1 2 3 4 5 6 7 8 9
7
ตอน
809
เข้าชม
9
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นในช่วงสายวันหนึ่งของเดือนพฤษภาคม อากาศร้อนอบอ้าว น่าเบื่อไม่ต่างจากทุกวัน ผมเป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนา 

ผลิตภัณฑ์ของบริษัทแห่งหนึ่ง งานหลักๆ คือใช้ความรู้ทางเคมีและแขนงอื่นๆ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค 

เอาเข้าจริงวันนี้ไม่รู้เป็นอะไร งานที่ได้รับมอบหมายกับยังคิดไม่ออก ทั้งที่ปกติผมทำมันได้อย่างสบายๆ 

ช่วงเวลาที่เป็นแบบนี้ ผมมักออกไปนั่ง บนเก้าอี้ตัวเดิมใต้ต้นหูกระจง เก้าอี้ไม้สีอ่อนชนิดที่นั่ง ได้สองคน รูปทรงทื่อๆ แข็งๆ ไม่ได้โค้ง 

เหมือนดีไซน์ของเก้าอี้รุ่นใหม่ ชวนให้คิดว่ามันออกแบบมาโดยเน้นความเรียบง่ายมากกว่าความสวยงาม 

ไม่รู้ทำไม ผมกลับรู้สึกคุ้นเคยกับเก้าอี้ไม้ตัวนี้มากเหลือเกินโดยเฉพาะรอยตัว อักษร I กับ X ลางๆ ตรงที่วางแขน 

ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน ตอนที่ยังสูบบุหรี่ก็จะออกมานั่งสูบตรงนี้เสมอ ตอนนี้เลิกสูบไปแล้ว แม้จะไม่มีบุหรี่ในซอกนิ้ว แต่กลับยังรู้สึกยึดติดกับ 

เก้าอี้ตัวนี้มากกว่าบุหรี่เสียอีก มันคงฟังดูตลกถ้าผมจะบอกคุณว่า เหตุผลที่ผมยังทำงานอยู่บริษัทแห่งนี้ คือ เก้าอี้ไม้ตัวนี้  

ใช่ มันเป็นความจริง คุณอาจจะคิดว่าถ้าชอบขนาดนี้ก็ขอซื้อต่อจากบริษัทซะเลยไม่ดีกว่าหรือ คุณอาจจะประหลาดใจถ้าได้รู้ว่า ผมทำแล้ว 

ผมเคยเดินไปติดต่อกับฝ่ายบริหารทรัพยากรเพื่อถามว่า ผมจะสามารถติดต่อใครเพื่อซื้อเก้าอี้ไม้ตัวนี้ คนทั้งแผนก 

ต่างมองผมราวกับพบเจอเรื่องประหลาด ซึ่งที่สุดแล้วก็ไม่มีใครสามารถตอบคำถามข้อนี้ได้ ที่น่าตลกคือในบ่ายวันนัั้นเรื่องนี้ 

ก็กลายไปเป็นหัวข้อซุบซิบกันไปทั้งแผนก รุ่นพี่คนหนึ่งที่มีแฟนอยู่ในฝ่ายบริหารทรัพยากรเดินมาบอกผม ด้วยนํ้าเสียงปนขำว่า  

ผมอาจจะต้องไปคุยกับฝ่ายบัญชี ผมเดินลงไปติดต่อฝ่ายบัญชีที่อยู่ชั้นสอง เจ้าหน้าที่ที่คุยกับผมดูงงๆ กับการขอซื้อเก้าอี้ของผม  

แต่ก็ยังช่วยค้นข้อมูลในแฟ้มให้สักพัก สุดท้ายเขาก็บอกว่า บริษัทไม่สามารถขายมัน ได้เพราะเก้าอี้ตัวนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินของบริษัท  

เขาแนะนำให้ลองไปสอบถามกับเจ้าของอาคารแห่งนี้ซึ่งบริษัทได้เช่าเอาไว้ ซึ่งหลังจากที่ติดต่อไปก็ทราบว่าเจ้าของอาคารก็ไม่รู้ว่ามันมา 

จากไหน จริงๆ เขาน่าจะไม่รู้ด้วยซํ้าว่าผมหมายถึงเก้าอี้ตัวไหน จากนั้นก็กระแทกหูโทรศัพท์ใส่เพราะคงคิดว่าผมเป็นพวกก่อกวนอะไรแบบ 

นั้น ผมติดต่อไปหาหลายหน่วยงานของรัฐบาลที่อาจจะเกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าใครคือเจ้าของเก้าอี้ไม้ตัวนี้ ราวกับว่า 

เก้าอี้ตัวนี้งอกขึ้นมายึดครองพื้นที่ว่างตรงนี้ ในห้วงเวลาที่ไม่มีใครบอกได้ ราวกับอนุภาคที่เกิดขึ้นจากจุดเริ่มต้นของจักรวาล 

ถ้าโลกนี้มีอะไรที่เงินซื้อไม่ได้ ผมจะตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า มันคือเก้าอี้ไม้ตัวนี้ สุดท้ายผมก็เลือกที่จะอยู่กับมันแบบที่ไม่ครอบครอง  

น่าแปลก แทนที่จะชอบมันน้อยลง กลับยิ่งเน้นความสำคัญของมันในใจของผมมากยิ่งขึ้นไปอีก ผมมักจะถามมันเสมอว่าแกมาจากไหนกัน 

แน่ ทั้งที่รู้ว่าคำถามนี้คงตอบยากพอๆ กับการค้นหาจุดเริ่มต้นของโลกใบนี้ 

ขณะที่นั่ง ลูบไล้เนื้อไม้เล่นไปเรื่อย ผมก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ความรู้สึกวันนี้มันต่างไปจากเดิมคล้ายกับเวลาที่เราสะอึก  

มันเกิดขึ้นอย่างที่เราไม่ทันตั้งตัว และหายไปก่อนที่เราจะรู้ว่ามันหายไปแล้ว  

ในสมัยที่ผมอยู่ ป. 6 ผมเคยมีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นกับเพี่อนที่กำลังจะเดินออกมาจากโรงอาหารด้วยกัน มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยดี 

เท่าไร แต่ตอนนั้นมันแน่ชัดมาก ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงมั่นใจขนาดนั้น ความรู้สึกนั้นมันบอกผมว่า เพื่อนข้างๆ กำลังจะบาดเจ็บสาหัส 

หลังจากผมทักเขา ไม่นานเขาก็ถูกกระเบื้องมุงหลังคาตกลงมากระแทกศีรษะหมดสติไปในทันที นั้นคือครั้งแรกที่ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้น  

หลังจากนั้นทุกสามสี่ปี ผมจะรู้สึกอะไรแบบนี้ประมาณครั้งสองครั้ง แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป ความรู้สึกมันไม่ค่อยชัดเจน ไม่ใช่เกี่ยวกับ 

อาการบาดเจ็บหรืออันตราย บอกตามตรง ผมไม่เคยเจอกับความรู้สึกแบบนี้มาก่อน 

ผมกวาดตามองไปรอบตัวอย่างรวดเร็ว เห็นลุงยามกำลังเปิดไม้กันให้รถผ่าน สาวออฟฟิศสองคนเดินตรงไปยังร้านกาแฟ  

แล้วสายตาของผมก็ไปสะดุดกับวัตถุขนาดเท่าลูกฟุตบอลสีดำสนิทอยู่ไม่ห่างจากประตูร้านกาแฟ  

แรกๆ ผมพยายามสังเกตว่ามันคืออะไร จนกระทั่งสาวทั่งสองเดินผ่านไปมันจึงเริ่มขยับเหยียดขาออกมา กลายเป็นแมวสีดำตัวหนึ่ง  

แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผมเป็นพิเศษคือ หูของมันมีสีขาว ตาทั้งสองข้างก็มีสีขาวแต่ยังมีรูม่านตาสีดำ ยิ่งไปกว่านั้นยามที่ 

มันอ้าปากบิดขี้เกียจผมสังเกตเห็นว่าลิ้นมันก็มีสีขาว น่าแปลกที่เหมือนจะไม่มีใครสักคนในบริเวณนี้สังเกตเห็นความโดดเด่นของมัน  

