ผี...ที่ไหนจะหล่อแรงเบอร์นี้
เขายืนกอดอกด้วยท่าทางดูดีอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานของเธอในระยะใกล้ สูงใหญ่จนรู้สึกน่าเกรงขาม ซ้ำยังจ้องมาด้วยแววตาลุ่มลึกตรึงสะกด
“ทำไมยังไม่กลับครับ” เขาถาม พลางขยับข้อมือเพื่อดูเวลาจากนาฬิกาโรเล็กซ์เรือนแพงที่ไม่ได้ยืมเพื่อนมา
มิรินทร์หลุบตาลงต่ำ ไม่กล้ามองหน้า ไม่กล้าสบตา ไม่รู้ว่าเธอควรเปลี่ยนจากกลัวผีมากลัวเขาดีไหม ทำไมมาไม่ให้สุ้มให้เสียง
“ผมถาม”
“กะ...กำลังจะกลับแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างลนลาน ยกมือสองข้างจับผมทัดหูอย่างประหม่า เตรียมจะกลับด้วยการกระชับสายกระเป๋าที่บ่า
ทว่าจู่ๆ ชายหนุ่มก็เปลี่ยนท่าทางจากกอดอกเป็นเท้าแขนลงบนโต๊ะ โน้มตัวเข้ามาใกล้คนที่ตอบไม่ตรงคำถาม
“ผมถามว่าทำไมยังไม่กลับ”
น้ำเสียงของเขาไม่ได้คุกคาม แต่ทำไมใจเธอถึงเต้นโครมครามด้วยความแรงระดับนี้ก็ไม่รู้ แรงจนแทบจะทะลุออกมาเต้นให้เขาดู
เธอไม่กล้าขยับตัว ได้แต่นั่งนิ่งยิ่งกว่าโดนผีอำซะอีก
“ว่ายังไงครับ” เขาเลือกใช้เสียงทุ้มต่ำลงอีกระดับ
“เอ่อ...คือ...” มิรินทร์อึกอัก จะกล้าบอกได้ยังไงว่าแอบใช้คอมพ์บริษัททำงานส่วนตัว มือบางที่วางอยู่ใต้โต๊ะเริ่มลูบกระโปรงไปมาอย่างประหม่า จะโกหกก็ไม่กล้า
ปลายฉัตรไม่ละสายตาจากใบหน้าหวานที่กำลังก้มลงอย่างคนมีพิรุธ สายตาหลุกหลิกคล้ายกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก เขาแทบกลั้นยิ้มไม่ไหวเมื่อเห็นเธอทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนั้น
มันน่ารักดี...เหมือนหมา น่าแกล้ง!
“ผมจะให้คุณช่วยแก้ข้อมูลนิดหน่อย ได้ไหมครับ รีบกลับรึเปล่า”
“...ได้ค่ะ” ถือซะว่าเป็นการทำงานเพื่อชดเชยที่แอบใช้ทรัพยากรบริษัทก็แล้วกัน
ชายหนุ่มเดินอ้อมเข้ามาด้านใน เว้นระยะใกล้ไว้ประมาณหนึ่ง ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนออกมาแล้วเปิดไปยังหน้าข้อมูลที่จะให้เธอช่วยแก้ไขใหม่ลงในไฟล์เก่าที่มีอยู่ในเครื่อง
มิรินทร์เอียงคอไปมองตาม สมาธิแตกซ่านกับความใกล้ในระดับที่ได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายจากเขา เป็นกลิ่นอ่อนๆ ที่เธออธิบายไม่ได้ว่าชวนให้นึกถึงอะไร แต่เดาในใจว่าคงแพงมาก กลิ่นคนหล่อรวยมั้ง
“เปลี่ยนสเปกเรือนนี้จากสามสิบเก้ามิลลิเมตรเป็นสี่สิบนะครับ แล้วก็ตรงนี้ฝากแก้เป็นระบบโครโนกราฟ เรือนนี้เปลี่ยนเป็นเยลโลว์โกลด์...” ปลายฉัตรอธิบายให้ฟังโดยละเอียดขณะเอียงหน้าจอสมาร์ตโฟนให้เธอมอง เขาก้มลง วางท่อนแขนพักไว้ที่พนักเก้าอี้
ระหว่างนั้นก็อาศัยตำแหน่งสายตาที่อยู่สูงกว่าลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่กำลังตั้งใจฟังสุดฤทธิ์ นัยน์ตาใสจ้องแป๋วที่หน้าจอแทบไม่กะพริบ เขาอยากจะสะกิดแล้วถามเธอว่านี่ได้หายใจบ้างไหม ทำไมนิ่งได้ขนาดนี้
แต่เมื่อคิดทบทวนดีๆ ปลายฉัตรก็ยิ้มร้ายให้กับอาการที่เธอพยายามซ่อนไว้
เสียใจด้วย เขารู้ความลับเธอเข้าแล้ว และอันที่จริงงานนี้มันก็ไม่ได้เร่งด่วนอะไร แต่เขาอยากจะเร่งให้เสร็จภายในวันนี้...ใครจะทำไม!
มิรินทร์นั่งตัวเกร็งตลอดเวลาที่ชายหนุ่มอธิบาย จนกระทั่งเขาเข้าห้องทำงานไป กล้ามเนื้อในร่างกายของเธอก็ผ่อนคลายลง เอนหลังพิงไปกับพนักเก้าอี้อย่างปลงๆ
อยากจะบ้าตาย!
แค่อยู่ใกล้ผู้ชายที่แอบชอบทำไมทุกอย่างในร่างกายถึงได้รู้สึกเหมือนถูกแช่แข็งไว้ขนาดนี้ก็ไม่รู้ ทีตอนแอบชอบรุ่นพี่สมัยเรียนยังไม่เห็นเป็นหนักขนาดนี้เลย
กว่าจะดึงสติตัวเองกลับมาได้ กว่าจะเปิดคอมพิวเตอร์ กว่าจะเริ่มทำงานจริงๆ ก็กินเวลาไปหลายนาที ครั้นแก้ไขครบก็ต้องตรวจทานให้แน่ใจอีกอย่างต่ำสามรอบตามกฎเหล็กของเขา ปาเข้าไปหกโมงครึ่งทุกอย่างจึงเสร็จสิ้น มิรินทร์เหยียดแขนลดอาการเมื่อยล้า รู้สึกเหมือนจะหมดแรง คล้ายสมองแฮงก์ไปเล็กน้อย
อดทนอีกหน่อยก็ได้กลับบ้านแล้ว
อีกหน่อยที่ว่าคือการทำใจกล้าเดินเข้าไปหาเขาเพื่อ...ส่งงาน!
หญิงสาวเคาะประตูพอเป็นพิธี ก่อนจะเปิดเข้าไปตามปกติ ทว่าที่ไม่ปกติคือตอนนี้มันสลัวรางเพราะไร้ซึ่งแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ มีเพียงแสงสีอุ่นจากโคมไฟเหนือโต๊ะทำงานของเขาเท่านั้น บรรยากาศเงียบงัน ดูลึกลับยากจะอธิบาย ซ้ำชายหนุ่มยังนั่งหันหลังให้ แลเห็นเพียงพนักเก้าอี้สูงใหญ่สีดำบดบังตัวเขาไว้
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” เธอรายงานเสียงเบาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะวางเอกสารที่พรินต์มาใหม่ไว้บนโต๊ะ กำลังจะหันหลังเตรียมชิ่งกลับ แต่พอไม่เห็นเขาขยับก็เอะใจ
เป็นอะไรรึเปล่า...
“วางไว้ให้บนโต๊ะนะคะ” เธอพูดเสียงดังขึ้นกว่าเก่า
ทว่าเขาก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับมา
มิรินทร์ลังเล ก่อนความรู้สึกส่วนลึกในใจจะเป็นฝ่ายชนะ ว่าแล้วก็หยิบเอกสารขึ้นมา ทำใจกล้าเดินอ้อมโต๊ะตัวใหญ่เข้าไป กะว่าถ้ามีอะไรจะได้ใช้งานเป็นข้ออ้าง มือบางที่จับปึกกระดาษอยู่นั้นสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น
กระทั่งเห็นว่าเขาหลับอยู่ก็โล่งใจ เธอหยุดปลายเท้าไว้ตรงมุมโต๊ะ มองเขาใกล้ๆ ชายหนุ่มเอนไหล่พิงแนบไปกับพนักเก้าอี้ กอดอกไว้คลายๆ แม้แต่ตอนหลับใหลเขาก็ยังดูดีได้ขนาดนี้ นี่มันอันตรายกับใจเธอเกินไปแล้ว
เธอไม่เคยเห็นเขาในมุมนี้มาก่อน ดูอ่อนโยนกว่าตอนปกติที่เอาแต่ทำหน้าตาเคร่งขรึมชวนอึดอัดเป็นไหนๆ ซ้ำยังปลดเนกไท คลายกระดุมและพับแขนเสื้อขึ้นจนดูไม่เนี้ยบจัดเช่นที่คุ้นตา
แบบนี้ค่อยน่าเข้าหาหน่อย
“ท่านประธานคะ” เธอเรียกเบาๆ หวังปลุกให้เขาตื่น แต่เรียกอยู่สามรอบก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับ เขายังคงนิ่ง
หญิงสาวเม้มปาก อยากกลับบ้านก็อยาก แต่ก็เป็นห่วง กลัวเขาจะเป็นอะไรไป จึงตัดสินใจขยับตัวเข้าใกล้ พลางยื่นมือออกไปหมายจะแตะที่แขนเพื่อปลุกให้เขาตื่น
ทว่ายังไม่ทันสัมผัสโดนผิวขาวจัดของเขา น้ำเสียงทุ้มนุ่มและนัยน์ตาเข้มขลับก็ทำให้คนที่พยายามระแวดระวังสุดฤทธิ์สะดุ้งเสียจังหวะ
“ครับ...” อันที่จริงเขาไม่ได้หลับ แค่อยากแกล้งเพื่อรอดูว่าเธอจะทำยังไง
เพราะการเอี้ยวตัวไปผิดท่าผิดทาง หรืออาจจะเพราะส้นสูงที่ยังไม่คุ้นชินดีนักจึงส่งผลให้เรือนร่างบอบบางเสียการทรงตัวจนเซล้มไปด้านหน้า ไม่รู้อีท่าไหนเขาก็เคลื่อนเก้าอี้มารับไว้ได้ทันการณ์ ไม่เช่นนั้นเธออาจล้มหน้าคว่ำพื้นเอาได้
มิรินทร์ตกใจจนเผลอคว้าแขนเขาไว้แน่น แน่นิ่งไปหลายวินาที ก่อนสติจะกลับมา
“...ขอโทษค่ะ แค่จะปลุกนะคะ” รีบแก้ตัวอย่างละล่ำละลัก
ก่อนผลักอกเขาเพื่อจะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง ทว่ารองเท้าส้นสูงและท่าทางผิดแปลกทำให้ไม่รอด ล้มใส่เขาซ้ำอีกรอบเต็มแรง คราวนี้ชายหนุ่มโอบเธอแน่นกว่าเก่า กระชับจนเข้าที่ กลายเป็นว่าตอนนี้เธอนั่งอยู่บนตักเขาโดยสมบูรณ์
“ระวังสิครับ” กระซิบบอกข้างหู
สุ้มเสียงของเขาอ่อนโยนจนคนฟังต้องหลับตาลง เกิดความรู้สึกหวิวไหวอยู่ข้างใน ชายหนุ่มจะรู้ไหมว่าเธอแพ้อะไรแบบนี้ เป็นวินาทีที่รู้สึกสู้ไม่ไหว
ปลายฉัตรมองเธอในระยะใกล้ ไล่สายตาสำรวจใบหน้าของคนที่เอาแต่แอบมองเขาทุกวัน มองเปลือกตาสีหวานเป็นประกายมุกแวววาวล้อแสงไฟ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเป็นเพราะระยะใกล้หรือเพราะอะไรที่ทำให้เขาตัดสินใจเชยคางเธอให้หันมา อยากมองให้เต็มตา
มิรินทร์ตกใจจนต้องลืมตาขึ้นมอง แล้วพอเห็นว่าเขาจดจ้องกันอยู่เธอก็ไปไม่เป็น นิ่งค้าง วางสายตาไว้ที่นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งเพิ่งมีโอกาสได้เห็นชัดเจนขนาดนี้ กฎแปดวินาทีน่าจะใช้กับเธอไม่ได้ผล เพราะคนที่ชอบเขาไปแล้วอย่างเธอนั้นหวั่นไหวตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้สบตา
แล้วทุกอย่างก็พร่าเบลอไปเมื่อชายหนุ่มขยับเข้าใกล้...
ประทับริมฝีปากลงแตะต้องกัน
พลันนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเอง วูบวาบสั่นไหว สัมผัสที่เรียวปากสีหวานเด่นชัดจนเหมือนร่างกายส่วนอื่นไม่มีความรู้สึก ความนุ่มและอุ่นที่แนบสนิททำให้มิรินทร์คิดอะไรไม่ออก มือสองข้างกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว เกิดเสียงกระดาษยับตามแรงขยำ
ชายหนุ่มไม่ได้เคลื่อนไหว เขาเพียงสัมผัสเธออย่างแผ่วเบาเท่านั้น ก่อนผละออกเพื่อมองหน้าคนที่ยังนิ่งงัน ใบหน้าหวานมีสีสันขึ้นจนน่ามอง
มิรินทร์จ้องเขาไว้อย่างนั้นราวกับหล่นลงไปในภวังค์ แววตาคู่คมลึกล้ำจนเธอหลงคว้างเข้าไปในนั้น อยากมองให้นานกว่านี้ มองแววตาที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน อ่อนโยนจนคิดว่ากำลังฝันไป
ลืมสถานะเจ้านายและลูกน้องไปชั่วขณะ
ก่อนจะค่อยๆ ขยับเข้าหากันอีกครั้งราวกับมีบางอย่างเรียกร้อง กระทั่งริมฝีปากต่างสีต้องกันในที่สุดก็ฉุดทุกความรู้สึกให้ดิ่งลึกลงไปภายใต้การจูบอย่างเต็มใจ
ชายหนุ่มกดน้ำหนักลงยั่วเย้า แล้วเขาก็ใจชื้นขึ้นเมื่อเธอตอบสนองคืนมาเป็นการขยับไหวไปตามจังหวะปลุกเร้า ตอบรับเขาอย่างน่าพอใจ
มิรินทร์ไม่เหลือความรู้สึกส่วนไหนให้ตัวเองต่อต้าน เมื่อเรียวปากที่เคยตักเตือนเธอมาตลอดสัปดาห์นั้นกำลังกดเข้าหากันอย่างอ่อนหวาน ซ่านจนแทบจะละลายอยู่ในวงแขนของชายหนุ่ม ตัวตนภายในของเธอเบาบางลงจนเหมือนไม่มีอยู่ ปลิวหายไปกับพายุอารมณ์หวิวไหว
ปลายฉัตรลูบฝ่ามือขึ้นมาตามเรียวแขนเปล่าเปลือยของเธอ ไล้ปลายนิ้วคลึงเบาๆ บีบสลับคลายจนหญิงสาวต้องห่อไหล่ให้แก่อาการซ่านหวามที่เกิดขึ้น
ก่อนเธอจะหลุดสะอื้นออกมาเป็นเสียงหนึ่งเมื่อเขาเผยอเรียวปากแล้วเม้มเข้าอย่างเย้ายวน มือบางกำแน่นจนกระดาษยับเสียทรง เธอพยายามอดทนกับแรงดูดดื่มเร่าร้อนที่เขามอบให้ สั่นไหวจนไม่รู้ว่าจะผ่านความรู้สึกนี้ไปได้ยังไง
ชายหนุ่มผ่อนแรงดูดดึงลึกซึ้งลงเมื่อรับรู้ว่าเธอไม่ไหว ก่อนเปลี่ยนไปสู่อะไรที่นุ่มนวลเคลิบเคลิ้ม
แล้วเธอก็ตกลงไปในหลุมพรางอันอ่อนหวานที่เขาวางไว้ ไหลไปตามความรู้สึกน่าลุ่มหลง มือบางคลายลงจนกระดาษหลายแผ่นปลิวตกเกลื่อนพื้น
จะฝืนยังไงไหว กับคนที่มีใจซ้ำยังมาจูบให้หวั่นไหว นาทีนี้เธอเองก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาก่อกำแพงทัดทานความรู้สึกแสนอันตรายของตน
ว่ากันว่าหลังจูบ...จะมีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไป
เธอรู้สึกเหมือนได้เข้าใกล้เขากว่าทุกครั้ง
ปลายฉัตรเองก็ไม่ได้ยับยั้งชั่งใจ เขาปล่อยให้อารมณ์นำพา ไม่เคยรู้เลยว่าจูบไร้เดียงสาของผู้หญิงจะให้ความรู้สึกที่เกินบรรยายขนาดนี้
สวยงามบนความนุ่มนวล
ชวนให้อยากค้นลึกลงไป
แต่ก็พอใจหยุดไว้แค่เท่านี้...
ชายหนุ่มกดน้ำหนักส่งท้าย ก่อนคลายทุกอย่าง ผละออกเพื่อมองสบตาคนที่ยังงงงัน
แววตาเธอไหวสั่น ไม่มั่นคง สองมือที่วางไว้บนส่วนหนึ่งส่วนใดของเขานั้นบีบแน่น
มันเป็นจูบที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ เขาได้จูบแรกของเธอไป ในขณะที่เธอเป็นจูบที่เท่าไหร่ของเขาก็ไม่รู้ และดูเหมือนว่าคงไม่ใช่จูบสุดท้าย
...ชายหนุ่มก็แค่เผลอไป
ปลายฉัตรมองอาการสับสนของคนบนตักแล้วอยากจูบเธออีกครั้งเพื่อปลอบโยน
“อย่าค่ะ” มิรินทร์ค้านเสียงแผ่ว พลางเบี่ยงหน้าหนี
แล้วคนที่รู้ดีว่าเธอกำลังรู้สึกยังไงก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็นการประทับเรียวปากที่หน้าผากเธออย่างนุ่มนวล
สัมผัสอ่อนโยนจนเธออยากร้องไห้ ได้แต่หลับตาพริ้มลง รู้ว่าเขาคงแค่เตลิดไปตามอารมณ์
ชายหนุ่มกอดเธอไว้อย่างนั้นเนิ่นนาน ต่างคนต่างกำลังจัดการอารมณ์ของตัวเอง เข็มนาฬิกาที่ข้อมือเขายังคงเดินไปตามจังหวะสม่ำเสมอ แล้วเธอก็เป็นฝ่ายเริ่มขยับไหว เพียงลืมตามาเจอว่าเขามองกันอยู่ด้วยแววตามากความหมาย ใจเธอก็สะดุด รีบหลุบตาลงต่ำ
“เอ่อ...คือ...เรา...” มิรินทร์เอ่ยเสียงสั่น แม้รู้ว่าเขาเกลียดคนไม่มั่นใจ แต่โดนจูบไปขนาดนี้จะไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ไม่เป็นลมไปก็บุญแล้ว
“เราจูบกัน” เขาต่อประโยคให้ ยิ้มร้ายที่เห็นเธออายขนาดนั้น
ม่านตาของคนฟังขยายวาบกับคำพูดตรงประเด็นนั้น “แค่...เผลอไปใช่ไหมคะ” เธอทำท่าจะลุกขึ้นจากตักอุ่น ทว่าเขายังไม่ยอมคลายอ้อมกอด “ปล่อยก่อนค่ะ ขอ...ขอโทษด้วยนะคะ”
“ขอโทษทำไม” โยนคำถามให้เธอด้วยเสียงขรึมอันเป็นเอกลักษณ์
เธอส่ายหน้าด้วยคิดหาคำพูดอื่นใดไม่ได้ คำขอโทษกลายเป็นคำติดปากไปแล้วตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มันจึงถูกงัดมาใช้แม้ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นยามนี้ หรือเธอควรทุบตี หรือตบ หรือทำอะไรดี...เธอคิดไม่ออก ก็เขาไม่ได้บังคับ แถมเธอเองก็เผลอไผลร่วมใจไปด้วยซ้ำ จะไปทำร้ายเขาก็คงไม่ใช่เรื่อง
ปลายฉัตรรู้ว่าควรขอโทษที่ล่วงเกินเธอ แต่ไม่รู้ทำไมเขาจึงไม่รู้สึกในทำนองนั้นเลยสักนิด ส่วนลึกในจิตใจบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องผิด คิดเข้าข้างตัวเองอย่างหน้าไม่อาย
มิรินทร์ห่อไหล่เข้าเมื่อเขาวนปลายนิ้วโป้งแผ่วเบาที่ต้นแขน
“เอ่อ...งานค่ะ” พยายามดึงความสนใจเขาออกไปให้ห่างตัว พลางมองลงไปที่กระดาษเอสี่ซึ่งกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น
“ช่างมัน” เขาตอบอย่างไม่สนใจ เพราะมีอะไรที่น่าสนใจกว่าอยู่ตรงหน้า
ครานี้เธอช้อนสายตาขึ้นสบกับเขาชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงเริ่มผลักไหล่แกร่งเป็นเชิงเรียกร้องให้ปล่อย
ชายหนุ่มจึงยอมล่าถอยแต่โดยดี ช่วยประคับประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืน ซึ่งเธอรีบถอยหนีทันทีที่ยืนทรงตัวได้
ปลายฉัตรขัดใจที่เธอทำท่าทางคล้ายกลัวกันแบบนั้น พลันก็ก้าวเท้าเข้าใกล้ ต้อนเธอให้จนมุม แล้วจ้องวงหน้าใสที่เอาแต่ก้มหนีสายตาเขา
เธอไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหน ส่ายมองไปทั่วพื้นสีอ่อน ก่อนจะต้องตาค้างเมื่อเขายกมือจับช่อผมทัดหูให้อย่างอ่อนโยน
“ให้ผมไปส่งนะ” ชายหนุ่มเว้าวอนเสียงนุ่ม
“คือ...เอ่อ...”
เธอยังตั้งหลักไม่ได้ ใจเย็น!
--------------------------
ใช่ค่ะ! เขียนใหม่หมด
ปรับทุกอย่าง ล้างบางสุด!!!
ขยันและว่างมากกกก (กัดฟันพิมพ์)
สำหรับ 5 บทที่ผ่านมา = บทที่ 1 ของ ver. เดิม
ขอโทษที่เพิ่มมาเยอะขนาดนี้
นี่มีผู้เหลือรอดไปกับเรากี่ทั่นคะ
ไม่ใช่เทหมดละนะ 555+
มารอดูทั่นแรดอย่างมีระดับก่อนนน