EP 01
เงื่อนไขของไดสึเกะ Loading…75%
บ้าชะมัด ข้อมือฉันแดงไปหมดเลย
ฉันช้อนตามองไดสึเกะนิดหน่อยก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงหลังจากที่พยาบาลแก้มัดให้ ยกข้อมือทั้งสองข้างขึ้นมาหมุนไปมาเพื่อคลายอาการปวด รอยแดงๆ ตรงข้อมือที่เกิดจากการเสียดสีกับสายรัดทำให้ฉันรู้สึกแสบไปหมด
หลายวันมาแล้วที่แม้แต่การเข้าห้องน้ำฉันก็ต้องขออนุญาตคนอื่น ซึ่งโดยปกติถ้าไม่มีไดสึเกะอยู่ในห้อง ก็จะต้องมีคนของโอยามะคอยเฝ้าฉันอยู่อีกหนึ่งคนน่ะ แต่นี่ดูเหมือนคนอื่นคงจะถูกไดสึเกะไล่ออกไปกันหมด
ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าเวลาที่ถูกคนของโอยามะจับตามองเวลาเดินไปเข้าห้องน้ำมันน่าอึดอัดแล้ว แต่พอเปลี่ยนมาเป็นไดสึเกะ ฉันกลับรู้สึกว่าอยากให้เป็นคนของโอยามะสักสี่ห้าคนหรืออยู่กันเต็มห้อง ฉันก็น่าจะหายใจคล่องมากกว่าเห็นหน้าเขา
“ฉันเดินเองได้” ฉันบอกเบาๆ เมื่อพยาบาลทำท่าเหมือนจะเข้ามาช่วยประคอง ซึ่งหลังจากที่ฉันพูดออกไปแบบนั้น ฉันก็เห็นว่าเธอหันไปมองหน้าไดสึเกะนิดหน่อยเหมือนจะขออนุญาต รอจนเห็นว่าเขาพยักหน้าเบาๆ เหมือนจะอนุญาตนั่นแหละ เธอถึงได้ยอมหลีกทางให้ฉันเดินไปเข้าห้องน้ำ
บ้าเอ๊ย! ทำไมทุกอย่างถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ แล้วนี่ฉันจะหนีออกไปจากที่นี่ได้ยังไง ถึงปากจะบอกว่าจะทำให้ไดสึเกะทรมานตายด้วยการยอมแต่งงานด้วย แต่ฉันไม่ได้อยากจะทำจริงๆ สักหน่อย เพราะนั่นก็เท่ากับฉันเองก็คงทรมานเหมือนกัน คนอย่างฉันไม่มีทางยกอิสรภาพของตัวเองให้คนอย่างไดสึเกะเด็ดขาด
แกร๊ก!
ฉันกดล็อกประตูห้องน้ำทันทีที่เข้ามาได้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องน้ำมันทำให้ฉันหายใจคล่องกว่าด้านนอก
ปิดประตูห้องน้ำได้ฉันก็เดินมาที่ด้านหน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ยืนจ้องเงาสะท้อนของตัวเองอยู่อย่างนั้นเพราะความจริงก็คือฉันไม่ได้ปวดฉี่เลยสักนิด แต่แค่รู้สึกเบื่อความกดดันและอยากหนีไปให้พ้นจากสายตาของไดสึเกะเท่านั้นเอง ถ้าชีวิตหลังจากนี้ไม่ว่าจะลืมตาหรือว่าหลับตาต้องอยู่ในสายตาของเขาตลอดแบบที่เขาพูด ฉันต้องเป็นบ้าตายแน่ๆ
“นามิควรทำยังไงดีคะพี่โยชิดะ” ฉันรำพึงรำพันเบาๆ ก่อนจะพยายามฝืนยิ้มให้กับคนในกระจก พยายามจะบอกตัวเองให้เข้มแข็งและอดทนแบบที่พี่โยชิดะสอน แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความทุกข์ในอกมันจะลดทอนลงไปได้สักที ยิ่งคิดถึงพี่โยชิดะฉันก็ยิ่งทรมาน ยิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังกลายเป็นนักโทษของแบล็กสกอร์เปี้ยนที่รอวันถูกคนพวกนั้นตัดสิน ฉันก็ยิ่งอยากจะหยุดหายใจไปซะให้มันรู้แล้วรู้รอด และยิ่งรู้ว่าโทษของฉันคือการต้องแต่งงานกับไดสึเกะ ฉันก็ยิ่งเจ็บปวด
ถึงแม้ว่าข้อเสนอของไดสึเกะจะฟังดูเข้าท่า และฉันมั่นใจว่าถ้าฉันยอมตกลง เขาจะต้องยอมหาวิธีที่จะทำให้เราหย่ากันเร็วที่สุดได้แน่นอน แต่มันไม่มีเหตุผลที่ฉันจะยอมรับข้อเสนอบ้าๆ ของเขาเลยสักนิด เพราะนั่นจะต่างอะไรกับการที่ฉันยอมก้มหัวให้เขาล่ะ พี่โยชิดะต้องไม่พอใจแน่ถ้าฉันยอมทิ้งศักดิ์ศรีแบบนั้น
ก๊อกๆๆ
“หาทางหนีอยู่รึไง”
ที่เขามาเฝ้าฉันมันเป็นเพราะคำสั่งของโอยามะรึยังไงกันนะ หรือว่าเขาแค่กำลังมาหาวิธีฆ่าฉันเพื่อที่จะได้ไม่ต้องแต่งงานกับฉันอย่างแยบยลอยู่
“นามิ”
“คิดถึงฉันมากขนาดไม่เห็นหน้าสักห้านาทีนายจะอยู่ไม่ได้เลยรึยังไงไดสึเกะ” ฉันประชดใส่ก่อนจะยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ยืนสำรวจใบหน้าของตัวเองให้ถี่ถ้วนเพราะไม่อยากให้มีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่ ก่อนจะเปิดน้ำล้างมือเบาๆ
ฉันต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้!
ฉันย้ำประโยคนั้นซ้ำๆ กับตัวเองพลางสบสายตากับตัวเองอีกคนในกระจกเงา แผลที่ต้นแขนซ้ายแม้จะยังไม่ได้หายดีและยังรู้สึกปวด แต่คิดว่าต่อให้ไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ฉันก็คงไม่ตาย แต่ถ้าขืนยังทนอยู่ที่นี่ รอวันที่จะต้องแต่งงานกับไดสึเกะจริงๆ ฉันต้องตายทั้งเป็นแน่ๆ เพราะฉะนั้นฉันต้องหนีออกไปให้เร็วที่สุด
ก๊อกๆๆ
ไดสึเกะเคาะประตูเร่ง เสียงเคาะประตูทำให้ฉันสมาธิหลุดไปนิดหน่อย ก่อนจะเหลือบไปเห็นแจกันที่ตั้งอยู่ที่หน้ากระจก
ฉับพลันก็มีความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัว นั่นทำให้ฉันเอื้อมมือไปคว้าแจกันใบนั้นมาแล้วรีบหยิบดอกไม้ที่ปักอยู่ทิ้งใส่ถังขยะ ก่อนจะเดินลึกเข้าไปด้านในเพื่อหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กสำหรับเช็ดมือที่ฉันเห็นมันแขวนอยู่ที่ผนังออกมา
ก๊อกๆๆ
“นามิ”
บ้าฉิบ! เขาจะเร่งจนวินาทีสุดท้ายเลยรึยังไง ขอเข้าห้องน้ำแบบมีความสุขสักสิบนาทีก็ไม่ได้
ฉันคิดในใจ แต่มือกำลังสาละวนอยู่กับการห่อแจกันด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กนั่น ห่อเสร็จก็รีบฟาดมันกับผนังห้องน้ำสุดแรงเพราะฉันรู้ดีว่ามีเวลาไม่มาก ฉันต้องทำทุกอย่างด้วยสติ ถ้าขืนรีบร้อนเกินไป ทุกอย่างมันอาจยิ่งแย่ลงกว่าเดิม
“ฉันไม่ตลกนะนามิ”
ฉันหัวเราะอยู่รึไงล่ะ!
“นามิ!”
โครม!
แล้วประตูห้องน้ำก็ถูกพังเข้ามาตรงกับจังหวะที่ฉันกดชักโครกพอดี
“ทำบ้าอะไรของเธอ”
“โอ๊ย!” ฉันหลุดปากร้องเมื่อไดสึเกะเดินเข้ามากระชากแขนฉันแรงๆ เพราะแขนที่ว่าดันเป็นแขนข้างซ้ายที่ถูกเขายิง ฉันว่าแผนการของเขาน่าจะเป็นการทำให้ฉันทนพิษบาดแผลจากการถูกยิงไม่ไหวแน่ๆ เขาถึงได้คอยแต่จะซ้ำเติมที่แผลบริเวณนั้นตลอดทุกครั้งเลย
“ฉันถามว่าทำอะไร” น้ำเสียงตะคอกทำให้ฉันสะดุ้งนิดหน่อย แต่นี่เขาคิดว่าฉันจะบอกเขาจริงน่ะเหรอว่าฉันกำลังคิดจะทำอะไร
“ฉี่”
“อย่ามาโกหก”
“งั้นนายคิดว่าฉันทำอะไรฉันก็ทำไอ้นั่นแหละ”
“นามิ!”
“อย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉันเพราะฉันไม่ใช่ลูกน้องนาย ปล่อย!” ฉันร้องบอก แต่กลับถูกไดสึเกะลากออกมาจากห้องน้ำ ก่อนที่เขาจะผลักฉันลงกับเตียง
แต่มันไม่ได้มีฉากเรตเกิดขึ้นหลังจากนั้นหรอกนะ เพราะทันทีที่ฉันล้มลงบนเตียงผู้ป่วย สิ่งที่ไดสึเกะทำก็คือการจับฉันมัดแขนมัดขาเอาไว้ตามเดิมทันทีต่างหาก
งี่เง่า!
“อย่าคิดจะทำอะไรที่ทำให้ฉันเดือดร้อน” ไดสึเกะย้ำในขณะที่มือกำลังผูกเชือกมัดข้อเท้าของฉันติดกับเตียงแน่นๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนที่พยาบาลเป็นคนมัด ฉันรู้สึกว่าความยาวของสายรัดมันจะยาวกว่านี้พอให้ฉันสามารถพลิกตัวได้ด้วยซ้ำ
บ้าเอ๊ย เขาเล่นมัดซะแน่นแบบนี้แล้วฉันจะนอนตะแคงได้ยังไง ถึงฉันจะไม่ชอบนอนตะแคงเพราะมันทับแผลแต่อย่างน้อยก็พอจะแก้เมื่อยได้บ้าง
“อย่าพยายามเร่งให้ฉันหมดความอดทนกับเธอนามิ”
“คิดว่านายหมดความอดทนเป็นคนเดียวรึไงล่ะ โอ๊ย นี่ เบาๆ สิ ฉันเจ็บนะ!”
“ถ้ายังไม่เลิกตุกติก เธอจะเจ็บกว่านี้หลายเท่า” ไดสึเกะคาดโทษ ก่อนจะเดินอ้อมมามัดข้อมือฉันอีกข้างด้วยความรวดเร็ว สุดท้ายฉันก็กลับมาเป็นนักโทษที่ถูกมัดแขนมัดขาติดกับเตียงตามเดิมจนได้
ฉันนอนนิ่งไม่ขยับเพราะรู้ดีว่าป่วยการจะต่อรองหรือพูดอะไรออกไป และบอกตามตรงว่าเริ่มชินแล้วกับการต้องถูกมัดอยู่แบบนี้ ดีเหมือนกัน ระหว่างที่ต้องนอนนิ่งๆ ฉันจะได้คิดหาทางออกไปจากไอ้ปัญหาบ้าๆ นี่โดยไม่มีใครสงสัย
“อ้าปาก”
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ไดสึเกะยื่นช้อนที่เขาเพิ่งจะตักซุปมาจ่อที่ปากอีกรอบ เดาว่าเขาคงไล่พยาบาลออกไปแล้วเหมือนเคย และคงรู้ด้วยว่าฉันคงไม่ยอมกินง่ายๆ ถึงได้ทำท่าจะเทกรอกปากฉันอยู่แบบนี้
ฟุ่บ!
แล้วฉันก็หันหน้าออกมาอีกทางในทันทีโดยไม่คิดจะเสียเวลาพูดหรือเถียงกับเขาให้วุ่นวาย ไม่กินก็คือไม่กินนั่นแหละ แหกปากใส่หูเขา เขาก็ไม่เข้าใจหรอก
“นับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่หันกลับมา จากที่จะเทกรอกทีละช้อน ฉันจะกรอกทีเดียวหมดถ้วยเลยจริงๆ”
ฉันได้ยินไดสึเกะพูดขู่ แต่คำขู่ของเขาไม่ได้ทำให้ฉันคิดจะสนใจเขาเลยสักนิด เพราะตอนนี้สายตาของฉันกำลังเพ่งมองไปที่ต้นแขนด้านซ้ายของตัวเองที่เหมือนมันจะมีเลือดไหลซึมออกมา แย่แล้วสิ!
ต้องเป็นจังหวะที่ฉันถูกเขากระชากในห้องน้ำเมื่อครู่นี้แน่ๆ เพราะตอนนั้นฉันเองก็รู้สึกว่าเจ็บมากและตอนนี้ก็ยังเจ็บอยู่ด้วย แต่ที่กำลังเพ่งมองมันไม่ใช่เพราะอยากให้เขามาสงสารหรือเห็นใจหรอก ฉันกำลังเพ่งมองมันแล้วคิดอยู่ว่าจะทำยังไงไม่ให้เขาเห็นต่างหาก
เคร้ง!
“บ้าฉิบ!”
เสียงช้อนตกกระทบขอบถ้วยดังขึ้นก่อนที่ไดสึเกะจะวางถ้วยซุปกลับลงในถาดแล้วรีบเดินอ้อมมาที่อีกด้านหนึ่งของเตียงทันที เดาว่าเขาคงสังเกตเห็นแล้วว่ามีเลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากบาดแผลของฉัน
“อย่ามายุ่ง” ฉันบอกแล้วรีบขยับตัวหนีเมื่อไดสึเกะเอื้อมมือมาถลกแขนเสื้อขึ้น แต่ว่าฉันจะหนีไปไหนได้พ้นในเมื่อร่างกายไม่ได้เป็นอิสระ
“อย่ามาอวดดี แล้วก็หยุดดิ้นด้วย”
“ก็บอกว่าอย่ามายุ่งไงล่ะ”
“ถ้ายังเถียงอีกคำ ฉันจะขึ้นไปคร่อมเธอบนเตียง” ไดสึเกะพูดเสียงเรียบพลางช้อนตามองฉันด้วยสายตาหงุดหงิดรำคาญ
ฉันกัดฟันกรอด สองมือกำแน่นอย่างรู้สึกขัดใจแต่ก็ทำได้แค่นอนนิ่งตามที่ไดสึเกะต้องการ เขาจ้องหน้าฉันอยู่สักพักจนมั่นใจว่าฉันยอมสงบลง เขาถึงได้ถอนหายใจใส่ก่อนจะเดินอ้อมกลับมาที่อีกฟากหนึ่งของเตียงเพื่อกดอินเตอร์คอมเรียกพยาบาล
“ห้อง 1212 ด่วน”
น้ำเสียงกระแทกกระทั้นแบบนั้นบ่งบอกถึงระดับความหงุดหงิดของเขาได้ดี เพียงแต่ฉันไม่แน่ใจว่าเขาหงุดหงิดกับฉัน กับพยาบาล หรือกับทุกอย่างในตอนนี้ที่ฉันเองก็รู้สึกว่ามันขวางหูขวางตาไปหมด
ไม่นานพยาบาลก็เดินเข้ามา ไม่สิ ต้องเรียกว่าเกือบจะวิ่งเข้ามาเลยก็คงไม่ผิดนักเพราะคำว่าด่วนที่ไดสึเกะเน้นผ่านอินเตอร์คอมไปเมื่อครู่
“ที่แผลมีเลือดออก” ไดสึเกะยังคงพูดเหมือนไม่เต็มใจ และยังยืนอยู่ไม่ไกลจากเตียงเท่าไหร่นักทั้งที่ฉันคิดว่าเขาน่าจะกลับไปนั่งที่ เกะกะ!
“ขอดูแผลหน่อยนะคะคุณนามิ เจ็บมากมั้ยคะ”
“ไม่ โอ๊ย!”
บ้าจริง! จับแรงขนาดนั้นจากไม่เจ็บก็กลายเป็นเจ็บน่ะสิ
“ขอโทษค่ะ แต่ดูเหมือนแผลจะปริ เดี๋ยวดิฉันขอทำความสะอาดก่อนแล้วจะรีบตามคุณหมอมาเช็กให้นะคะว่าต้องเย็บแผลใหม่รึเปล่า” พยาบาลคนนั้นอธิบาย เธอหน้าเสียไปตั้งแต่ที่ฉันร้องโอ๊ยเมื่อครู่แล้ว
“ไม่ต้อง แค่ทำความสะอาดก็พอ”
“ฉลาดกว่าหมอทำไมไม่เปิดโรงพยาบาล”
ฉันบอกแล้วว่าเขาควรจะกลับไปนั่งที่โซฟา ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!
“เธอน่ะ ไปตามหมอมา”
“ไม่ต้อง” ฉันรีบแย้งเมื่อไดสึเกะออกคำสั่งให้พยาบาลที่ยืนอยู่ที่ปลายเตียงเดินออกไปตามหมอ
“ไปสิ มองอะไร”
“ก็บอกว่าไม่ต้องไง ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“ฉันไม่ได้เป็นห่วงเธอ แต่ฉันเป็นห่วงตัวเอง ถ้าเธอเป็นอะไรไป คิดว่าไอ้โอยามะมันจะทำยังไง หรือคิดว่ามันจะเก็บพยาบาลพวกนี้ไว้รึเปล่า บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าทำให้เรื่องมันยุ่งกว่าเดิมน่ะ” ไดสึเกะโวยวายเสียงดัง ทุกคำพูดของเขาทำให้ฉันต้องเงียบลงอย่างจนใจจะโต้แย้ง ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าของพยาบาลคนนั้นรีบวิ่งออกไปตามหมอทันที
ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นความผิดของฉันหรือไดสึเกะ ซึ่งพอฉันเงียบลง ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายเองจะเงียบลงเหมือนกัน ดีเหมือนกัน ฉันก็ไม่อยากจะได้ยินเสียงของเขานักหรอก แต่ไม่พูดแล้วก็ช่วยไม่ต้องหันมามองด้วยไม่ได้รึไงล่ะ
“เดี๋ยวขอล้างแผลก่อนนะคะ” พยาบาลที่ยืนอยู่ข้างเตียงของฉันตั้งแต่แรกกระซิบบอกเมื่อเธอคงไม่กล้าเสียงดังกว่านี้เพราะไดสึเกะมองตาขวางอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถึงจะไม่เต็มใจ แต่เคยปฏิเสธได้ซะที่ไหนล่ะ สุดท้ายฉันทำได้แค่พยักหน้าตอบกลับไปก่อนจะปิดเปลือกตาลงพร้อมกับกำมือแน่นแล้วบอกตัวเองให้อดทน
ฉันเกลียดการทำแผลมาตั้งแต่เด็ก เกลียดหมอ เกลียดโรงพยาบาล เกลียดกลิ่นยาฆ่าเชื้อ เกลียดเข็มฉีดยา เกลียดการกินยา เกลียด...
“ถอยไป”
ฉันลืมตาขึ้นมองอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเหมือนไดสึเกะเดินเข้ามาใกล้ ซึ่งก็จริง เขาไล่พยาบาลที่ยืนอยู่ด้านขวาของเตียงออกไปแล้วเสนอหน้ามายืนแทนทำไมก็ไม่รู้?
หมับ!
“นี่”
“อย่าเรื่องมาก กลัวก็ยอมรับว่ากลัว แค่ล้างแผล ไม่ตายหรอก” ไดสึเกะดุใส่เมื่อฉันพยายามจะไล่เขาออกไป แต่จะไม่ให้ไล่ได้ยังไงในเมื่อเขาไม่ได้แค่เข้ามายืนใกล้เฉยๆ แต่ยังพยายามจะจับมือฉันอีกด้วย
“อย่ามาจับมือฉัน!”
“คิดว่าอยากจับนักรึไง แล้วทีหลังหัดตัดเล็บซะบ้าง เวลากำมือแน่นมันจะได้ไม่จิกเนื้อตัวเอง เป็นมาโซคิสม์รึไง”
“นี่นาย...”
“ล้างเร็วๆ สิ มองอะไรกันอยู่ได้ แอลกอฮอล์น่ะปาดๆ ไปเยอะๆ เผื่อเชื้อโรคมันตายยาก เดี๋ยวเชื้อมันขึ้นสมองก็เดือดร้อนกันหมด”
เขาเป็นบ้าอะไรของเขากันนะ!
“ปล่อย”
ตุ้บ!
“ล้างแผลไป เสร็จแล้วบอก ก่อนที่ฉันจะบีบคอยัยนี่ให้โอยามะมันไล่ออกตั้งแต่หมอยันคนกวาดพื้น เร็ว!” ไดสึเกะตะคอกบอกพยาบาลที่กำลังตกใจกับการที่อยู่ๆ เขาก็โน้มตัวเองลงมาจ้องมองใบหน้าของฉันในระยะประชิด มือทั้งสองข้างของเขาจับอยู่ที่มือของฉัน พยายามจะทำให้ฉันกางมือออกเพื่อจะสอดประสานนิ้วมือของเขาลงมา ซึ่งถึงฉันจะพยายามกำมือแน่นยังไงก็สู้แรงเขาไม่ได้อยู่ดี
สุดท้ายเขาก็จับมือฉันเอาไว้แล้วบีบแน่นจนฉันต้องนิ่วหน้า นอกจากนั้นแล้วสายตาที่เขามองมาทั้งที่ใบหน้าของเขาอยู่ห่างจากฉันแค่ไม่กี่เซนติเมตร ก็พลอยทำให้เรี่ยวแรงในการดิ้นของฉันหายไปหมด จะไล่ก็ไล่ไม่ได้เพราะไม่กล้าเปล่งเสียง แค่หายใจแรงๆ ใส่หน้าเขายังไม่กล้าพอจะทำ
“อ่านป้ายตรงทางเข้าไม่ออกเหรอไดสึเกะว่าที่นี่โรงพยาบาล ไม่ใช่โรงแรม”
นั่นเสียงโอยามะ!