มีเพียงแต่ผมเท่านั้นที่รู้สึก มันมองสบตากับผม ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าผมเห็นรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากของมัน ผมค่อนข้างมั่นใจว่า  

ความรู้สึกนี้ต้องมาจากแมวสีดำหูขาวตัวนี้แน่ๆ ผมกับมันมองตากันประมาณสองถึงสามนาที ไม่มีฝ่ายใดยอมขยับก่อน ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่า 

มันแตกต่างไปจากแมวทั่วไป มันไม่มีทีท่ากลัว หรือสนิทสนมกับคน สายตาของมันดูลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่ามนุษย์ด้วยซํ้า ระหว่างที่ผมกำลัง 

วิเคราะห์อยู่นั้น มันก็เริ่มขยับตัว เดินตรงเข้ามา ทุกก้าวของมันกดลมหายใจของผมหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดหายใจ 

ไม่ค่อยสะดวกเท่าไร แต่ยังคงฝืนสบตากับมันตลอดเวลาที่มันเดินเข้ามา ในที่สุดแมวตัวนั้นก็หยุดลงตรงปลายเท้าผม ทันทีที่มัน 

นั่งลง ลมหายใจของผมก็กลับมาปกติอีกครั้ง มันหันกลับไปมองด้านหลัง ผมมองไปตามทิศที่มันหันไป เห็นถนนที่ผ่านหน้าบริษัท  

มันหันกลับมามองหน้าผม ก่อนที่จะลุกขึ้น สะบัดปลายหางมาถูกกางเกง และเดินย้อนกลับไปตามทางที่มันมา  

ขณะที่ผมยังรู้สึกมึนงง มันก็หันกลับมา จากนั้นสะบัดหน้าเหมือนชวนให้ผมเดินตามไป แต่แทนที่มันจะเดินไปหยุดแค่หน้าร้านกาแฟ 

มันกลับเดินต่อไปจนถึงถนน ก่อนที่จะเลี้ยวขวาเดินขนานไปกับถนนผ่านตึกแถวด้านหน้า 

ผมมีทางเลือกสองทาง หนึ่งคือปล่อยเรื่องทั้งหมดผ่านไปแล้วเดินกลับขึ้นไปยังออฟฟิศอีกครั้ง หรือสองคือ ตัดสินใจเดินตามมันไป 

ทัั้งๆ ที่ความรู้สึกแปลกๆ ผ่านเข้ามาในหัวน่าจะทำให้ผมหวาดกลัว แต่เปล่าเลย มันกลับยิ่ง กระตุ้นสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็น 

ในตัวผมให้ตื่นขึ้นมา ผมตัดสินใจตามสัญชาติญาณ ลุกจากเก้าอี้ไม้เดินตรงดิ่งตามมันไปทันที นี่คงเป็นครั้งแรกที่มีสิ่งที่ดึงดูดใจของผม 

มากกว่าเก้าอี้ไม้ตัวนี้ 

ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงออกไปถึงถนน หันมองไปทางขวา สอดส่ายสายตาหาแมวสีดำหูขาวบนพื้นฟุตบาท 

นั่นไง มันอยู่ห่างจากผมไปสองช่วงตึก ผมตัดสินใจวิ่ง แทรกไปตามช่องว่างของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณนั้น อีกประมาณสิบกว่า 

เมตรจะถึงตัวมัน แมวตัวนั้นก็เลี้ยวอีกครั้งเดินเข้าซอยเล็กๆ ด้านขวามือ ผมวิ่ง มาหยุดตรงหน้าตรอกหันมองหามันอีกครั้ง น่าแปลกที่มัน 

เดินเกือบถึงสุดซอยอีกด้านหนึ่งซึ่งเชื่อมต่อกับถนนใหญ่ จริงๆ ผมคาดว่าผมน่าจะอยู่ห่างกับมันไม่น่าเกินสิบเมตร แต่มันกลับอยู่ห่างผมไป 

ในระยะสองช่วงตึกซึ่งประมาณสี่สิบเมตรอีกแล้ว คราวนี้มันเลี้ยวซ้าย ผมเพิ่มความเร็ววิ่งไล่ แต่มันยังเดินนวยนาดด้วยความเร็วเท่าเดิม  

ราวกับกำลังเดินในทุ่งดอกไม้ ผมเลี้ยวซ้าย เหมือนเดิม มันอยู่ห่างไปอีกสี่สิบเมตร ผมนึกสงสัยว่าทำไมมันเคลื่อนไหวได้เร็วขนาดนั้น แต่ก็ 

ยังไม่หมดความพยายาม ผมพยายามวิ่งตามมันต่อไปเกือบสิบห้านาที เลี้ยวซ้ายอีกสองครั้งกับเลี้ยวขวาอีก ทุกครั้งที่มันเลี้ยว 

เหมือนระยะทางระหว่างผมกับมันจะยืดขยายออกเป็นสี่สิบเมตรเท่าเดิม ทุกครั้งที่ผมวิ่ง ไล่กวดจนเหลือระยะห่างไม่เกินสองเมตร  

มันก็จะเลี้ยวอีกครัั้ง จะในที่สุด ปอดของผมก็เริ่มที่จะรับภาระการวิ่ง อย่างต่อเนื่องแบบนี้ไม่ไหว ผมยืนอยู่กับที่ โค้งตัวหอบหายใจอย่าง 

หนัก ของเหลวในปากเหมือนจะแห้งเหือด ในลำคอมีแต่ความแห้งผาก ผมฝืนเงยหน้ามองมันอีกครั้ง มันหันกลับมาจ้องผม ไม่ผิดแน่นอน  

ผมเห็นมันยิ้ม มันกำลังสนุกที่ได้เห็นสภาพของผมตอนนี้ มันหยุดนั่งลงอีกครั้ง ผมค่อยๆ เดินแหวกผู้คนตรงไปหามัน น่าแปลกที่คราวนี้  

มันหยุดรออยู่ตรงนั้นไม่ยอมหันหลังเดินต่อ สิบเมตร เก้าเมตร หา้เมตร สามเมตร มีคนเดินตัดหน้าผมไปสองสามคน  

หลังจากละสายตาไปจากมัน เพราะ ทัศนียภาพถูกบดบังด้วยคนที่เดินตัดหน้าเป็นเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาที พอรู้สึกตัวอีกทีมันก็หายไปแล้ว 

ผมมองไปรอบๆ ข้าง ด้านขวาเป็นถนนที่มีรถยนต์กำลังวิ่ง ผ่านไปมาอยู่รวดเร็ว แมวตัวนั้นไม่น่าจะวิ่ง ไปทางถนนผมหันไปมองด้านซ้าย  

เป็นพื้นที่ว่าง ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสามด้านคือด้านข้างสองด้านและด้านหลัง พื้นที่ว่างนี้กว้างประมาณสี่เมตรลึกประมาณสิบเมตร ล้อม 

รอบด้วยกำแพงทั้งสามด้านเป็นตึกแถวสูงสี่ชั้นไม่มีช่องว่างให้แมวสักตัวรอดผ่านไป พื้นที่ว่างตรงนี้มีขนาดเท่ากับตึกแถวข้างๆ จริงๆ แล้ว 

ควรจะมีตึกอยู่ตรงนั้น แต่เหมือนกับว่ามันถูกยกหายไปทั้งตึก ผมค่อนข้างเชื่อว่ามันน่าจะเข้ามาในนี้ แต่ก็ไม่เห็นร่องรอยของแมวสักตัว  

ผมเดินตรงเข้าไปในที่ว่าง ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากหนังสือพิมพ์สีเหลืองเก่าๆ ตกอยู่บนพื้นหนึ่งฉบับ ผมหยิบมันขึ้นมา แต่ไม่มีอารมณ์จะอ่าน 

อะไรตอนนี้ เพราะความอ่อนเพลียในร่างกายที่สะสมมานานเริ่มบอกว่า ผมควรจะพักก่อนที่จะวูบไป 

ผมก็โทรไปสั่งงานที่ค้างไว้กับลูกน้องก่อนที่จะโบกแท็กซี่ตรงกลับไปยังคอนโดทันที 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว