2
ผมไม่ชอบพูดซ้ำ
การทำงานวันแรกของมิรินทร์ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีไม่มีปัญหา (ถ้าไม่นับว่าเจ้านายเป็นปัญหาน่ะนะ)
วันนี้พี่ริศายังไม่ได้ให้เธอทำอะไรยากมาก นอกจากรับผิดชอบงานเล็กๆ น้อยๆ ตามคำสั่ง อย่างการพิมพ์จดหมาย คีย์ข้อมูล นำเอกสารไปยื่นแผนกต่างๆ วิ่งไปส่งของให้เมสเซนเจอร์ หรือพิมพ์อีเมลตอบคู่ค้าต่างประเทศตามบรีฟ ซึ่งเอาจริงๆ เธอคิดว่าหน้าที่นี้ไม่ได้ต้องการคนที่มีความสามารถเฉพาะด้านอะไรมากนัก เน้นหนักไปทางถึกและทนเช่นเธอมากกว่า เพราะเป็นงานจุกจิกที่อาศัยความขยันและความละเอียดรอบคอบเป็นสำคัญ เรียกให้สั้นก็ ‘GB’ ที่มาจาก ‘เจเนอรัลเบ๊’ นั่นเอง
ปกติเวลาเลิกงานคือห้าโมงครึ่ง แต่เพราะมิรินทร์ต้องอยู่ชดเชยตามคำสั่งที่เจ้านายลั่นวาจาไว้ เธอจึงนั่งพิมพ์ร่างจดหมายอันเป็นงานในส่วนของวันพรุ่งนี้รอเวลา ส่วนสาริศากลับไปแล้วเนื่องจากติดธุระสำคัญ
เมื่อช่วงเช้าหลังออกจากห้องเย็น พี่ริศาก็ซักใหญ่ว่าเธอไปสะกิดโดนปุ่มไหนของเจ้านายหนุ่มเข้าจึงโดนแกล้งเอาได้ เธอเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เพราะน่าจะสะกิดไปหลายปุ่มอยู่เหมือนกัน ไม่งั้นเขาคงไม่นึกอยากดื่มกาแฟขึ้นมากะทันหันขนาดนั้น ทำเป็นต้องการกาเฟอีนด่วนในสิบห้านาที แต่พี่ริศาเพิ่งมาเฉลยกับเธอว่าปกติเขาดื่มกาแฟช่วงสาย ซ้ำยังลงไปซื้อเองได้ไม่ต้องพึ่งใคร แล้วนี่ทำไมโยนมาให้เธอ แต่เอาเถอะ! เป็นหน้าที่ก็ต้องทำ
กระทั่งเข็มนาฬิกาบอกเวลาเคารพธงชาติ มิรินทร์ก็เร่งจัดการงานให้เสร็จโดยไว เซฟไฟล์ ปิดคอมพิวเตอร์ เช็กสวิตช์ไฟให้เรียบร้อย พร้อมเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน ถึงขั้นสะพายกระเป๋าและลุกขึ้นยืนจัดกระโปรงแล้ว
แต่พอเห็นปลายฉัตรเปิดประตูออกมาพอดิบพอดีเธอก็นั่งลงคืนทันที ยังไม่กลับตอนนี้ก็ได้ อย่างน้อยก็รอให้เขาไปก่อนคงจะเป็นอะไรที่สะดวกใจกว่า ยกเว้นว่า...
“กลับได้แล้วครับ”
นั่นเป็นประโยคคำสั่งใช่ไหม
“...ค่ะ” เธอตอบรับสั้นๆ อย่างลูกน้องที่เชื่อฟังเจ้านายเสียเต็มประดา เดินตาม โดยทิ้งระยะห่างจากเขาหลายก้าว
เรื่องที่เขาไม่ใช้ลิฟต์วีไอพีสำหรับผู้บริหารนั้นคาใจจนมิรินทร์เผลอหลุดปากถามสาริศา แล้วก็ได้คำตอบว่าเจ้านายไม่อยากแบ่งชนชั้นหรือสร้างสิทธิพิเศษมากนัก เนื่องจากมีพนักงานที่สแกนบัตรเข้างานไม่ทันมักชอบอ้างเรื่องรอลิฟต์นานกับฝ่ายบุคคลอยู่บ่อยครั้ง เขาจึงอยากทำให้ดูเป็นตัวอย่างว่าหากจัดสรรเวลาดีๆ ก็ไม่มีปัญหา และนั่นเองที่ทำให้เธอนึกชื่นชมเขาอยู่ในใจลึกๆ (ป.ล. ลึกมากกก)
ระหว่างรอลิฟต์ หญิงสาวอาศัยจังหวะนี้ลอบสังเกตเจ้านายหนุ่มจากทางด้านหลัง เขาดูดีตั้งแต่เส้นผมจดปลายเท้า ผมเผ้าจัดเป็นทรงด้วยแวกซ์เงางาม ตามเสื้อผ้าแทบไม่มีรอยยับ ตอนนั่งทำงานนี่ได้ขยับตัวบ้างไหม ทำไมเนี้ยบกริบขนาดนี้ ดูรองเท้าหนังนั่นสิ เงาวับเชียว
แล้วคนด้านหลังก็เผลอยื่นหน้าออกมาเล็กน้อย ทำจมูกฟุดฟิดเหมือนหมา กะจะดมว่าเขาใส่น้ำหอมกลิ่นอะไร แต่ยังไม่ทันได้กลิ่น ชายหนุ่มก็หันกลับมามองเธอเสียก่อน
เขารู้สึกไม่ปลอดภัย คล้ายกำลังโดนเธอนินทาในใจยังไงอย่างงั้น
พลันนั้นมิรินทร์ก็รีบดึงหน้าให้เป็นปกติ พร้อมเสตาหนีไปมองหลอดไฟบนเพดาน ทำไม่รู้ไม่ชี้ แล้วลิฟต์ก็มาพอดี แต่ที่ไม่ดีคือไม่มีใครมากับลิฟต์เลย
“เข้ามาสิครับ” ชายหนุ่มเรียกขณะกดลิฟต์รอคนที่ยืนทำท่ายึกยัก
หญิงสาวละล้าละลังเล็กน้อย ก่อนก้าวเข้าไปยืนชิดที่มุมหนึ่งของลิฟต์กว้าง เบียดเรือนร่างติดผนังเย็นเยียบของลิฟต์เอาไว้ เหตุการณ์เมื่อเช้าไหลวนเข้ามาตอกย้ำซ้ำอีกครั้งให้ได้อาย
ปลายฉัตรมองภาพสะท้อนเลือนรางบนผนังมันวาวของประตูลิฟต์แล้วแอบขำในใจ ทำไมเธอทำท่าเหมือนกลัวเขาขนาดนั้น มันควรเป็นเขารึเปล่าที่กลัวเธอ ผู้หญิงอะไร ไม่มีมารยาทแล้วยังปากจัดอีก
มิรินทร์กระชับกระเป๋าสะพายใบเก่งเข้ามาปิดเรือนกายส่วนหน้า รับรู้ได้ว่าเขากำลังมองสำรวจเนื้อตัวเธอผ่านผนังลิฟต์ ถึงจะไม่ได้สวยมาก แต่ก็สวยพอไปวัดไปวาได้ สวยในระดับที่ทำวินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอยแซวได้บ่อยๆ
“อะไรคะ?” เมื่อห้ามใจไม่ไหวก็เผลอถามออกไปอย่างลืมตัว
“ที่นี่ไม่มียูนิฟอร์ม ไม่ได้เคร่งเรื่องการแต่งตัว พรุ่งนี้คุณแต่งสบายๆ กว่านี้มาก็ได้ แต่ยังไงก็ขอให้สุภาพ ดูมีคลาสหน่อย” เห็นเธอแต่งตัวแบบนี้แล้วพานให้นึกถึงนักศึกษา เชิ้ตขาวเข้าคู่กับกระโปรงดำ ซ้ำใบหน้าหวานใสยังดูอ่อนวัยซะไม่มี
“ได้เหรอคะ?”
“ผมไม่ชอบพูดซ้ำ”
คนฟังสะดุดใจเล็กน้อยก่อนพยักหน้าช้าๆ ยอมรับในชะตากรรม ทำไมเขาชอบตอกหน้าด้วยถ้อยคำที่ทำให้รู้สึกจุกอยู่ร่ำไป ไหนพี่ริศาบอกว่าเขาเป็นคนสบายๆ ไม่เห็นจะสบายเลยสักนิด ตีลังกากลับหัวคิดก็มองไม่เห็นความสบายๆ มีแต่ผู้ชายเนี้ยบจัด เธอทำอะไรก็ดูเหมือนจะขัดหูขัดตาเขาไปเสียทุกอย่าง
กระทั่งเสียงสวรรค์ดังขึ้นช่วยชีวิต มิรินทร์ก็พุ่งตัวออกจากลิฟต์ไปในทันทีที่ประตูแยกออก ไม่บอกไม่กล่าวเจ้านายที่ยืนมองอย่างอึ้งๆ หน้าตึงกับความไร้มารยาทของพนักงาน
คนที่เร่งรีบจนลืมกล่าวลาเพิ่งรู้ตัว เธอหยุดชะงักก่อนจะหันหลังกลับมาสวัสดีโดยไว
“เอ่อ...” คำว่า ‘กลับก่อนนะคะ’ ถูกกลืนลงคอ
ก็ใครจะคิดว่าเขาจะเอาอกแน่นๆ มารับไหว้ขนาดนี้ สวัสดีแบบใกล้ชิดเหลือเกิน
ปลายฉัตรแทบผงะที่จู่ๆ เธอก็หยุดแบบไม่ให้สัญญาณ ซ้ำยังหันกลับมาในจังหวะที่เขาซึ่งเดินตามหลังอยู่ไม่ทันตั้งตัว ปลายคางเกือบแตะกับหน้าผากเธอ ส่วนมือเธอก็ประนมอยู่บนอกเขา
ช็อกกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนผละออก มองหน้ากันแบบประดักประเดิด ก่อนชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายถามเพื่อดึงสถานการณ์
“คุณ...กลับยังไง”
“เอ่อ...กะ...กลับบีทีเอสค่ะ” มิรินทร์เหลือบมองหน้าคนถามแวบหนึ่ง ก่อนหลุบตาลงพื้นแล้วตอบออกไป ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ก็กลายเป็นคนพูดติดอ่างไปได้
“อ๋อ...ครับ” เขาตอบรับสั้นๆ แล้วเดินผ่านหน้าเธอไปสแกนบัตรเพื่อออกจากอาคาร ไม่หันกลับมาอีกเลย
ทิ้งเธอให้ยืนงงกับคำถามซักไซ้แต่กลับตอบรับแบบขอไปที แล้วยังเดินหนีไปหน้าตาเฉย สาบานว่าเธอไม่เคยคิดเข้าข้างตัวเองถึงขั้นฝันว่าเขาจะไปส่งกัน ด้วยมันไม่เหมาะสมและแทบไม่มีทางเป็นไปได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ควรจบบทสนทนาด้วยอะไรที่ชัดเจนกว่านี้ไหม ทำไมมาปล่อยเธอค้างคากับคำพูดคำจาห้วนสั้นแบบนี้
ระหว่างเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ห่างออกไปประมาณสิบเสาไฟฟ้า ในระยะเสาที่สี่เธอก็เริ่มรู้สึกเหมือนถูกสะกดรอยตาม มิรินทร์เหลียวหลังไปมองก็ไม่พบใครน่าสงสัย ทุกคนดูปกติอยู่ในอิริยาบถของตัวเอง เธอจึงเดินต่อ พอผ่านเสาที่ห้าก็ยังรู้สึก คราวนี้จึงหยุดนิ่งแล้วหันกลับมาทั้งตัว
ชัวร์! พอเธอเดินมันก็เดิน พอเธอหยุดมันก็หยุด
เออ...นี่สินะ หญิงงามหมาก็ต้องตามเป็นธรรมดา
สบตากันอยู่สักพัก เจ้าสี่ขาก็เดินเข้ามาใกล้ ส่ายหางดี๊ด๊า ก่อนจะนั่งลงยันสองขาตรงหน้าเธอ จ้องขึ้นมาตาแป๋ว
หญิงสาวมุ่นคิ้วขณะสบตามัน แล้วมองไปรอบๆ เพื่อหาว่าใครเป็นเจ้าของ เพราะเห็นว่ามีปลอกคอ แต่พอไม่พบใครที่มองมาเธอก็วกสายตากลับมาจ้องที่ดวงตาใสเปล่งประกาย มันเอียงหัวซ้ายขวาอย่างน่าเอ็นดู
มิรินทร์เบิกตากว้างขึ้นเป็นคำถามว่าอะไร ทำไมทำเหมือนรู้จักกัน เธอเพิ่งมาทำงานวันแรก มั่นใจว่ายังไม่ได้ผูกมิตรกับเจ้าถิ่นแถวนี้สักตัว
ลูกหมาตัวสีขาวผงกหัวขึ้นสามที ส่งสายตาออดอ้อนและยังคงขยับหางไม่หยุด คนมองยิ้มมุมปาก รู้ดีว่าตนเสน่ห์แรงกับสัตว์สี่ขา เธอโน้มหน้าแล้วก้มตัวลง ยันมือไว้ที่หน้าขา ก่อนจะเริ่มคุยกับลูกหมาน่ารัก
“จะเอาอะไรฮะ รู้จักกันเหรอ”
แล้วมันก็เห่าตอบเธอ หญิงสาวจึงยิ้มกว้างให้กับความแสนรู้ หูสองข้างของมันตั้งขึ้น มีลายสีน้ำตาลพาดทับเป็นวงตรงส่วนที่เป็นดวงตาสองข้าง มองแล้วน่ารักเหมือนหมาใส่แว่น
มิรินทร์ใช้เวลาทักทายเพื่อนใหม่ ถามชื่อ ถามหาเจ้าของ ถึงมันไม่ตอบแต่ก็มีปฏิกิริยาเป็นอาการกระตือรือร้น
ไม่ได้รู้เลยว่าการกระทำทั้งหมดอยู่ในสายตาของใครบางคน คนที่นั่งอยู่ในรถสปอร์ตคูเปคันสีขาววาววับ
ปลายฉัตรมองผู้ช่วยเลขาฯ ที่กำลังคุยกับหมาข้างทางระหว่างเขาจอดติดไฟแดง แปลกใจที่เธอคุยได้เป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น แล้วเจ้าสี่ขานั่นก็ดูร่าเริงพอตัว
มองจากมุมนี้...ก็เป็นภาพน่ารักดี ผู้หญิงที่เป็นมิตรกับลูกหมา แต่เป็นภัยกับมนุษย์ป้า
ปี๊นนน...
ชายหนุ่มสะดุ้ง ดึงสายตากลับมาวางไว้ที่พวงมาลัยซึ่งมีโลโก้ห่วงวงกลมซ้อนกันสี่วง ก่อนจะเริ่มออกรถทันทีเมื่อพบว่าไฟเขียวมาหลายวินาทีจนพี่กระบะคันหลังบีบแตรไล่เสียงดังลั่น นึกขำตัวเองที่มัวแต่มองลูกหมาเพลิน...
---------------------------
ขอแหมมมมมมมมมมมม... ยาวๆ ไปถึงดาวพลูโต
มองหมาหรือมองม่านคะทั่น เอาดีๆ