จบ แต่งหญิงสืบคดีพิศวง
0
ตอน
624
เข้าชม
3
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
1
เพิ่มลงคลัง

Credit ภาพปก 

Image by Bruno from Pixabay 

 

บิดา คือ ผู้เลี้ยงดูบุตร ให้เติบโตมาเป็นบุคคลที่ประพฤติชอบในความดี หากบุตรกระทำผิดอันใด บิดาจำต้องสั่งสอนมิให้มันเกิดขึ้นอีกครา พระองค์ที่เป็นบิดรของมนุษย์ทุกคน แม้ว่าพระเยซูจะทรงไถ่บาปทั้งมวลให้แล้ว แต่หากยังประพฤติในกิเลส พระองค์จึงจำต้องฟาดไม้สั่งสอน จนกว่าวิญญาณนั้นจะบริสุทธิ์ พร้อมมาอยู่เคียงข้างท่านบนสวรรค์เมื่อสิ้นชีวา 

หากเกิดว่าบิดาได้กระทำความรุนแรงต่อบุตรเพื่อกระทำสั่งสอน อันเป็นความผิดต่อความเป็นมนุษย์ในทางกฎหมายบ้านเมือง เราจักสามารถตามจับพระองค์ได้อย่างไร เมื่อเราไม่มีทั้งหลักฐานที่แน่ชัด และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านมีตัวตนอยู่จริงไหม 

คดีดังกล่าวเกิดขึ้นในเมืองสักแห่งของอังกฤษ(ขอไม่ระบุสถานที่แน่ชัด) เมื่อปี ค.ศ. 1866 ผมมีชื่อว่า เซนท์ ลอร์เดน ทำอาชีพเป็นนักสืบเอกชน ตามปกติผมมักจะเลือกทำแต่คดียากๆอยู่แล้ว ทว่าครั้งนี้มันแตกต่างออกไป  

เรื่องมันมีอยู่ว่าช่วงนั้นในเมืองได้เกิดข่าวอุบัติเหตุพิศวงขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ผู้เคราะห์ร้ายทุกคนต่างเสียชีวิตด้วยเหตุบังเอิญที่ยากจะเชื่อถือ ยกตัวอย่างคดีของมิสเตอร์ โอ(ชื่อสมมุติ) พยานที่อยู่บนทางเท้าเดียวกับเขาบอกว่าเห็นชายวัยกลางคนถูกใบปลิวพัดเข้าใส่หน้า ก่อนจะเผลอเดินไปชนกับสุนัขจรจัดและคนอื่นใกล้ๆจนล้มไปอยู่ตรงขอบถนน มือของเขาถูกรถม้าคันหนึ่งที่ผ่านมาด้วยความเร็วสูงทับจนกระดูกหัก พอพยายามจะลุกเพื่อไปโรงพยาบาล ก็มีสายฟ้าผ่าเสาไฟบริเวณนั้นมาล้มใส่ที่กลางกระหม่อมเข้าพอดี 

มันน่าแปลกใจที่อุบัติเหตุมักจะเกิดขึ้นในวันจันทร์ เวลา 10 โมงเช้า ทุกครั้งไป ผมสงสัยจึงลองสืบประวัติของผู้เคราะห์ร้ายทุกคนดู ก็พบว่าพวกเขาเคยก่อคดีอาชญากรรมมาก่อนอย่างต่ำสุดก็ 2 ครั้ง ซึ่งเชื่อมโยงกับลักษณะการเสียชีวิตเพราะสามารถจำแนกเป็นกลุ่มได้อย่างชัดเจน อย่างหากลักขโมยส่วนมือจะบาดเจ็บหนัก หากก่อการทารุณกรรมจะถูกควักไส้ออกมา 

ผมเริ่มไม่คิดแล้วว่ามันคืออุบัติเหตุจริงๆ ความบังเอิญนี้มันเจาะจงเกินไปราวกับถูกวางแผนเอาไว้ ผมเดินทางตามสืบจุดเกิดเหตุต่างๆโดยอาศัยเส้นสายนิดหน่อยจากการช่วยทำคดีกับพวกตำรวจ ทว่ากลับไม่มีร่องรอยใดๆที่สื่อถึงการจัดฉากฆาตกรรมเลยแม้แต่น้อย  

