Perfect World
0
ตอน
2.86K
เข้าชม
61
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
2
เพิ่มลงคลัง

 

 

ประกวดธัญวลัยครั้งที่ 2 หัวข้อ 100 ปีจากนี้ ในโหมดเรื่องสั้นสีชมพู

 

Perfect World

ผู้เขียน Snake Russell

 

 

 

ฉันลืมตาขึ้น...

 

ท่ามกลางความรู้สึกที่หนาวเหน็บ ฉันรู้สึกมึนหัวไปหมด จากนั้นฉันก็เริ่มขยับตัวทีละเล็กทีละน้อย จนสาดสายตาไปตามร่างกายของตัวเอง ฉันพบว่ากำลังสวมชุดคลุมยาวสีขาวสว่างเพียงตัวเดียว นี่ฉันอยู่ที่ไหนกัน ? ฉันเริ่มหันมองรอบข้างสำรวจสิ่งรอบตัว ทว่าไม่ว่าฉันจะมองรอบข้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกกี่ครั้ง คำตอบก็ยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เพราะฉันกำลังอยู่ในห้องสีขาวที่มีความกว้างราว 20 ตารางเมตร โดยนอกเหนือจากเตียงที่ตัวฉันกำลังนั่งอยู่นั้นก็มีเพียงประตูอยู่เบื้องหน้าของฉัน

 

“ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ผมก็จะรอคุณนะหมิว”

 

ขณะที่ฉันกำลังนึกสงสัยถึงสถานที่ปัจจุบันที่ฉันอยู่ ภายในหัวของฉันกลับมีเสียงของคนๆ หนึ่งกึกก้องอยู่ภายในหัวฉัน ‘หมิว’ ก็คือชื่อของฉัน อย่างน้อยฉันก็ยังไม่ลืมว่าฉันคือใคร กระนั้นฉันเองก็ยังนึกไม่ออกว่ามาอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไง

 

ฟิววววว...

 

ขณะที่กำลังอยู่ในภวังค์แห่งความงุนงง ประตูเบื้องหน้าฉันก็เลื่อนเปิดออก โดยด้านหลังประตูมีชายหนุ่มในชุดเสื้อกาวน์ยาวสีขาว ถึงแม้รูปลักษณ์การแต่งกายเขาจะคล้ายคลึงกับหมอหรือนักวิทยาศาสตร์ แต่ยังมีหลายสิ่งที่ฉันยังติดใจมากกว่านั้น ฉันเดาไม่ออกว่าชายหนุ่มตรงหน้านั้นเป็นคนเชื้อชาติใด เพราะโครงหน้าเขาเสมือนเป็นการรวมสรรค์ของความสมบูรณ์แบบของแต่ละอย่างเข้าด้วยกัน ตั้งแต่ใบหน้าเขาขาวสะอาดหมดจรด จมูกที่เป็นสันโด่งโค้งมนได้รูป ริมฝีปากบางสีน้ำตาลอ่อน สีหน้าเขาไร้อารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ทรงผมเสยเรียบสีผมดำแทรกสีทองเหมือนเป็นการทำสีผมแซม แต่สีทองนั้นก็ดูเปล่งปลั่งทำให้ฉันข้องใจว่ามันมีอะไรมากกว่าเป็นเพียงแค่ ‘สี’ ไหนจะสีดวงตาของเขาที่ข้างซ้ายเป็นสีฟ้า ส่วนข้างซ้ายเป็นสีแดง

 

เขาไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน...

 

“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มปริศนากล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้ฉันเคยได้ยินมาเลย ใบหน้าเขาเหมือนจะมีรอยยิ้มที่บางเบาปะปนอยู่ในนั้นด้วย

 

“สวัสดีค่ะ” ฉันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังมีภัยที่กำลังพูดคุยกับคนแปลกหน้าที่เจอครั้งแรก ฉันถึงได้กล่าวทักทายตอบกลับไปอย่างง่ายดาย

 

“วันนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้างครับ ?”

 

“ดีค่ะ แต่ฉันกำลังสงสัยว่าตอนนี้ฉันกำลังอยู่ที่ไหน ?” ฉันเกริ่นเผื่อว่าเขาจะให้คำตอบฉันได้เลย คราวนี้เขายิ้มให้ฉันเห็นอย่างชัดเจน

 

“ขณะนี้พวกเราทั้งหมดกำลังอยู่ในสถานีวิจัย ซึ่งอยู่เหนือชั้นบรรยากาศที่ห่างไกลออกจากพื้นโลกระยะทางทั้งสิ้น 250 ไมค์หรือ 402.25 กิโลเมตร สถานีอวกาศแห่งนี้มีชื่อ ‘ยูโทเปีย 253’ โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ ที่แห่งนี้ก็รวมไปถึงไว้ใช้เป็นท่าสถานีให้กับยานอวกาศที่เดินทางไปยังต่างดาวด้วย”

 

ดวงตาฉันเบิกกว้างเล็กน้อย พล่านคิดไปด้วยว่ากำลังถูกใครแกล้งหลอกกันเล่นอยู่หรือเปล่า เพราะคำอธิบายของเขาเหมือนกับว่าฉันกำลังอยู่ในยานอวกาศหนังไซ-ไฟวิทยาศาสตร์โลกอนาคตอย่างไงอย่างนั้น ถึงแม้ว่าฉันไม่ค่อยได้ตามข่าวสารการเคลื่อนไหวของโลกสักเท่าไรนัก แต่ถ้าหากโลกของเรามีสถานีอวกาศดังกล่าวอย่างที่เขาว่า ฉันมั่นใจว่าฉันต้องเคยได้ยินนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้แน่ ขณะที่ฉันอ้าปากเตรียมจะถามว่า ‘แล้วฉันขึ้นมาอยู่ที่สถานีอวกาศแห่งนี้ได้ยังไง’ แต่ฉันก็ชะงักเพราะความทรงจำอะไรหลายอย่างเริ่มหวนกลับเข้ามาภายในใจของฉัน เรื่องสุดท้ายที่ฉันนึกได้ก่อนที่จะตื่นขึ้นในที่แห่งนี้ก็คือ ‘ฉันขอให้พวกเขาทำให้ฉันหลับใหลเอง’ ชายหนุ่มปริศนาเหมือนสามารถอ่านใจในเรื่องที่ฉันกำลังคิดอยู่ได้ เขาจึงอธิบายต่อเพิ่มเติม

 

“คุณจุทาทิพย์ตื่นจากการหลับใหลจากกระบวนการขั้นตอนการทำไครโอนิกส์หรือที่รู้จักง่ายๆ ว่าการแช่แข็งเพื่อคงสภาพร่างกายของคุณให้คงเดิม โดยที่คุณจะได้ไม่ตายอย่างถาวรไปจากโลกนี้ คุณจุทาทิพย์และครอบครัวคุณได้เซ็นต์เอกสารยินยอมให้กระทำการดังกล่าวแต่โดยดี เพราะคุณมีจุดประสงค์หลักเพื่อที่รักษามะเร็งที่ลุกลามไปทั้งสมองของคุณเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม คริสต์ศักราช 2015 จนถึงตอนนี้ที่คุณได้ตื่นขึ้นมาก็นับเป็นเวลา 100 ปีพอดี”

 

ถูกต้อง! สิ่งที่เขาพูดออกมาทั้งหมดนั้นเป็นความจริง เขารู้แม้กระทั่งชื่อจริงของฉัน ซึ่งฉันจำได้แล้วว่าฉันได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าวหลังจากที่รู้ว่าเป็นโรคร้ายแรง ฉันได้พิจารณาเรื่องนี้อยู่เป็นเวลานาน แต่สุดท้ายในเมื่ออยู่ต่อไปก็มีแต่ความตายที่กำลังรอฉันอยู่ ฉันจึงเลือกเข้าร่วมโครงการนี้ เพราะมีการโฆษณาว่าจะปลุกให้ฟื้นหลังจากที่ค้นพบวิธีรักษาผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการ

 

“เราอยากให้คุณจุทาทิพย์รับการตรวจสอบกายภาพ เพื่อเป็นการยันยันทางการแพทย์เสียหน่อย จะได้ไหมครับ ?”

 

ฉันได้แต่พยักหน้างึกงักตามที่เขาบอก เพราะสิ่งที่ฉันติดใจไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปตรวจร่างกายแต่อย่างใดหรอก แต่กลับเป็นเรื่องที่ฉันหลับมาเป็นเวลานานถึง 100 ปีเชียวเหรอ ถึงแม้ว่าทางโครงการไม่ได้สัญญาว่าฉันจะต้องอยู่ในตู้แช่แข็งเป็นเวลานานแค่ไหนก็ตาม แต่ฉันกับครอบครัวก็คาดเดาว่าฉันอาจจะต้องนอนหลับเป็นเวลานานสุดก็สักราว 30 ปี ซึ่งหากโชคดีก็อาจจะแค่เพียง 4-5 ปี โดยขึ้นอยู่กับว่าทางวงการแพทย์ที่จะหาวิธีการรักษาโรคร้ายที่ฉันเป็นอยู่ได้ช้าหรือเร็ว

 

แต่ฉันก็คิดผิด...

 

ฉันเดินตามหลังชายปริศนาต้อยๆ ถึงตอนนี้ฉันก็คาดเดาได้แค่เพียงว่าเขานั้นคงเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดูแลรับผิดชอบตัวฉัน แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเขามีตำแหน่งหน้าที่ที่แท้จริงอะไรกันแน่ ขณะที่พวกเราเดินอยู่ทางเดินยาวที่แสนเงียบเชียบ หนุ่มแห่งโลกอนาคตเรื่องของอธิบายสถานการณ์เพิ่มเติมระหว่างทางไปด้วย

 

“อย่างที่ผมบอกก่อนหน้านี้ว่าคุณได้ตื่นขึ้นจากช่วงเวลาที่หลับจากการแช่แข็งเป็นเวลาครบ 100 ปีพอดี เพราะฉะนั้นการที่คุณจะพบกับความก้าวหน้าและวิวัฒนาการที่แปลกใหม่ล้ำหน้าก็อาจจะทำให้คุณรู้สึกกลัวหรือไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องอธิบายทุกอย่างที่คุณต้องการทราบรวมไปถึงแสดงไมตรีให้คุณรู้สึกเป็นกันเองให้มากที่สุด เพื่อป้องกันเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในกรณีของคุณ” ก็อาจจะจริงอย่างที่เขากล่าว แต่กระนั้นฉันกลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด จิตใจของฉันค่อนข้างสงบนิ่งเหมือนกับทองไม่รู้ร้อนเลยด้วยซ้ำ

 

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ฉันก็อยู่ในปี ค.ศ.2115 สินะ” ฉันเริ่มที่จะถามเรื่องที่อยากรู้บ้าง

 

“ไม่เชิงครับ เพราะหลังจากปีคริสต์ศักราช 2053 โลกได้ลงความเห็นพ้องต้องกันและยกเลิกการแบ่งแยกเขตแดนที่พวกคุณเคยเรียกว่า ‘ประเทศ’ จากนั้นดาวเคราะห์โลกก็เปลี่ยนระบบการปกครองครั้งใหญ่และใช้ชื่อเรียกรวมทั้งหมดว่า ‘สหพันธโลก’ โดยทั้งโลกได้ตัดสินใจให้ปีนั้นเป็นการนับปีขึ้นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งหากจะพูดให้ถูกต้องในยุคสมัยนี้ คุณจะต้องเรียกปีนี้เป็นปีที่ 62 และหากจะเรียกชื่อเต็มๆ ให้ถูกต้องก็คือ โลกตศักราชที่ 62 โดยมีชื่อย่อขึ้นต้นปีที่นิยมเรียกกันสั้นๆว่า ล.ศ. ไม่ทราบว่าคุณต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสหพันธโลกด้วยไหมครับ ?”

 

เขาอธิบายรายละเอียดประวัติศาสตร์ได้ดีเยี่ยมจนฉันเกินพอใจกับคำตอบที่ต้องการได้รับ ถึงกระนั้นเขาก็เกริ่นเรื่องที่จะพาให้การสนทนาของเรายืดยาวไปเสียเปล่าๆ ฉันจึงตอบกลับไปว่า

 

“ไม่เป็นไรค่ะ”

 

ระหว่างทางมีชาวโลกอนาคตเหมือนเช่นเดียวกับผู้ดูแลของฉันเดินผ่านราว 5-6 คนเป็นช่วงๆ และทุกครั้งที่พวกเขาจะเดินผ่านซึ่งกันและกัน พวกเขาจะยื่นนิ้วชี้กับนิ้วโป้งของมือขวาชนกันและแตะที่อกซ้าย ซึ่งต่อให้เขาไม่อธิบายฉันก็พอเดาได้ว่านี่เป็นการทักทายของชาวโลกอนาคตอย่างแน่

 

ขณะที่เราสองคนเดินๆ กันอยู่นั้น ฉันซึ่งจู่ๆ ก็หยุดเดินต่อโดยที่ไม่ได้บอกเขาว่าฉันจะหยุด เพราะภาพของโลกจากช่องหน้าต่างทำให้ฉันทำเช่นนั้น ดาวเคราะห์ที่ฉันรู้จักเป็นอย่างดีแม้จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับในภาพถ่ายตามงานนิทัศการอวกาศที่ฉันเคยไปดู แต่กระนั้นแสงไฟเรียงรายเป็นแถวยาวจากพื้นดินเปล่งแสงขึ้นมาถึงสถานีแห่งนี้ก็ดูมีการจัดการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยดีกว่าเดิม อีกทั้งยังมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นเสมือนกับสะพานอยู่รอบวงโคจรโลกและก็ยังมีสถานีอวกาศขนาดใหญ่อีกหลายอันลอยอยู่รอบ จนแทบจะเหมือนกับเกาะเหล็กลอยได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันมองมันด้วยความรู้สึกสนใจ

 

ชายหนุ่มผู้ดูแลฉันหยุดเดิน หลังจากที่รู้ตัวว่าฉันไม่ได้เดินตามเขาต่อไป อย่างไรก็ดีเขาปล่อยให้ฉันมองสิ่งก่อสร้างที่แสนมหัศจรรย์ ซึ่งพัฒนาไปไกลกว่ายุคสมัยของฉันมาก ดวงตาฉันจับจ้องสิ่งเหล่านั้นนานอยู่ราว 5 นาทีเต็ม จนเมื่อฉันพอใจแล้ว ฉันจึงหันกลับมามองหน้าเขา

 

“มีอะไรที่อยากจะถามผมหรือเปล่าครับ ?”

 

หากแต่คงต้องใช้เวลาเป็นเดือนถ้าจะเติมเต็มในสิ่งที่ฉันอยากรู้ ฉันที่นิ่วหน้าคิดถึงเรื่องที่ฉันสงสัยรองลงมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้จึงเอ่ยปากถามเขา

 

“ฉันค่อนข้างแปลกใจน่ะค่ะที่คุณภาษาพูดภาษาไทยได้คล่องทีเดียว” ชายหนุ่มยิ้มกริ่มให้ฉันอย่างเป็นมิตร

 

“ข้อจำกัดของภาษาเป็นสิ่งที่พวกเราได้แก้ไขหมดสิ้นตั้งแต่โลกตศักราชที่ 10 แล้วล่ะครับ นักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นชิปที่สามารถบรรจุทุกภาษาที่มีมาบนโลกตั้งแต่โบราณกาล โดยชาวสหพันธโลกทุกคนในยุคนี้จะต้องได้รับฝั่งชิปนี้ในสมองของตนเพื่อใช้ในการสื่อสาร ทั้งนี้ชิปตัวนี้ยังเป็นตัวฐานเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตอีกมาก เช่น การคำนวณ ประวัติศาสตร์ ตรรกะที่สมเหตุสมผล นอกเสียจากว่าคุณจะสามารถพูดได้แต่เพียงภาษาโบราณที่หายสาบสูญไปจากโลก ซึ่งหากมีกรณีนั้นเราจะขอให้บุคคลๆ นั้นฝั่งชิปภาษาเช่นเดียวกับพวกเราเป็นหนทางแก้ในการสื่อสาร แต่ถึงกระนั้นตัวเลือกนี้จนถึงบัดนี้เราก็ไม่เคยต้องใช้วิธีนี้กับมนุษย์แช่แข็งหรือใครในอดีตเลยสักครั้งเดียว มันจึงเป็นมาตรการที่กลายเป็นหมันซึ่งมีไว้เพื่อการรองรับเท่านั้นเอง”

 

ฉันพยักหน้าเบาๆ อย่างรู้สึกทึ้ง 100 ปีที่ผ่านมามนุษย์ได้ไปไกลกว่าที่จินตนาการในระหว่างที่ฉันนอนหลับอยู่จริงๆ เราเงียบกันไปสักพัก ฉันเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาและพูดสิ่งที่ติดค้างในใจที่สุด

 

“จริงๆ ตั้งแต่ฉันเจอคุณ ฉันลืมคำถามที่สำคัญที่สุดไปเสียสนิทเลย” ฉันหัวเราะเบาๆ เป็นการแก้เขิน แต่ชายหนุ่มโลกอนาคตกลับเอียงหัวเป็นเชิงรู้สึกสงสัย

 

“คำถามอะไรเหรอครับ ?” ฉันจึงถามคำถามที่มนุษย์ทุกคนต้องถามครั้งแรกที่เจอกัน

 

“คุณชื่ออะไรเหรอค่ะ ?”

 

................................................

 

“ผมชื่อหนุ่มครับ” ทั้งที่หญิงสาวไม่ได้ถามอะไร ชายหนุ่มที่เดินมาถึงโต๊ะทำงานของเธอก็เปิดตัวด้วยการแนะนำชื่อของตัวเองก่อน

 

“หมิวค่ะ” หญิงสาวแนะนำชื่อของตนเองกลับอย่างงงๆ เพราะไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาทักทายดื้อๆ เหมือนเช่นชายหนุ่ม

 

วันนี้หมิวเพิ่งเข้ามาทำงานเป็นวันแรก หลังจากที่เธอเรียนจบได้เพียงเดือนกว่า หญิงสาวก็ตัดสินใจออกมาหาประสบการณ์โลกภายนอก ภารกิจในการทำงานวันแรกก็เสร็จสิ้นตั้งแต่ยังไม่พ้นครึ่งเช้า โดยรุ่นพี่ที่ทำงานให้เธอจัดเอกสารใส่เข้าแฟ้มให้เรียบร้อย ซึ่งระหว่างที่เธอกำลังนั่งว่างๆ อยู่นั้น หนุ่มโผล่เข้ามาในชีวิตเธอเป็นครั้งแรก ซึ่งบอกตามตรงว่าวินาทีนั้นหมิวรู้สึกไม่ค่อยประทับใจกับหนุ่มสักเท่าไร เพราะพฤติกรรมเช่นนี้เป็นการบ่งบอกลักษณะที่ชัดเจนของคนที่ชอบเกี้ยวพาราสีหญิงสาวเป็นกิจวัตรประจำ

 

แต่ทุกวันหนุ่มก็ทำให้ความคิดของหมิวเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เขามักจะยื่นมือเข้าช่วยเหลืองานของหมิวทุกครั้งที่เขามีโอกาส อีกทั้งยังให้คำแนะนำเรื่องการทำงาน รวมไปถึงวิธีการปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ในฐานะที่เป็นเด็กใหม่ ทำให้ทัศนคติของหญิงสาวที่มีกับหนุ่มในตอนตอนแรกเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น หลายเดือนต่อมา เพราะความเอาใจใส่ของหนุ่มที่ปฏิบัติเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอ ความรู้สึกของหมิวและหนุ่มก็เริ่มงอกงามเหมือนกับต้นไม้อ่อนที่แตกกิ่งก้านสาขาออกไปเรื่อย จนความสัมพันธ์ของสองหนุ่มสาวเริ่มกลายเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็เรียกกันว่า ‘ความรัก’

 

“ถ้าวันนั้นหนูไม่ยอมบอกชื่อหนูกับพี่ พี่จะหน้าแตกไหม ?” เป็นคำถามที่หมิวพูดขณะทั้งสองออกมานั่งกินข้าวด้วยกันในห้างดังช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จู่ๆ หมิวก็ยกเรื่องนี้ขึ้นมาหยอกล้อหนุ่มไปถึงอดีตวันแรกที่พบกัน ซึ่งตอนนั้นพวกเขาเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมงาน หนุ่มสบตาหมิวพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่อ่อนโยนให้กับเธอ

 

................................................

 

ชายหนุ่มยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยนอีกครั้งก่อนจะพูดต่อว่า

 

“ชื่อเป็นสิ่งที่เราเลิกใช้กันมาตั้งแต่ช่วงโลกตศักราชที่ 12 แล้วครับ เพราะว่าชิปที่ฝังในสมองเรามีระบบการถอดรหัสจากโครงหน้าและม่านตาของบุคคลที่พบเจอออกเป็นโค้ดซีรีย์ ซึ่งพวกเราจะเรียกคนๆ นั้นเป็นรหัสโค้ดคณิตศาสตร์ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ได้เกิดการเข้าใจผิดของชื่อบุคคลที่ซ้ำกันเหมือนกับคนในสมัยก่อน โดยรหัสของผมก็คือ TV-29072524 WM-30012522” ฉันทำตาโตทันที เขาคงลืมไปว่าฉันนั้นไม่ได้รับการฝังชิปอัจฉริยะลงในหัวสมองเหมือนกับคนอื่นๆ เค้าในโลกอนาคต แต่ขณะที่ฉันยังไม่ทันได้พูดในสิ่งที่ตนนึกคิด เขาก็ชิงพูดตัดหน้าฉันไปเสียก่อน

 

“...อย่างไรก็ดี ผมเข้าใจดีว่าสมองของคุณไม่ได้ผ่านกระบวนการการวางโครงสร้างที่เป็นระเบียบในยุคสมัยปัจจุบัน เพราะเหตุนี้เพื่อไม่ให้คุณเกิดความสับสัน คุณจึงสามารถเรียกผมสั้นๆ ว่า ‘29’ ผมก็จะตอบสนองกับคุณในทันที ทั้งนี้แล้วคุณต้องการอยากจะทราบรายละเอียดของการจัดเรียงรหัสของแต่ละคนในโลกยุคนี้ด้วยไหมครับ ?”

 

“...29 สินะ เข้าใจแล้วค่ะ” ฉันกล่าวห้วนๆ โดยที่ไม่ได้ตอบคำถามสุดท้ายของเขา ครั้นก็โล่งใจที่ไม่ต้องจดจำตัวเลขที่ซับซ้อนหากต้องการเรียกความสนใจจากเขา ซึ่งเมื่อความข้องใจนี้ได้จบไป 29 ก็ผายมือไปยังทางเดินให้แก่ฉัน

 

“เชิญทางเลยครับ”

 

.......................................................

 

“พี่หนุ่มทางนี้ค่ะ” หมิวโบกมือพร้อมกับเรียกหนุ่มเสียงดังทันทีที่มองเห็นเขาจากไกลๆ

 

“น้องหมิวรอนานไหมค่ะ ?” ชายหนุ่มที่กระหืดกระหอบกล่าวเพราะต้องรีบวิ่งมาหาเธอ

 

“ค่ะ หมิวรอพี่มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว พี่หนุ่มมาสายเป็นแบบนี้ประจำ หมิวไม่โอเคด้วยหรอกนะคะ” หญิงสาวกล่าวและปิดท้ายด้วยการเบะปากใส่ชายหนุ่ม ซึ่งทำให้หนุ่มถึงกับหน้าเจื่อนรู้สึกสำนึกผิดที่ได้ยินเช่นนั้น เพราะนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเคยมาสายในวันที่นัดกัน

 

“พี่ขอโทษจริงๆ”

 

“พี่รู้ใช่ไหมว่าวันนี้เป็นวันครบรอบสี่ปีที่เราคบกันน่ะ ถ้าวันสำคัญแบบนี้พี่ยังจำไม่ได้แล้วแบบนี้ต่อไปจะให้หมิวเชื่อใจพี่ได้ยังไงค่ะ” หมิวรู้สึกโกรธและเบื่อหน่ายกับคำขอโทษเดิมๆ

 

“พี่จำได้สิหมิว แต่วันนี้พี่มีธุระสำคัญมากที่ต้องไปจัดการก่อนจริงๆ ถึงได้มาสาย...”

 

“ธุระอะไรของพี่ที่พี่ต้องให้มันสำคัญมากกว่าหมิว!” หญิงสาวเริ่มเร่งเสียงดังยิ่งขึ้นที่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มขึ้นได้อย่างมีเลศนัย

 

“ก็ธุระนี่ยังไงล่ะ” หนุ่มดึงมือขวาที่ล้วงอยู่แต่ในกระเป๋าตั้งแต่แรกออกมา พร้อมกับกล่องสีแดงขนาดเล็กในมือซึ่งยื่นให้แก่หญิงสาว จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างเปิดกล่องเผยให้เห็นแหวนวงจิ๋วที่มีเพชรเม็ดเล็กส่องแสงเป็นประกายแวววาวประดับอยู่กลางแหวน หัวใจหมิวร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เธอตกอยู่ในอาการช็อคจนอึ้งไปชั่วขณะ โดยขณะที่ชายหนุ่มยังคงยิ้มให้แก่เธอนั้น หญิงสาวก็เอามือปิดปากพร้อมกับมีน้ำตาเอ่อล้นรอบดวงตา

 

“แต่งงานกับพี่นะหมิว” หนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน หมิวเสมือนถูกหยุด เธอพูดอะไรไม่ออก แต่กระนั้นก็เผลอพยักหน้าตอบรับแก่ชายหนุ่มเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มจึงยกมือหญิงสาวขึ้นมาเพื่อสวมใส่แหวนเป็นการหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ และเป็นวินาทีที่หมิวไม่อาจจะกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้ได้อีกต่อไป

 

“หนูจะจดจำวันนี้ไปตลอดไปนะคะพี่หนุ่ม”

 

...........................................................

 

“คุณจำเรื่องทุกอย่างในอดีตของคุณได้ดีใช่ไหมครับ ?”

 

“ค่ะ” ฉันตอบห้วนๆ และลุกขึ้นจากเตียงเหล็กหลังจากที่ได้รับการตรวจสภาพร่างกายด้วยแขนกลไกของหุ่นยนต์จนเสร็จสิ้น 29 ยืนหันหลังพูดคุยให้กับฉัน เพราะฉันต้องเปลือยเปล่าไปทั้งตัวขณะทำการตรวจ โดยหลังจากที่ฉันสวมใส่ชุดโลกอนาคตที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ฉันเสร็จเรียบร้อย ฉันก็บอกให้เขาหันกลับมาได้ เราจึงกลับมาพูดคุยแบบมองหน้ากันตามปกติ

 

“ผมดีใจที่คุณไม่ได้อยู่สภาวะสับสนด้านความคิดและความทรงจำ เพราะมนุษย์แช่แข็งส่วนมากมักจะมีปฏิกิริยาที่เราเรียกว่า ‘ภาวะสับสันและกดดันในช่วงเวลาที่ต่างกัน’ ซึ่งทำให้พวกเขาหลายคนต้องใช้เวลาในการปรับตัวนานหลายสัปดาห์หรือกระทั่งหลายเดือนก็มี มีบางคนที่ไม่สามารถยอมรับความจริงเหล่านี้ได้ จนพวกเราต้องพาเขาคนนั้นกลับไปจำศีลเช่นเดิมอีกครั้ง... ทั้งนี้ไม่ทราบว่าคุณจุทาทิพย์ต้องการที่จะอยากรู้รายละเอียดทางการแพทย์เกี่ยวกับสภาวะจิตใจและสมองที่ไม่ยอมรับความจริงเรื่องความต่างของเวลาไหมครับ ?”

 

ฉันไม่ได้ฟังในสิ่งที่เขาพูดในช่วงครึ่งหลัง เพราะมัวแต่สำรวจมือของตนเองด้วยความรู้สึกฉงน มือที่คุ้นเคยพลิกกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ เหมือนกับว่ามือคู่นี้ไม่ใช่ของฉันเอง เพราะครั้งสุดท้ายที่ฉันจำได้มันแห้งเหี่ยวจนแทบจะเป็นเพียงหนังที่ติดกับกระดูก จนในที่สุดฉันก็ยอมแพ้ต่อความขี้สงสัยของตนเองจนได้

 

“แสดงว่าตอนนี้ฉันหายดีแล้วเหรอ ?”

 

“ถูกต้องครับ เพราะหลังจากที่เราได้รวมตัวกันเป็นสหพันธโลกแล้ว วิทยาการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี การแพทย์ คมนาคม ได้ก้าวไกลไปจนเรียกว่าขั้นกระโดดทีเดียวไปถึงดวงจันทร์เลยทีเดียวก็ว่าได้ ซึ่งขณะนี้โลกเราสามารถไปตั้งอาณานิคมใหม่ที่ดาวเสาร์เป็นที่เรียบร้อยเมื่อไม่นานมานี้เองครับ เพราะฉะนั้นในบรรดาการเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมากที่สุดในขณะนี้แล้วครับ” ฉันส่องกระจกที่ติดอยู่กับผนังห้อง ใบหน้าของฉันดูอวบอิ่มเปล่งปลั่งเป็นสีขาวปนน้ำตาล แถมแก้มก็ยังอมสีเลือดฝาด ซึ่งแตกต่างจากครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นตัวเองในกระจกที่โรงพยาบาลปี 2015 โดยสิ้นเชิง อันที่จริงฉันดูดีกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมาด้วยซ้ำ

 

“ฉันคงไม่มีวันกลับไปป่วยเหมือนเดิมอีกแล้วใช่ไหม ?”

 

.....................................................................

 

“หมอเสียใจด้วยครับคุณจุทาทิพย์ ที่ต้องแจ้งว่าคุณเป็นมะเร็งในสมองระยะสุดท้าย”

 

หมอได้แจ้งข่าวร้ายที่สุดให้แก่หมิว หลังจากที่หลายวันก่อนหมิวสลบไปโดยที่ไม่รู้ตัวขณะที่กำลังทำอาหารเย็นให้สามีของเธอ ซึ่งต่อมาเธอก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หมิวมีอาการปวดหัวเช่นนี้มานานหลายเดือนแล้ว ในตอนแรกหญิงสาวเข้าใจว่าเธอเครียดกับเรื่องงานจนเป็นไมเกรน จึงเพียงแต่ทานยาลดอาการดังกล่าว แต่ทว่าสาเหตุที่แท้จริงมันหนักหนายิ่งกว่านั้นมาก

 

พ่อแม่ของหมิวกอดกันและร้องไห้เมื่อทราบข่าวนี้ แต่คงไม่มีใครจะรู้สึกกระเทือนจิตใจไปมากกว่าหนุ่มผู้เป็นสามีของเธออีกแล้ว ชายหนุ่มถึงกับเครียดหนักและพยายามศึกษาหาวิธีการที่จะรักษาชีวิตหมิวให้ได้ กระนั้นก็ไม่เคยมีประวัติของการรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ในวงการแพทย์ ณ ปัจจุบันเลย จะทำได้ดีที่สุดก็มีแต่เพียงยื้อเวลาชีวิตของเธอให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งหนุ่มบอกกับหมิวประโยคๆ หนึ่งในวันที่เข้าเยี่ยมครั้งแรก มันเป็นการให้กำลังใจหญิงสาวและให้ความหวัง เพื่อที่จะรอวันเวลาที่หญิงสาวจะกลับมาหายดีดังเดิมอีกครั้ง

 

“ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ผมก็จะรอคุณนะหมิว”

 

......................................................................

 

“รอนานไหมครับ ?”

 

29 ยกถาดอาหารมาวางที่โต๊ะอาหาร หลังจากที่พวกเรานั่งอยู่ในตึกอาคารที่แลดูสะอาดไปหมดทุกอย่าง ฉันมองดูอาหารโลกอนาคต ซึ่งมีตั้งแต่สิ่งที่คล้ายกับพุดดิ้ง ขนมปัง และซุปอยู่ในถาด แต่ 29 ก็บอกว่าอาหารเหล่านี้เป็นอาหารสังเคราะห์ที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ทำให้มนุษย์ในยุคปัจจุบันไม่ได้รับพิษหรือโทษของอาหารแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีรสชาติที่คัดสรรค์มาอย่างดีเป็นที่ถูกปากมนุษย์ทุกคนบนโลกอย่างแน่นอน ซึ่งทันทีที่ฉันลองชิมฉันก็เห็นด้วยกับเขาทุกประการ

 

เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้วที่พวกเราเดินทางลงมาจากสถานีอวกาศด้วยลิฟท์วงโคจรมาสู่พื้นโลกด้วยเวลาเพียง 15 นาที คิดแล้วก็น่าหัวเราะที่ครั้งแรกเมื่อมนุษย์พยายามจะผลักดันตัวเองไปสู่นอกโลกอย่างแทบเป็นแทบตาย แต่บัดนี้กลับสามารถใช้นิ้วกดปุ่มเดียวก็สามารถขึ้นลงเดินทางไปในอวกาศด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที

 

โลกอนาคตช่างดูแปลกตาเป็นอย่างมาก ผู้คนที่เดินตามท้องถนนแต่งกายด้วยสีโทนอ่อนไม่ขาวก็ฟ้าคล้ายคลึงกันหมด ฉันคิดว่าแฟชั่นที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยได้หมดสิ้นไปแล้ว ชาวอนาคตจึงอาจจะสวมใส่เสื้อผ้าที่เหมือนกันเพื่อเป็นการแสดงออกของความเป็นหนึ่งเดียวนอกจากนี้แล้วฉันเข้าใจว่าจะได้เห็นรถเหาะได้อยู่ทั่วน่านฟ้า เหมือนที่คนในปี 2015 ชอบทำนายว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่จะเกิดขึ้นในโลกอนาคต แต่ทว่าท้องฟ้ากลับปราศจากเครื่องจักรที่ล้ำสมัยเหมือนกับในหนังที่ฉันเคยดูก่อนถูกแช่แข็ง

 

“ปัจจุบันไม่มีเครื่องบินหรือรถยนต์แล้วเหรอค่ะ ?” ฉันเลิกเดาและถาม 29 โดยตรง

 

“ไม่ครับ พาหนะถูกยกเลิกไปในหลังจากที่ประเทศเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และจีนฝั่งตะวันออกรวมตัวกันเป็นหนึ่งและกลายเป็นประเทศที่เรียกว่า ‘สมาพันธรัฐเอเชียแปซิฟิก’ จนประเทศดังกล่าวได้คิดค้นนวัตกรรมที่สามารถเคลื่อนย้ายวัตถุบุคคลหรือสิ่งของด้วยการสัมผัสอุปกรณ์ที่สวมไว้ที่ข้อมือ จากนั้นอุปกรณ์จะใช้ความเร็วของพลังงานแสงในการเหวี่ยงสิ่งของ เพื่อที่จะขนส่งสิ่งๆ นั้นไปยังที่หมายที่ต้องการครับ ทั้งนี้ไม่ทราบว่าคุณจุทาทิพย์ต้องการอยากจะทราบรายละเอียดเรื่องสงครามที่แยกประเทศจีนของเป็นสองฝั่งตอนช่วงที่จักรพรรดิเหมา เจ๋อ ตุงได้ถูกจีนทำโคลนนิ่งพร้อมกับรวมดีเอนเอของวราดิเมียร์ เลนินกับโฮจิมินไหมครับ ?”

 

ฉันโบกมือปฏิเสธอย่างรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย 29 มักจะถามว่าฉันต้องการอยากจะรู้เรื่องราวของประวัติศาสตร์ในท้ายประโยคเสมอ ซึ่งฉันมองว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่ฉันรุ้เรื่องเหล่านั้นไป แต่ฉันกลับสนใจเครื่องมือที่เขาเพิ่งอธิบายเมื่อสักครู่ จึงถามเขาด้วยความใคร่รู้

 

“ใช่อันเดียวกับที่คุณสวมใส่อยู่ ณ ตอนนี้หรือเปล่าค่ะ ?” 29 มองตามนิ้วที่ฉันชี้ไปที่เครื่องที่คล้ายกับนาฬิกาบนข้อมือของเขา ชายหนุ่มโลกอนาคตเงยหน้าจากอุปกรณ์ไฮเทคขึ้นมามองฉันด้วยสีหน้าของคนที่ต้องการจะอวดของเล่น

 

“ขอให้ผมอนุญาตแสดงถึงวิธีการทำงานของมันได้ไหมครับ คุณเพียงใช้นิ้วเคาะที่เครื่องนี้เบาๆ จำนวน 2 ครั้งก็จะเป็นการเปิดเมนูโฮโลแกรม”

 

ไม่เพียงพูดเปล่าๆ 29 ใช้นิ้วชี้เคาะบนหน้าปัดจำนวน 2 ครั้งเพื่อแสดงศักยภาพของมันให้ฉันชม

 

..................................................................................

 

ก๊อก ก๊อก

 

เสียงเคาะประตูดัง 2 ครั้ง หญิงสาวที่นอนอิดโรยอยู่บนเตียงอนุญาตให้ผู้มาเยือนเปิดประตูเข้ามาได้ ซึ่งนาทีต่อมาเธอก็พบหนุ่มเป็นคนที่เข้ามาเยี่ยมเธอในวันนี้อีกเช่นเคย เขาไม่เคยมาเยี่ยมหมิวขาดสายตกหล่นเลยแม้แต่วันเดียว แต่กระนั้นด้วยระยะทางจากบ้านมายังโรงพยาบาลค่อนข้างไกล ทำให้ชายหนุ่มได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ เพราะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลของภรรยาเขา ร่างกายของชายหนุ่มจึงดูซูบผอมลงไปเยอะ อีกทั้งขอบตายังคล้ำจนดำเหมือนกับหมีแพนด้า กระนั้นหนุ่มก็ยังพยายามฝืนยิ้มซ่อนอาการอ่อนล้าหลายอย่างตามเนื้อตัว เขายังคงถือช่อดอกลาเวนเดอร์ที่หมิวชอบที่สุดมาเยี่ยมให้เหมือนเคย แต่แทนที่หญิงสาวควรจะรู้สึกดีใจ เธอกลับขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนที่จะเบี่ยงหน้าหนี

 

“พอเถอะพี่หนุ่ม หนูทนเห็นพี่ทำแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วนะคะ”

 

รอยยิ้มบนหน้าของหนุ่มจางหายไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาไม่ได้โกรธเคืองเธอแต่อย่างใด เพราะเข้าใจเจตนาที่หมิวกำลังพยายามจะทำที่เห็นสภาพเขาเป็นเช่นนี้

 

“พี่เข้าใจว่าหมิวไม่อยากเห็นพี่ต้องมาทนเหนื่อยกับการที่ต้องวิ่งไปวิ่งมาแบบนี้ แต่พี่ก็ทำด้วยความเต็มใจนะ” หมิวปวดร้าวทั้งหัวใจที่ได้ยินเช่นนั้น น้ำตาเธอเริ่มคลอเบ้า ในใจเธอนึกโทษโชคชะตาที่โหดร้ายกับพวกเธอทั้งสองเช่นนี้ แต่หญิงสาวก็ยังคงอดทนที่จะไม่เผยความจริงในใจต่อไป

 

“พี่หนุ่มก็รู้นี่ค่ะว่าหมิวกำลังจะตายในอีกไม่ช้าแล้ว เพราะงั้นพี่จะทำดีกับหมิวไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้ว หนูอยากให้พี่รีบทำใจและเตรียมเริ่มต้นชีวิตใหม่ของตัวเองซะดีกว่านะคะ” หญิงสาวกัดฟันพูดด้วยความรู้สึกปากอย่างใจอย่าง หมิวหันหน้าไปทางหน้าต่างเพราะไม่ต้องการให้สามีเธอเห็นสีหน้าที่แท้จริงของเธอ คราวนี้หนุ่มเริ่มเป็นฝ่ายที่มีน้ำตาล้นออกมาเช่นกัน

 

“ถ้าหมิวจะให้พี่ทิ้งหมิวไปทั้งๆ แบบนี้ พี่ทำไม่ได้หรอก ไม่ว่าหมอทั้งโลกจะว่ายังไง พี่ก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวหมิวว่าหมิวจะต่อสู้กับมันและจับมืออยู่กับพี่ต่อไปด้วยกันได้ ขอเพียงหมิวอย่าเพิ่งยอมแพ้ต่อทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้ก็พอ”

 

น้ำตาของหมิวอาบไปทั้งแก้มเช่นเดียวกับหนุ่ม สองสามีภรรยารู้ว่าโอกาสที่จะผ่านพ้นอุปสรรคครั้งนี้ไปได้มันช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน แต่ทั้งคู่ก็ยังหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับพวกเขาอยู่ดี

 

“...สาเหตุผมแช่แข็งร่างลูกสาวของผม เพราะเชื่อว่าอนาคตวันหนึ่งพวกเราจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีก”

 

เสียงโทรทัศน์ที่หญิงสาวเปิดทิ้งไว้พูดประโยคหนึ่ง ซึ่งจู่ๆ ก็สร้างความสนใจให้แก่หมิว หญิงสาวหันไปมองดูทีวีที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นภาพของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังหลับอยู่ในตู้เหล็กแช่แข็ง หนุ่มก็หันไปมองดูตามในสิ่งที่หมิวกำลังให้ความสนใจอยู่เช่นกัน ภาพในโทรทัศน์ตัดมาที่บุคคลที่เป็นพ่อของเด็กผู้หญิงที่กำลังให้สัมภาษณ์อีกครั้ง

 

“แล้วเมื่อเวลาอันควรมาถึง ผมก็เพียงแค่ปลุกลูกสาวของผมให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง”

 

......................................................................................

 

“คุณแค่ปลุกฉันมาเพื่อรักษาฉันเท่านั้นเองเหรอ ?”

 

ฉันถามกับ 29 ขณะที่กำลังเดินอยู่ในสวนสาธารณะที่แสนจะสงบ มีนกนานาพันธ์ขับเสียงเหมือนกับตั้งใจจะบรรเลงเพลงให้แก่ผู้ที่มาเดินเล่นในสวนแห่งนี้

 

“ถึงแม้ว่าความประสงค์ของคุณและครอบครัวจะเป็นเช่นนั้นก็ตามและเราก็ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาเป็นที่เรียบร้อย เราได้รักษาคุณให้หายขาดจากโรคร้ายก่อนที่คุณจะตื่นขึ้นมา” 29 เงียบไปและทำหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ฉันรู้ดีว่าเขามีบางอย่างที่ยังพูดออกมาไม่หมด

 

“แต่ทั้งนี้ทางสภาที่ประชุมได้มีความเห็นพ้องเรื่องที่อยากให้มนุษย์ในยุคก่อนให้คำปรึกษาแก่พวกเราเสียหน่อย”

 

“ให้คำปรึกษา ?” อะไรที่ฉันสามารถเป็นที่พึ่งให้กับมนุษย์อนาคตที่เพียบพร้อมเหล่านี้ได้

 

“แม้ว่าเราจะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ไร้ซึ่งการต่อสู้ และความอดยากหิวโหย แต่กระนั้นเรายังคงรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป... หากจะพูดให้คุณเข้าใจแล้ว พวกเรารู้สึกว่าเราขาดสิ่งที่เรียกว่า ‘ความสุข’ ไปโดยสิ้นเชิง”

 

ความรู้สึกที่มนุษย์ทุกคนจะต้องเคยผ่านเจอ ไม่น่าเชื่อว่าโลกอนาคตที่มีทุกสิ่งทุกอย่างกลับขาดสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่ง่ายที่สุดไป

 

“แล้วคุณไม่เคยรู้สึกดีมีความสุขกับแฟนหรือภรรยาของคุณบ้างเลยเหรอค่ะ ?” ฉันลองถามอะไรกว้างๆ เพราะเชื่อว่า 29 ผู้มีหน้าตาที่หล่อเหลาเช่นนี้อย่างน้อยต้องเคยมีหญิงสาวมาติดพันจนเขาเองก็ต้องรู้สึกดีกับพวกเธอเหล่านั้นบ้างแหละ แต่กระนั้น 29 กลับทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจในความหมายที่ฉันพูดสักเท่าไร

 

“เนื่องจากว่าเรามีกฎเกณฑ์ข้อห้ามหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างไปตั้งแต่ยุคการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตั้งแต่นั้นมาการมีสถานบันเทิง การครอบครองเครื่องดื่มและสิ่งเสพติดที่ทำให้มึนเมา จนไปถึงการมีเพศสัมพันธ์และการผลิตมนุษย์เป็นสิ่งที่ได้ถูกจำกัดอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งด้านการให้ข้อมูลเหล่านี้ลงในชิปสมองก็ถูกห้ามเช่นกัน ทั้งนี้พันธุกรรมของมนุษย์ในยุคปัจจุบันก็ถูกทำให้ไม่สามารถสืบพันธ์ได้ตั้งแต่แรกเกิดแล้วด้วย โดยมีวัตถุประสงค์ในการลดจำนวนประชากรโลกโดยไม่จำเป็น” ฉันเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

 

“แล้วแบบนี้ก็ไม่มีคนเกิดใหม่เลยเหรอ หรือว่ามีการทำผสมเทียมระหว่างชายหญิง ?”

 

“ไม่ครับ แม้แต่สิ่งเหล่านั้นก็ถูกห้ามอย่างถาวรเหมือนกัน เพราะเนื่องจากเทคโนโลยีของชิปความจำในสมองสามารถถ่ายโอนและเก็บรักษาภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ โดยทันทีที่ร่างกายเกิดมีปัญหาเรื่องของอายุที่มากขึ้น จนไปถึงอุบัติเหตุที่ทำให้บาดเจ็บพิกลพิการ เราจึงจะสามารถทำสำเนาความทรงจำใส่สมองของร่างกายที่โคลนนิ่งขึ้นมาใหม่ได้ทันที ซึ่งเห็นผมเช่นนี้ก็ตาม แต่ความทรงจำของผมก็มีอายุถึง 47 ปีด้วยกันแล้วนะครับ”  พระเจ้าช่วย! มีอะไรที่จะทำให้ฉันแปลกใจอีกได้ไหม

 

“แต่ทั้งนี้ก็อย่างที่ผมได้แจ้งคุณไป เพราะหลังจากที่เราได้ทำการวิจัยหลายขั้นตอนแล้ว ผมได้ตรวจสอบความทรงจำในสมองคุณผ่านเป็นวีดีทัศน์และเห็นความทรงจำต่างๆ มากมายที่คุณและสามีของคุณว่าเคยมีช่วงเวลาที่มีความสุขต่างๆ มาด้วยกันมาก เพราะฉะนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะละลายการแช่แข็งคุณออกมา เพื่อที่จะขอความรู้และให้คำแนะนำที่เราจะได้มีความสุขเช่นคุณ”

 

หลังจากที่ฉันนึกไตร่ตรองเรื่องทั้งหมดเหล่านี้อยู่สักพัก ฉันจึงไล่เรียงในสิ่งที่ฉันรู้ให้แก่เขาไป

 

“ฉันคิดว่าฉันคงช่วยอะไรพวกคุณไม่ได้มากนักหรอกค่ะ”

 

ใบหน้าของชายหนุ่มโลกอนาคตนิ่งไม่แสดงอาการ เขาเพียงหยุดเดินและนั่งลงที่ม้านั่งเพื่อรอฟังในสิ่งที่ฉันจะพูดต่อไป ฉันซึ่งนั่งข้างๆ เขาจึงเริ่มต้นอธิบายในเรื่องที่ฉันกำลังคิดอยู่ขณะนั้น

 

“ฉันเชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนบนโลกนั้นล้วนแต่ไม่มีใครเหมือนใคร มันจึงทำให้คนๆ นั้นสมบูรณ์ในแบบของเขาคนนั้นเองแล้ว แต่คงเป็นเพราะยุคสมัยใหม่ที่พวกคุณอาศัยอยู่นี้มีกฎเกณฑ์มากมาย ซึ่งพวกคุณต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดจนเสมือนกับหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนคำสั่งเข้าไป ฉันจึงคิดว่าสิ่งที่พวกคุณขาดไปอย่างแรกก็คืออิสระทางด้านความคิดและการกระทำ เพราะสองสิ่งนี้เป็นส่วนผสมที่จะนำให้คนเรามีความสุขได้ยังไงล่ะค่ะ”

 

“อิสระทางด้านความคิดและการกระทำหรือครับ ?” 29 ทวนด้วยน้ำเสียงอย่างสนอกสนใจ

 

“ใช่ค่ะ บางครั้งความผิดพลาดก็อาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เรานำไปสู่หนทางของใหม่ๆ ที่ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ถ้าเราอยู่ในกรอบของความคิดเดิมๆ ก็จะทำให้เราไม่กล้าที่จะก้าวออกไปหาสิ่งใหม่ก็ได้ค่ะ หลายครั้งที่ฉันก็ลองทำบางสิ่งบางอย่างโดยที่ไม่ได้ใช้เหตุผลเป็นตัวช่วย แต่กลับลองใช้หัวใจของตัวเองเป็นตัวชี้นำ เหมือนเช่นเดิมกับความรักที่ฉันมีต่อสามี บางทีมันอาจจะไม่มีเหตุผลก็ตาม แต่เราก็รู้สึกมีความสุขในช่วงเวลาเหล่านั้น” สายตาของ 29 จับจ้องมาที่ฉันโดยที่ตาไม่กะพริบ เขาตั้งใจฟังในสิ่งที่ฉันพูดเป็นอย่างมาก

 

“ถ้าให้ฉันเป็นคนบอกว่าอะไรที่ทำให้พวกคุณนั้นไม่มีความสุข ฉันคิดว่าเป็นเพราะพวกคุณใช้สมองมากกว่าที่จะใช้หัวใจของคุณเอง” หน้าของ 29 พยักขึ้นลงงึกงักพร้อมกับใช้นิ้วแตะที่คางเหมือนกับคนที่กำลังใช้ความคิด เขาเงียบไปพักใหญ่ จนกระทั่งเขาหันมาหาฉันและพูดว่า

 

“แม้ว่าสิ่งที่คุณอธิบายนั้นจะยากที่ทำให้ผมเข้าใจได้อย่างถ่อมแท้ แต่ผมจะลองพยายามปฏิบัติตามที่คุณช่วยชี้แนะดู”

 

“มันไม่ใช่เรื่องที่ยากและก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย แต่ฉันก็เชื่อว่ามันยังคงอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนอยู่ดีล่ะค่ะ” 29 ยิ้มกว้างให้แก่ฉัน ถึงฉันไม่แน่ใจว่าเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดจริงหรือไม่ แต่วินาทีที่ฉันเห็นรอยยิ้มนั้น เป็นแวบหนึ่งที่ฉันรู้สึกอบอุ่น และก็ยังคิดว่ามนุษยชาติในยุคนี้ก็ยังไม่ได้หมดหวังไปเสียทีเดียว เพราะชายหนุ่มแห่งโลกอนาคตนี้ก็ดูเหมือนมี 'ความสุข' เล็กน้อยที่ได้สนทนาหรือข้อเท็จจริงเรื่องนี้กับมนุษย์ที่ต่ำต้อยในอดีตเช่นฉัน

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันรู้ตัวอีกครั้งจากท้องฟ้าที่เคยสดใจก็เปลี่ยนสีแดงส้มในยามเย็น ขณะที่ใจฉันที่รู้สึกสงบนิ่ง วันนี้ฉันได้กลับมายืนที่โลกหลังจากที่ผ่านไปถึง 100 ปี ความรู้สึกของฉันช่างเปล่าเปลี่ยวและเหงาอย่างบอกไม่ถูก 29 จ้องมองฉันและตั้งข้อสงสัยว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าของชายคนที่ฉันรักลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ ฉันยิ้มจางๆ อยู่เพียงลำพังราวกับคนบ้า ซึ่ง 29 เองก็เหมือนจะสามารถรับรู้ได้ว่ามันคือรอยยิ้มของคนที่กำลังเศร้าหมองที่อยู่บนหน้าฉัน

 

“โลกใบนี้จะสมบูรณ์ได้ยังไง ถ้าหากฉันต้องอยู่โดยที่ขาดเขาไป...” ฉันพูดเสียงเบาเหมือนกับเป็นการบ่นอยู่เพียงลำพัง แต่กระนั้นไม่รู้ว่า 29 มีหูที่ดีหรือหากจะเป็นเพราะเทคโนโลยีที่ช่วยให้เขาได้ยินมากกว่าคนปกติทั่วไป เพราะเขาดันได้ยินในสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไป

 

“หาก ‘เขา’ ที่คุณจุทาทิพย์หมายถึงคือสามีของคุณแล้วล่ะก็ เขาขณะนี้กำลังอยู่ในห้องตรวจสภาพร่างกายห้องเดียวกับที่คุณเพิ่งเข้ารับการตรวจก่อนหน้านี้นะครับ” ฉันหันขวับไปหาเขาพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างและหัวใจก็บีบแน่นอย่างรุนแรง

 

“คุณหมายความว่ายังไง ?” ฉันลุกขึ้นยืนจากบนม้านั่งกะทันหันถามเพื่อความแน่ใจ

 

“หลังจากที่คุณเริ่มต้นการจำศีลได้เพียงไม่กี่ปี สามีของคุณก็เข้าร่วมโครงการไครโอนิกส์เช่นเดียวกันกับคุณ โดยเขาได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าจะต้องทำการปลุกเขาก็ต่อเมื่อคุณได้ตื่นก่อนเขาเท่านั้น ซึ่งคาดว่าอีกไม่ถึงชั่วโมง เพื่อนร่วมงานของผมก็คงจะพาเขามาพบคุณที่นี่แหละครับ”

 

ฉันถึงกับทิ้งตัวลงไปคุกเข่าด้วยความปลาบปลื้ม บ่อน้ำตาของฉันแตกจนไม่อาจจะกลั้นมันเอาไว้ได้อีกต่อไป แต่ 29 กลับเอียงคอและตีความเข้าใจผิดไปกันใหญ่

 

“คุณจุทาทิพย์รู้สึกไม่สบายหรือเปล่าครับ ต้องการให้ผมพาคุณไปตรวจร่างกายอีกครั้งไหมครับ ?” ฉันยิ้มและหัวเราะให้เขาพร้อมน้ำตาให้กับความไร้เดียงสาของเขาและตอบ 29 ไปว่า

 

“ไม่ค่ะ... คราวนี้ฉันอยากจะขอเป็นฝ่ายที่จะรอเขาอยู่ที่นี่บ้างดีกว่าค่ะ”

 

อวสาน.

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว