ จะมีสักกี่คนกันที่กล้าเผชิญกับสิ่งที่ตัวเองกลัวที่สุดในชีวิตและก้าวข้ามมันไป
แรงเขย่าตัวอย่างแรงเรียกสติเซเวียสกลับคืนมา
“คุณ ตื่นสิคุณ!”
“เฮือกก!” เซเวียสสำลักไอจนแสบคอแสบจมูก เขาลืมตาขึ้นมาเจอกับบรู๊คลินที่เขย่าตัวเรียกและหมอลุคที่อยู่ข้างหลังจึงตั้งสติขึ้นมาได้ “บรู๊คลิน หมอ...” จำได้ว่าก่อนหน้านี้มาเยี่ยมหมอลุคที่ห้องคุมพิเศษ
“โอเคมั้ยคุณ”
เซเวียสพยักหน้าตอบเจ้าหน้าที่บรู๊คลินพลางลูบลำคอตัวเองอย่างหวาดระแวง
“ทุกที่ในเรือนจำมีคลื่นความถี่ทำงานควบคุมสมองนักโทษอยู่ มันคือการโดนสะกดจิตทำให้นึกถึงสิ่งที่กลัวที่สุดในชีวิต” หมอลุคอธิบาย
“แล้วเคยมีคนหนีสำเร็จบ้างมั้ย”
“ส่วนใหญ่ก็ตายในป่าสาบสูญไปเลยก็มี ยิ่งต้องการหนียิ่งทำให้ประสาทหลอน ร่างกายอ่อนแอลง สุดท้ายก็ไปไหนไม่รอด”
“ทุกสิ่งทุกอย่างในคุกนี้มันขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน แม้แต่อิสระทางความคิดก็ยังถูกจำกัด ทำไมรัฐบาลถึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้” เซเวียสไม่เข้าใจ เรือนจำมันควรจะเป็นสถานที่บำบัดและเรียนรู้ให้แก่นักโทษสิถึงจะถูก
“ก็เพราะมันไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐบาลไง ทีมวิจัยได้เข้ามาในคุกก็เพราะเมดิสันติดสินบนรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ถ้าหากวัคซีนสำเร็จมันก็จะเป็นผลงานชิ้นใหญ่ มีผลต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไปอย่างแน่นอน”
“งั้นที่นายเกือบถูกฆ่าปิดปากก็เป็นเหตุผลเดียวกับการตายของอดีตเลขาเมดิสัน...นายกำความชั่วช้าอะไรของพวกนั้นเอาไว้กันแน่?”
หมอลุคมองหน้าเซเวียสอย่างไม่เป็นมิตรทันทีที่ถูกคำถามแทงใจดำเข้าไปเต็มๆ
“กล้าถามแบบนี้แปลว่านายพร้อมจะตายแล้วสินะ เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าคนที่รู้เยอะจะต้องเจอกับอะไร อยู่เฉยๆ ไม่ดีกว่าเหรอ เผื่อจะรอดออกไปจากที่นี่ไง”
“เฮ้หมอ ไม่เอาน่ะ” บรู๊คลินเห็นท่าไม่ดีจึงรีบขัดทั้งสองคนไม่ให้ทะเลาะกัน
“งั้นนายก็ลองฉีดวัคซีนนั่นกับตัวเองดูสิ จะได้เข้าใจว่าไอ้สิ่งที่พวกนายวิจัยไว้มันนรกขนาดไหน และไม่ต่างอะไรกับการเป็นฆาตกรสักนิด”
“เซเวียส!”
หมอลุคคว้าคอเสื้อนักโทษของเซเวียสกระชากขึ้นมาอย่างมีโทสะ แม้จะถูกบรู๊คลินพยายามแยกออก ทั้งสองคนก็ยังจ้องหน้ากันอย่างไม่ลดละอารมณ์ เพียงแต่เซเวียสนิ่งกว่าที่คิด เขามันไม่ใช่พวกใช้กำลังแก้ไขปัญหาอยู่แล้ว
“ผมว่าคุณกลับไปก่อนดีกว่า มาทะเลาะกันเองก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา” บรู๊คลินพยายามช่วยไกลเกลี่ย “เดี๋ยวจากัวร์มันกลับมาคุณอยากรู้อะไรก็ลองถามดู เพราะผมเองก็พูดอะไรมากไม่ได้”
สุดท้ายเซเวียสก็จำต้องออกมาจากห้องพักพิเศษ มื้อเที่ยงวันนั้นอาหารมันแทบจะกลืนไม่ลงคอด้วยซ้ำ ความเครียดสะสมเริ่มทำร้ายเขาทีละนิด เมื่อสภาพร่างกายย่ำแย่แล้วสภาพจิตใจยังแย่อีกจะเอาเรี่ยวแรงหรือกะจิตกะใจไปทำอะไรไหว คงดีแล้วที่ตอนเข้ามาอยู่ในเรือนจำเขาสั่งห้ามไม่ให้ป๊ากับแม่ติดต่อมาเด็ดขาด ไม่งั้นถ้าได้ยินเสียงครอบครัวเซเวียสคงเก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้ไม่ได้
เซเวียสนั่งอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่เงยมองท้องฟ้าตอนบ่ายแก่กลายเป็นสีน้ำเงินและค่อยๆ ปกคลุมไปด้วยเมฆหนา กลิ่นดินชื้นโชยเตะจมูก เม็ดฝนขนาดใหญ่เทลงมาจากท้องฟ้าแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จนต้องวิ่งหาที่หลบฝนแทบไม่ทัน เนื้อตัวเปียกชื้นไปหมด
“อยู่ดีๆ ก็ตกลงมาเนี่ยนะ” มือเรียวลูบหน้าปาดน้ำฝนออกพลางบ่นกับตัวเองอย่างเซ็งๆ แล้ววันนี้ก็เพิ่งซักผ้า ชุดยิ่งไม่พอเปลี่ยนอยู่
“เพิ่งเคยเห็นแมวเปียกซ่กขนาดนี้ กูนึกว่าแมวมันไม่ชอบน้ำซะอีก”
เซเวียสผงะหันไปมองตามเสียงทุ้มต่ำคุ้นหูของใครบางคนที่กอดอกพิงกำแพงโกดังเก็บฟืน ซึ่งไม่รู้ว่ามายืนข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงเสียงฝนจะดังจนเกือบกลบเสียงอีกคนก็เถอะ
“ดะ เดี๋ยวก่อน นี่มึงมาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย”
“อ้าวไม่ได้รอเจอกูอยู่หรอกเหรอ”
จากัวร์เสยมือหนาเข้ากับเส้นผมเปียกไปด้านหลังเผยให้เห็นโครงหน้าไร้ที่ติเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำฝน คนมองรู้สึกหมั่นไส้บอกไม่ถูก เหอะ พระเจ้าช่างปั้นเสียเหลือเกิน
“แล้วรู้ได้ไงว่ากูอยู่นี่”
“ถามแปลก กูก็แค่ตามกลิ่นมึงมา”
“กลิ่น?”
เซเวียสขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อคนตัวสูงกว่าจับข้อมือเขาที่กำลังกอดอกเพื่อให้ร่างกายอุ่นอยู่ขึ้นมา ก่อนจะหงายข้อมือพลิกตรงหน้าและเลื่อนจมูกมาสูดกลิ่นทั้งที่สองสายตายังประสานกันอยู่ ตอนนี้พายุกำลังโหมกระหน่ำ... ใช่ หูมันคงอื้อเพราะเสียงฝนกระทบหลังคาสังกะสีของโรงเก็บฟืน
คนถูกจับข้อมือพยายามชักแขนกลับแต่จากัวร์กลับบีบแน่นขึ้นไม่ยอมปล่อย
“ลูอิส เออร์ไวน์ มันเป็นใคร”
“แล้วทำไมอยู่ดีๆ มึงพูดถึงลูอิสขึ้นมาล่ะ” คนถูกถามขมวดคิ้ว
“ตอบคำถาม”
“เหอะ ทีมึงยังไม่เคยบอกกูเลยว่ามึงเป็นใครมาจากไหน ทีนี้จะมาคาดคั้นเรื่องเพื่อนกูเอาอะไรไม่ทราบ”
“อ๋อ เพื่อน?”
เซเวียสรู้สึกว่าแรงบีบที่ข้อมือคลายออกเล็กน้อย
“เอาเป็นว่าสำหรับกูลูอิสเป็นได้ทุกอย่าง แล้วแต่ว่าตอนนั้นกูต้องการอะไรมากที่สุด เป็นคนเดียวที่กูสามารถฝากชีวิตทั้งชีวิตไว้ได้อย่างสบายใจ เป็นคนสำคัญ”
“แล้วทำไม ‘คนสำคัญ’ ที่ว่านั่นถึงปล่อยให้มึงมานอนตบยุงในคุกท่ามกลางสัตว์เดรัจฉานในร่างมนุษย์แบบนี้” จากัวร์เผลอหัวเราะออกมากับสิ่งย้อนแย้งในประโยคคำตอบ
“รวมมึงด้วยใช่มั้ย สัตว์เดรัจฉานที่ว่า”
“ใช่...”
ก้อนสะอึกดันขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอเมื่ออีกคนก้าวขาเข้ามาใกล้ สีหน้าแววตายากจะเดาความคิดออก จนร่างสูงโปร่งของเซเวียสถอยไปจนมุมกับแผ่นไม้ฝาผนังโรงเก็บฟืน อีกแล้ว ความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว ความกล้าในการเผชิญหน้าทุกสิ่งทุกอย่างของเซเวียสหายไปไหนหมด
พายุฝนไม่มีวี่แววจะสงบลงรังแต่จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ท้องฟ้าขมุกขมัวมองไม่เห็นทาง แรงลมพาอุณหภูมิลดต่ำ ทำให้ริมฝีปากที่ตอนแรกเป็นสีเลือดฝาดธรรมชาติเปลี่ยนเป็นสีอมม่วงและเริ่มสั่นระริก ละอองฝนสาดปะทะร่างทั้งคู่ เซเวียสเปียกชุ่มโชกไม่เว้นแม้แต่แพขนตายาว
เหมือนแมวติดฝนจริงๆ แต่สั่นขนาดนี้คงหนาวน่าดู
“อ...มึงจะทำอะไร แบกกูทำไม! ปล่อย!”
“เก็บเล็บดีๆ อย่าข่วนหลังล่ะ”
พอเห็นท่าไม่ดีแน่จากัวร์จึงย่อตัวลงอุ้มร่างของเซเวียสขึ้นพาดบ่ากว้างทั้งที่อีกคนสูงถึง 180 เซนติเมตร แต่จากที่วัดเอาคร่าวๆ ด้วยไหล่ น้ำหนักจริงไม่น่าเกินกลางๆ หลักหกสิบ ดูยังไงก็ผอมลงจากวันแรกที่เข้ามา
“จะพากูไปไหน ปล่อยนะเว้ย...”
คนถูกอุ้มตกใจดิ้นในทีแรก แต่เมื่อเห็นว่าอีกคนพาตัวเองเข้ามาข้างในโกดังเก็บฟืนที่เกือบจะไม่มีช่องทางให้ลมพายุพัดผ่านเข้ามาได้จึงค่อยๆ หยุดดิ้นลง เคยเห็นแมวขนพองทั้งตัวแล้วค่อยๆ ยุบลงไหม ในสายตาจากัวร์เซเวียสก็เป็นแบบนั้น
“ในนี้อุ่นใช้ได้ ไว้ฝนหยุดค่อยกลับไปรายงานตัว”
“ปล่อยกูได้แล้ว”
“ลืมไปว่าแบกมึงอยู่”
เสียงแมวบนบ่าขู่ฟ่อแว่วมาจากด้านหลังสุดท้ายจากัวร์ก็ปล่อยเซเวียสลงมายืนข้างเตาผิงเก่าๆ
ที่นี่เป็นโกดังขนาดเล็กมีฟืนกองไว้ทั่วทุกมุม เวลาแม่ครัวจะทำอาหารให้นักโทษในแดนทานก็มักจะมาขนฟืนจากที่นี่ไปใช้ประกอบการทำอาหาร แดนนี้นักโทษมีน้อยถึงเนื้อที่จะคับแคบไปหน่อยแต่ก็สามารถช่วยให้พวกเขามีที่หลบฝนได้ชั่วคราว
เซเวียสทิ้งตัวลงนั่งกอดเข่าบนแคร่ไม้ไผ่ผุๆ พวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันหลังจากนั้น แค่เสียงฝนตกลงมากระทบหลังคาก็แทบจะกลบเสียงทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงจะได้ที่หลบฝนแต่เพราะเสื้อผ้าเปียกชุ่มห่อหุ้มเนื้อตัวอยู่เซเวียสก็ยังหนาวอยู่ดี เขาไม่ถูกกับสภาพอากาศแบบนี้เลยให้ตายเถอะ หน้าฝนเป็นฤดูที่เซเวียสอยากให้หายไปจากโลกที่สุด
“มึงนี่นอกจากกลัวน้ำแล้วยังเกลียดฝนด้วยสินะ”
“กูไม่ได้กลัวน้ำ แค่ไม่ถูกกับน้ำลึก” เซเวียสถอนหายใจมองอีกคนจุดเตาผิง ภาพในอดีตผุดขึ้นมาในหัว “สมัยเด็กตอนไปเที่ยวกูเคยถูกผลักตกเรือ แขนหักเพราะไปกระแทกกับราว เหลือแขนเดียวจะว่ายน้ำก็ว่ายไม่ได้เลยจมลงไปทั้งอย่างนั้น กว่าจะช่วยขึ้นมาได้กูก็สำลักน้ำไปเต็มปอด”
“ก็ยังดีที่มึงรู้ว่าตัวเองกลัวอะไรในชีวิต”
“แล้วมึงไม่มีสิ่งที่กลัวบ้างเหรอวะ คนประเภทไหนเนี่ย”
“คงมีมั้งแต่กูยังไม่รู้ว่าคืออะไร” จากัวร์มองอีกคนถูสองมือเข้าหากันเมื่อเตาผิงเริ่มมีไออุ่นแผ่ออกมาเรื่อยๆ เขาเดินไปนั่งลงข้างเซเวียสบนแคร่ไม้ไผ่ เห็นชัดเลยว่าคนข้างๆ หนาวจนตัวสั่น “กูพนันได้เลยถ้ามึงไม่ป่วยภายในคืนนี้”
“มึงแม่งชอบแช่งกูอยู่เรื่อย สันดานแย่จริง” เซเวียสค้อนขวับ ดูเอาเหอะเปียกเหมือนกันแต่อีกคนไม่มีท่าทีหนาวหรือมีเค้าลางจะป่วยแบบเขาสักนิด ปกติเขาเองก็ถึกนะเว้ย แต่พักนี้ร่างกายมันไม่เสถียรนี่หว่า
“กูว่ามึงถอดชุดออกมาผึ่งก่อนดีกว่า”
“จะให้กูแก้ผ้านั่งรอมันแห้งเนี่ยเหรอ”
“มีทางเลือกอื่นมั้ยล่ะ แต่ถ้ามึงทนไหวก็ทนไป”
จากัวร์ถอดเสื้อตัวเองออกมาพาดบนแคร่ ซึ่งมันเป็นภาพที่ดูปกติมากเพราะปกติอีกคนก็ไม่ชอบสวมเสื้ออยู่แล้ว และดูท่าคงอีกนานกว่าฝนจะสงบลง เซเวียสก็เลยเอาบ้าง เขาขยับตัวไปชนมุมด้านหลังจากัวร์ที่นั่งอยู่แค่เพียงตรงปลายแคร่ไม้ไผ่ ถ้าอีกคนไม่หันหลังมามองก็ไม่เห็นว่าเขาถอดเสื้อผ้าพาดไว้เหมือนกัน ยังไงในนี้มันก็มีแสงแค่จากเตาผิงกับแสงที่ลอดรูหน้าต่างมาแค่นั้น มองไม่ค่อยเห็นหรอก
เซเวียสนั่งกอดเข่าตัวเปลือยอยู่ด้านหลังจากัวร์พลางซบหน้าลงกับต้นแขนตัวเอง เขาเลื่อนสายตามองแผ่นหลังกว้างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ บริเวณท้ายทอยมีเลขประจำตัวฝังอยู่ ถัดมาที่ใต้สันกรามลงมาถึงกลางลำคอแกร่งด้านขวามีรอยสักขนาดใหญ่รูปหัวกะโหลกสองอันซ้อนกัน มันใหญ่จนเกือบถึงลูกกระเดือก เซเวียสแทบไม่เคยสนใจสังเกตมันจนกระทั่งเวลานี้ ตรงสีข้างก็มีรอยสักซับซ้อนมองยากว่าคือลายอะไร แต่ที่แน่ๆ ใกล้กันมีรอยแผลเป็นทางยาวเหมือนรอยถูกแทง
“แผลเป็นนี่...”
เซเวียสเม้มปากไม่กล้าถามต่อเพราะเกรงว่ามันจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าถาม มือที่กำลังจะเอื้อมมาแตะก็ชะงักไปด้วย แต่คนถูกถามกลับหันมาตอบเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
“อ๋อ ห้าปีก่อนตอนกูหนีออกจากบ้านพ่อกูส่งลูกน้องมาเอาตัวกลับ กูเลยเอามีดแทงตัวเอง”
แค่คิดก็หวาดเสียวแล้วให้ตายเถอะ
จากัวร์คว้ามือเซเวียสไว้แล้ววางมือเย็นๆ ลงบนรอยแผลเป็นนั้น ปลายนิ้วเรียวแตะลงไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพิ่งเคยเห็นรอยแผลฉกรรจ์ที่ใหญ่ขนาดนี้ เซเวียสเติบโตมาให้ครอบครัวอบอุ่นเพียบพร้อม เรียกได้ว่าเป็นคุณหนูในบ้าน ที่มาเป็นโฮสต์ก็เพราะอยากจะลองออกมาพบเจอชีวิตข้างนอกแค่นั้น ไม่เคยคิดว่าจะได้มามีประสบการณ์ในคุก ระยะห่างของพวกเขาลดน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อมือเรียวรู้สึกถึงความอุ่นจากฝ่ามือที่สัมผัสกับผิวหนังอีกคน
“ทำไมตัวมึงอุ่นแบบนี้ ไม่หนาวบ้างหรือไง”
“กูขี้ร้อน”
มือเรียววางแนบกับสีข้างอุ่นๆ เผลอขยับแขนกินพื้นที่เข้าไปเรื่อยๆ เพราะอุณหภูมิของร่างกายโหยหาไออุ่น เหมือนร่างกายอีกคนมันดูดไอร้อนจากเตาผิงไว้อย่างไรอย่างนั้น จากัวร์หันช่วงตัวบนมองคนข้างหลังที่นั่งไขว้ขากอดเข่าเนื้อตัวเปลือยเปล่า ดวงตาคู่สวยมีเสน่ห์ดึงดูดดวงตาตาคมสีนิลให้จ้องมองตอบและตราตรึงมันไว้อย่างนั้น
ความรู้สึกเสียววาบวิ่งผ่านช่องท้องเซเวียสไปทันที เมื่อริมฝีปากอุ่นร้อนของอีกคนประกบลงกับกลีบปากของเขา โครงหน้าหล่อเหลาเอียงทำมุมรับกันแล้วช้อนริมฝีปากขึ้นบดคลึงขยี้จูบดูดดึงซ้ำไปมา ท่อนแขนหนาโอบรอบเอวรั้งเนื้อตัวเย็นเฉียบเปลือยเปล่าเข้าแนบชิด ยิ่งจูบดูดดื่มมากขึ้นเท่าไหร่ร่างกายเซเวียสก็เลื่อนเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของจากัวร์ ยิ่งนัวเนียแนบแน่นอุณหภูมิในร่างกายก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นเพราะเลือดสูบฉีดไปทั่ว
แต่ดูเหมือนว่ามีเพียงจุดเดียวในร่างกายที่ตอนนี้เลือดมันไม่ค่อยจะไปเลี้ยง
ไม่งั้นคงไม่ปวดตุบๆ ขนาดนี้...
#คุกทดลองอัลฟ่า
อัปเดต ๑๐๐%