ผมเลือกที่จะพุ่งความสนใจไปที่การสะกดรอยตามผู้เคราะห์ร้ายที่ยังมีชีวิตอยู่แทนเป็นเวลาอยู่ 2-3 วัน โดยเลือกจากคนที่มีคดีมากที่สุดและเพิ่งออกข่าวไปเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งก็ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ กระทั่งผมได้พบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนกำลังแอบตามเหยื่ออยู่จนถึงร้านอาหาร เธอแอบเล็มผมให้เหยื่อเลยเกิดเหตุปากเสียงเล็กน้อยก่อนที่พนักงานจะมาห้ามและให้เหตุผลว่าเด็กมันซนขออย่าถือสา พอเหยื่อทานอาหารเสร็จแล้วเดินออกไป เด็กผู้หญิงคนนั้นก็เข้าไปใช้นิ้วขูดเศษอาหารตรงช้อนแล้วถือจานไปส่งให้หลังร้านทำความสะอาด 

ผมลองสืบประวัติเกี่ยวกับเด็กคนนี้ดู ก็ได้พบว่าเธอเป็นเด็กกำพร้าซึ่งถูกรับเลี้ยงโดยบ้านอุปถัมภ์ของโบสถ์แห่งหนึ่ง อายุ 6 ปีไม่ค่อยรู้ประสีประสา เนื่องด้วยเหตุไฟไหม้ในอดีตส่งผลทำให้เธอไม่สามารถพูดได้เพราะสมองบางส่วนกระทบกระเทือน ผมตัดสินใจติดตามเธออยู่สักพัก แต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ จึงมีความเป็นไปได้ว่าเด็กหญิงอาจจะแค่ขี้เล่นเท่านั้น แต่ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อ 

หลายวันผ่านไปจนถึงจันทร์ ทางตำรวจได้ส่งคนไปคุ้มกันเหยื่อคนนั้นโดยพาไปที่สวนสาธารณะซึ่งเป็นที่โล่งแจ้งปลอดสิ่งอันตรายตามคำขอของผม อีกทั้งยังขอให้ประชาชนโดยรอบออกห่างจากบริเวณดังกล่าว คดีที่เหยื่อคนนั้นเคยก่อคือการทำร้ายร่างกายผู้อื่นถึง 2 ครั้ง ฉะนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นตอน 10 โมงเช้านี้ คือไส้ของเหยื่อจะถูกควักออกมา 

ผมยืนสำรวจบริเวณโดยรอบอยู่นานแต่ไม่เห็นวี่แววสักนิดว่าจะมีอะไรผิดปกติ ตอนนั้นผมคิดแล้วว่าคนร้ายน่าจะหมดหนทางและตัดสินใจที่จะปล่อยเหยื่อไปก่อน ทว่าพอถึง 10 โมง จู่ๆก็มีมีดเล่มหนึ่งล่วงลงมาจากฟ้าผ่าท้องของเหยื่อจนไส้ทะลักออกมา ผมตกใจแล้วมองขึ้นไป ก็พบกับฝูงอีกาที่เพิ่งบินผ่าน 

เหตุการณ์ฺนั้นเหยื่อไม่รอดถึงโรงพยาบาล ผมนั่งเครียดอยู่ในห้องทำงานหลายชั่วโมง หากนี้เป็นการฆาตกรรม คนร้ายจะต้องเป็นอัจฉริยะที่เชี่ยวชาญการวางแผนที่ซับซ้อนและแนบเนียนที่สุดในประวัติศาสตร์ 

ผมไม่ใช่คู่มือเจ้านั้นด้วยซ้ำ ราวกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นั้นคือพระเจ้า มันจะมีทางด้วยหรือที่มนุษย์ธรรมดาจะต่อกรกับพระองค์ได้ ทว่าในขณะที่ผมกำลังจะบ้าอยู่นั้น ก็ได้นึกย้อนไปหาเด็กสาวที่เป็นเบาะแสเดียวที่มี ผมเห็นเธอเล็มผมและขูดเศษอาหารของเหยื่อ ตอนนั้นเองที่ผมนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วเดินไปหยิบหนังสือนิยายเกี่ยวกับศาสตร์วูดูขึ้นมา 

เนื้อหาที่ผมต้องการนั้นอยู่ช่วงต้นเล่ม กล่าวถึงวิธีการสร้างตุ๊กตาวูดูที่จำต้องมีสามสิ่งอย่าง คือ 1. ขนจากเหยื่อ 2. ของเหลวจากเหยื่อ และ 3. ของจากบรรพบุรุษที่เสียชีวิตของเหยื่อ ถ้าหากก่อพิธีกรรมสำเร็จ ตุ๊กตานั้นจะเชื่อมโยงกับเหยื่อ และส่งผลความเสียหายหากมันเป็นอะไร 

อาจฟังดูเหนือจริง แต่พอเทียบกับคดีเองก็ไม่ต่างกันนัก ผมเริ่มตรวจสอบทีละอย่าง สิ่งแรกคือขนซึ่งหล่อนน่าจะได้จากตอนเล็มผม ส่วนของเหลวอาจเป็นน้ำลายซึ่งได้จากการขูดเศษอาหาร จะเหลือก็เพียงของชิ้นสุดท้ายที่ผมยังไม่แน่ใจนักว่าเธอไปขโมยถึงบ้านเหยื่อเลยไหม 

ผมต้องการข้อมูลมากกว่านี้ถ้าจะพิสูจน์ จึงตัดสินใจที่จะแอบติดตามเด็กสาวคนนั้นเพื่อหาคนร้าย เนื่องด้วยทั้งใบหน้า สัดส่วนร่างกาย และเสียงคล้ายผู้หญิง ผมเลยเลือกที่จะแต่งสลับเพศแล้วไปทำงานแม่เลี้ยงที่บ้านอุปถัมภ์เพราะหากการสันนิษฐานเป็นจริง ผมก็ไม่อยากจะให้ฆาตกรรู้ตัวว่าผมกำลังตามสืบอยู่ 

สองวันถัดมา ผมได้เข้าทำงานที่นั้นสำเร็จ เมื่อไปถึง บาทหลวงจอร์นก็เข้ามาต้อนรับแล้วพาผมไปพบกับบาทหลวงโรเบิร์ตที่กำลังดุพวกเด็กซน ผมใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงกว่าที่บ้านอุปถัมภ์จะกลับมาอยู่ในสภาวะสงบสุข ก่อนจะสังเกตว่าไม่เห็นตัวเด็กสาวที่ผมติดตามอยู่ที่นี้ แต่ก็พยายามสงบใจรอ ตอนนั้นบาทหลวงโรเบิร์ตเพิ่งซ่อมตุ๊กตาหมีให้กับเด็กสาวคนหนึ่งเสร็จพอดี 

ผมยิ้ม “ถึงตอนแรกจะดูดุๆ แต่ก็ใจดีเหมือนคุณพ่อเลยนะคะ” 

“ก็เป็นหน้าที่ของพ่อละนะ...” ท่านทำสีหน้าเศร้า ผมสังเกต  

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ? ท่านพ่อ” 

“เปล่า” ท่านบอก “พ่อแค่รู้สึกแย่ที่เด็กๆไม่มีครอบครัว ซ้ำร้ายยังต้องมาอาศัยอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี ถ้าเป็นไปได้พ่อก็อยากจะให้พวกแกได้เติบโตในชุมชนที่ดีกว่านี้” 

พอคุยกันเสร็จ พวกเราก็กลับไปช่วยกันทำงานบ้านต่อ  

กระทั่งเย็นนั้นเอง เด็กสาวที่ผมกำลังตามอยู่ก็ปรากฏตัว บาทหลวงโรเบิร์ตเข้าไปหาแล้วดุเธอพร้อมบอกชื่อให้ผมรู้คือ ‘เจนนี่’ เด็กสาวมีมือไม้สกปรก เล็บเองก็เต็มไปด้วยเศษขยะ ท่านพ่อจึงพาเธอไปล้างมือ 

ไม่นานนัก ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ได้เข้ามาเยี่ยมที่บ้านอุปถัมภ์ เขาเข้ามาแจกลูกกวาดให้กับพวกเด็กๆ แต่ก็ถูกบาทหลวงโรเบิร์ตห้ามไว้เพราะพวกเขายังไม่ได้ทานอาหารเย็น ผมสังเกตเห็นว่าเขามักจะชอบจับที่บริเวณบ่าและคอเสมอ ในคืนนั้นผมได้มารู้ทีหลังจากบาทหลวงจอร์นว่าเขาชื่อ คุณครูส เป็นผู้ประกอบการวัยเยาว์ซึ่งทำธุรกิจโรงงานผลิตผ้าฝ้ายขาย ท่านพ่อได้บอกว่าชายคนนี้เป็นผู้มีพระคุณของโบสถ์แห่งนี้ที่เกือบจะถูกทิ้งร้างและบ้านอุปถัมภ์ เพราะเขาเป็นคนที่เสนองานทำความสะอาดง่ายๆให้กับเด็กๆแลกกับการช่วยค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งบางครั้งเขาเองก็มาเยี่ยมที่นี้ด้วย 

วันถัดมา ผมได้รับหน้าที่ส่งพวกเด็กๆไปทำงานความสะอาดที่โรงงาน พวกเราเดินกันอยู่สักพักจนถึง ผมได้พบกับคุณครูสซึ่งมาต้อนรับที่หน้าโรงงาน เขาทักทายเพื่อพาพวกเด็กเข้า แต่ผมอยากที่จะสืบข้อมูลภายในนั้น เลยนึกย้อนกลับไปเมื่อวาน แล้วทักคุณครูสไปว่าเขาน่าจะกำลังมีปัญหาเมื่อยล้า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะตอบแทนที่ช่วยโบสถ์เล็กๆน้อยๆด้วยการนวดคอให้ที่ห้องทำงาน 

ตอนแรกเขาก็ทำท่าเกรงใจ แต่ผมรู้ดีว่าจะยืนกรานพวกผู้ชายอย่างไร สุดท้ายคุณครูสก็ยอมแล้วพาผมเข้าโรงงาน สิ่งที่สังเกตได้อย่างแรกคือพวกเด็กๆนั้นจะใส่ถุงมือหลากสีแตกต่างกันไปทุกคน คุณครูสให้เหตุผลว่าสีจะช่วยพวกเขาไม่เครียดกับงานมากจนเกินไป 

 ในขณะที่ผมกำลังนวดอยู่นั้น ผมก็เริ่มชวนคุณครูสคุยไปเรื่อยเพื่อตีสนิท น่ายินดีที่เขาชอบอ่านนวนิยายเหมือนกับผม พอชายหนุ่มเริ่มดูจะเชื่อใจ ก็เริ่มคุยถึงงานที่เขาทำ 

คุณครูสได้เล่าว่าตอนที่เด็กๆไม่อยู่ เขาก็มักจะทำความสะอาดที่เหลือด้วยตัวเองเสมอ ก่อนจะพูดถึงอุดมการณ์ของเขาว่า ตนนั้นต้องจะการช่วยเหลือพัฒนาชุมชนแห่งนี้ให้ดียิ่งขึ้น ผมได้ชื่นชมถึงความคิดนั้นและกล่าวว่าเขาคงจะรักที่นี้มาก 

คุณครูสเงียบสักพักก่อนจะตอบกลับ “ไม่เลย ตามจริงผมเกลียดที่นี้เสียด้วยซ้ำ แต่การย้ายออกไปเฉยๆ ผมคิดว่านั้นเป็นการกระทำที่ค่อนข้างขี้ขลาด ผมเข้าใจนะว่าบางคนก็ทนอยู่ที่นี้ไม่ไหวจริงๆ แต่สำหรับผมที่ยังพอมีความสามารถแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่นี้ให้เป็นที่ที่น่าอยู่แทนจะฟังดูเข้าท่ากว่า” 

พอนวดเสร็จ ผมก็กลับไปทำงานที่บ้านอุปถัมภ์ต่อ ก่อนจะกลับมารับพวกเด็กๆ ในคืนนั้นผมได้คิดวิเคราะห์ถึงสิ่งของชิ้นที่สามในการประกอบพิธีวูดู ตอนแรกผมคาดเดาว่าคนร้ายน่าจะหาของดังว่าจากสุสานที่นี้โดยจ้างสัปเหร่อ แต่พอตรวจสอบดูดีๆ ก็พบว่าเหยื่อบางคนไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี้มาก่อน แถมบางรายเคยมีประวัติหมดตัวจนไม่เหลือกระทั่งเสื้อจึงเป็นไปได้ยากที่จะมีของจากบรรพบุรุษติดตัว 

ผมตั้งคำถามกับตัวเอง สิ่งของใดที่ทุกๆคนมีจากญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว? ผมคิดอยู่นานก็นึกออก แล้วลองตรวจสอบดูเหยื่อที่มีประวัติการเปลี่ยนชื่อ ก็พบว่าทุกคนนั้นมีระยะการถูกชะลอการเสียชีวิตเหมือนกัน อย่างคดีหนึ่งของคุณเอ ที่สัปดาห์ก่อนหน้านั้นไม่มีอุบัติเหตุใดๆเกิดขึ้น ก่อนที่จะมาเสียชีวิตในอาทิตย์ต่อมา จึงคาดเดาได้ว่าการทำพิธีนั้นไม่สำเร็จเลยต้องเลื่อนออกไป ผมสรุปว่าของชิ้นที่สามนั้นก็คือนามสกุลของเหยื่อ แล้วส่งจดหมายลับไปหากรมตำรวจให้ช่วยสืบว่ามีนักสืบคนไหนที่ได้งานให้ตามค้นชื่อจริงของเหยื่อ เผื่อว่าจะได้เบาะแสอะไรมาบ้าง 

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมกลับไปทำงานตามปกติแล้วเผอิญไปเห็นบาทหลวงทั้งสองท่านกำลังคุยกันอยู่มุมหนึ่งแถวด้านนอกบ้านอุปถัมภ์ ดูเหมือนจะมีปากเสียงกันเล็กน้อยก่อนจะเงียบลง หลังจากนั้นตอนบ่าย ผมได้ไปเดินจ่ายกับบาทหลวงโรเบิร์ต แล้วพบกับบาทหลวงจอร์นที่กำลังยืนเทศน์ มีเพียงจำนวนคนหยิบมือหนึ่งเท่านั้นที่ฟังท่าน ผมคุยกับท่านพ่อถึงสิ่งที่เห็น แล้วท่านก็ตอบกลับมา 

“แม้ว่าความจริงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม แต่กระนั้นบาทหลวงจอร์นก็ยังดันทุรัง” 

คำพูดนั้นทำให้ผมเข้าใจว่าตอนที่บาทหลวงทั้งสองท่านคุยกันน่าจะเกี่ยวกับเรื่องรายได้ของโบสถ์ เนื่องด้วยเงินที่ได้ส่วนใหญ่มาจากน้ำพักน้ำแรงเด็กๆ ผมจึงคาดเดาว่าบาทหลวงโรเบิร์ตคงจะไม่พอใจแน่ๆที่บาทหลวงจอร์นกระทำอย่างนั้นเพียงเพื่อการเทศน์ที่ไร้ความหมาย 

วันต่อมา เจนนี่ก็แอบหนีไปเล่นข้างนอกอีกครั้ง ผมออกไปตามหาเธอเพื่อสะกดรอย ก็พบว่าเจนนี่นั้นกำลังตามผู้ชายคนหนึ่งอยู่ พอเข้าร้านอาหาร เธอก็ทำการแอบเล็มผมเขาและเก็บจานให้เหมือนครั้งที่ผ่านมา ก่อนจะเดินทางไปทำงานที่โรงงานตามเดิม ผมค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าการสันนิษฐานที่คิดไว้นั้นถูก และคนๆนั้นก็คือเหยื่อล่าสุด 

พอตกเย็นเมื่อผมพาพวกเด็กๆกลับเสร็จ ก็ลองตรวจสอบดูที่มือของเจนนี่ แล้วพบว่ามือของเธอยังสกปรกแต่เล็บนิ้วชี้กลับดูสะอาด ผมรู้โดยทันทีว่าเจนนี่ส่งของทำพิธีนั้นอย่างไร และคนร้ายคือใคร 

……. 

คืนนั้นในห้องทำงาน ผู้ชายคนหนึ่งกรอกน้ำใส่แก้วแล้วเดินไปที่โต๊ะ เขาควักของบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเทลงในภาชนะ ถัดมาจึงฉีกกระดาษเล็กๆแล้วเขียนข้อความบางอย่างหย่อนลงไป เขาควักตุ๊กตาขึ้นมาแล้วอาบมันด้วยน้ำในแก้ว 

ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตู ชายคนนั้นแปลกใจ เขารีบซ่อนอุปกรณ์ต่างๆไว้ในกล่องเหล็ก แล้วซุกไว้ใต้เตียง พอเดินไปเปิดประตู ก็พบกับผมในชุดนักสืบกำลังยืนรออยู่ 

คุณครูสถามผมว่าผ่านยามเข้ามาได้อย่างไร ผมเลยตอบไปตามจริงว่ามาจับกุมเขาพร้อมกับตำรวจ ชายหนุ่มทำท่ามึนงงไม่เข้าใจสถานการณ์ ผมจึงอธิบายโดยสรุปดังนี้ 

คุณครูสนั้นคือคนที่ผมคาดว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการเกิดคดีอุบัติเหตุที่ผ่านมา เขาใช้การประกอบพิธีกรรมวูดูในการสังหารเหยื่อ แต่การหาของมาทำด้วยตัวเองนั้นมีความเสี่ยงที่จะถูกสงสัย เลยจำเป็นต้องมีคนหาของมาให้ ทว่าการจ้างผู้ใหญ่มารับหน้าที่ก็มีความเสี่ยงที่เรื่องจะรั่วไหลได้ เลยต้องหาคนที่จะไม่ปากโป้งและควบคุมได้ง่ายอย่างเจนนี่ 

คุณครูสอาจจะหลอกเธอโดยใช้ข้ออ้างว่ามันเป็นแค่เกม เมื่อได้ของมาก็ให้ซ่อนไว้ในเล็บก่อนจะแคะออกขณะใส่ถุงมือ พอตกเย็น เนื่องด้วยคุณครูสจะต้องทำความสะอาดด้วยตัวเองเมื่อพวกเด็กๆไป รวมถึงงานซักถุงมือ เขาเลยมีโอกาสที่จะเอาของจากในนั้นมาได้โดยที่ไม่มีใครรู้ และการหาถุงมือของเจนนี่ก็ไม่ยากนักเพราะทุกคู่มีสีที่แตกต่างกัน ส่วนอุปกรณ์ต่างๆนั้นผมได้แอบฟังเสียงหลังผนังจึงรู้ว่าเขากำลังทำพิธีและของน่าจะอยู่ในห้อง พอค้นดูก็พบตุ๊กตาวูดูและของชิ้นอื่นๆในหีบใต้เตียง แก้วที่ทำพิธีมีกระดาษเปียกๆเขียนนามสกุลของเหยื่อเอาไว้ โชคดีที่ก่อนหน้านี้ผมแอบลอบเข้าโรงงานแล้วเอาเส้นผมตัวเองผสมเข้าไปในถุงมือด้วย พิธีกรรมจึงน่าจะไม่สำเร็จเพราะมีของเจือปน 

ทว่าแม้ความจริงจะเปิดเผยมาขนาดนี้ คุณครูสกลับไม่มีท่าทีร้อนใจเลยแม้แต่น้อย เขาบอกว่า แม้เรื่องทั้งหมดจะเป็นความจริง ผมจะหาข้อหาอะไรมาจับเขา การทำพิธีไสยศาสตร์ก็เป็นแค่เรื่องงมงายที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ เรื่องที่เชื่อมโยงถึงเขาก็แทบไม่มี  

ผมโต้กลับไปว่าเขาคิดผิด เพราะผมจะพิสูจน์โดยการพาเขาไปประหารนักโทษคดีร้ายแรงด้วยวิธีการนี้ ส่วนเรื่องขั้นตอนนั้นผมก็เข้าใจทุกกระบวนการจากการฟังเสียงผ่านผนังแล้ว จึงรู้ว่าไม่มีการกระทำใดๆนอกจากใส่แล้วเท เขาจึงไม่มีสิทธิจะเล่นตุกติกใดๆได้ขณะการทดสอบ อีกทั้งหากเขาถูกจับแล้วไม่เกิดคดีขึ้นอีก ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเขาคือคนร้าย 

คุณครูสเงียบเมื่อผมพูดจบ ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ผมถามเขาว่าอะไรเป็นเหตุให้เขาทำแบบนี้ ชายหนุ่มจึงตอบ 

"ตอนเด็กนั้น ผมเคยทำเรื่องผิดพลาดที่ไม่ได้ฆ่าพ่อของตัวเองให้เร็วกว่านี้ เขามักจะทำร้ายแม่เสมอ ทุกๆคืนเธอมักจะขอความสุขจากพระเจ้า แต่ผมไม่เคยเห็นท่านจะให้สักครั้ง เธอตายด้วยอาการป่วยโดยไม่เคยได้มีชีวิตดีๆ ผมได้แต่โทษตัวเองที่ปล่อยให้พระองค์รับผิดชอบทั้งๆที่ท่านไม่มีตัวตนอยู่จริงด้วยซ้ำ 

ตอนนั้นผมได้รู้ว่าการรอให้คนอื่นมาทำแทนนั้นมันเปล่าประโยชน์แค่ไหน ผมต้องลงมือเองหากอยากจะอยู่ในโลกที่สงบสุข คนที่กระทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันไม่มีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่กับคนดีๆ เพราะอย่างไรมันก็ต้องทำผิดอีกครั้งในสักวัน ผมรู้เรื่องนี้ดีเพราะพ่อของผมเองก็ขอโทษแม่ทุกครั้งที่ทำร้ายนาง 

มันไม่เคยจบสิ้น จนกระทั่งแม่เสีย แล้วพ่อก็ฆ่าตัวตายตาม แต่ผมยังคงเห็นคนใกล้ชิดถูกทำร้ายโดยพวกไร้จิตสำนึก ผมไม่มีทางเลือก หากพระเจ้าไม่ยอมทำ ผมก็จะเป็นคงลงไม้เอง" 

พอคุณครูสเล่าจบ ผมก็พาเขาไปส่งให้กับตำรวจ พวกเขาได้ให้ข้อมูลกับพลเรือนว่าเขาถูกจับเพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมเพียงเท่านั้น มีข้อถกเถียงและสงสัยมากมายจากข่าวการจับกุม แต่พวกเราก็พยายามปิดเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย 

หลังคุณครูสถูกจับ กิจการโรงงานที่เขาทำอยู่ก็ล้มละลายในไม่กี่ปีต่อมา เงินที่ทางโบสถ์เคยได้ก็ไม่มีอีกแล้ว เพื่อแก้ปัญหา บาทหลวงทั้งสองท่านจึงต้องย้ายออกไปประจำที่อื่น พวกเด็กๆที่เคยรับเลี้ยงก็ถูกส่งไปบ้านอุปถัมภ์ในที่ต่างๆที่บาทหลวงโรเบิร์ตเลือก ส่วนบาทหลวงจอร์นยังคงดันทุรังอยู่ที่นั้น 2 ปีก่อนจะหมดหนทางแล้วย้ายออกไป 

ในขณะที่คุณครูสถูกขังจำคุกอยู่นั้น เขาได้เข้าทดสอบศาสตร์วูดูกับนักโทษประหาร 5 ครั้ง และทำสำเร็จทุกครั้ง อีกทั้งยังไม่มีอุบัติเหตุพิศวงภายนอกเกิดขึ้นอีก ศาลจึงเห็นชัดว่าเขามีความผิดจริงแล้วถูกโทษจำคุกตลอดชีวิต 

คุณครูสเคยให้การกับตำรวจว่า เขาเคยได้พบกับชายคนหนึ่ง ใส่สูทสีแดงสด และอ้างตนว่าชื่อ ลูซิเฟอร์ เขาคนนั้นเห็นว่าตนนั้นเหมาะสม เลยเสนอว่าจะมอบพลังที่จะชำระล้างคนชั่วให้โดยแลกกับดวงวิญญาณของตน เขาตอบตกลง ก่อนที่ชายคนนั้นจะหายไปอย่างเป็นปริศนา 

กระทั่งคืนหนึ่ง เรื่องลึกลับสุดท้ายก็เกิด คุณครูสได้เสียชีวิตลงโดยที่หัวใจวายเฉียบพลัน บางคนในนั้นลือกันว่าลูซิเฟอร์ได้มานำวิญญาณของเขาไปตามที่ตกลงไว้ซึ่งผมก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน 

เรื่องทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์จริงที่ผมพบด้วยตัวเอง โดยไม่เคยคิดว่าจะต้องมาตามสืบคดีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติด้วย 

อย่างไรก็ตาม ผมพบว่าบางคดีนั้นก็มีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ ซึ่งเป็นไปได้ว่าคนที่คุณครูสกล่าวถึง อาจจะอยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้ด้วย ผมจึงต้องตามสืบต่อไป แม้คิดว่าจะต้องสู้กับสิ่งที่มิใช่คนก็ตาม 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว