ปลายฝัน
0
ตอน
476
เข้าชม
14
ถูกใจ
1
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

ปลายฝัน

ภาพมัวๆ ที่ถูกมองผ่านม่านน้ำตาฉายเพียงความโกลาหล เหล่าบรรดาชายหญิงในชุดคลุมสีขาวต่างเร่งฝีเท้ากันสุดกำลังเพื่อจะนำร่างของผู้ที่นอนไม่ไหวติงบนเตียงไปให้ถึงจุดหมายปลายทางโดยเร็วที่สุด สายระโยงรยางค์เต็มไปหมดบ่งบอกถึงอาการของเขาผู้นั้นได้เป็นอย่างดี

หญิงสาววิ่งตามกลุ่มคนเหล่านั้นไป หัวสมองมีเพียงความว่างเปล่า หัวใจรัวแรงจนแทบหลุดจากอก เสียงอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ดังมาจากทุกทิศทาง รอบกายสับสนอลหม่านจนไม่อาจแยกแยะรายละเอียดใดๆ

และเมื่อกลุ่มคนในชุดขาวพาร่างไร้สติผ่านกรอบสี่เหลี่ยมไป บานประตูทั้งสองก็ประกบเข้าหากันราวกับต้องการจะปิดกั้นความสับสนวุ่นวายทั้งมวลออกไป ฉับพลันตรงหน้าของหญิงสาวก็เปลี่ยนไปเป็นคนละโลกกับเมื่อสักครู่อย่างน่าใจหาย

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้สัมผัสได้รู้สึกกลับดับวูบลงไปในบัดดล สายตาทำได้เพียงจับจ้องบานประตูที่กำลังจะปิดสนิทลง

...ปึง...

เสียงกระทบแผ่วเบาดังไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ รอบกายเหลือเพียงความเงียบเชียบและบรรยากาศน่าหวั่นวิตก ผนัง เพดาน ที่ถูกทาด้วยสีขาวไม่อาจทำให้ใจสงบ ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่ได้แต่ยืนนิ่งราวไม้สลัก แต่ความรู้สึกบอกว่านั่นคือชั่วกัปชั่วกัลป์

ไม่มีเสียงลมหายใจ ไม่กล้าขยับตัว ความกลัวเข้าครอบงำไปทุกอณู ใจคิดเพียงว่าหากทำอะไรลงไปเพียงน้อยนิดมันอาจส่งผลกระทบใหญ่หลวงตามมาต่อจากนั้น โลกทั้งใบเหลือเพียงทางเดินไร้ที่สิ้นสุดและห้องที่หญิงสาวไม่เคยเห็นอีกฝั่งฟากของบานประตู

แล้วในที่สุดประตูที่กั้นโลกทั้งสองก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับที่หนึ่งในชายชุดขาวก้าวเดินออกมาจากอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้า เขาคลายผ้าปิดปากออก เธอจ้องริมฝีปากนั้น มันขยับขึ้นลงเชื่องช้าเหมือนกับภาพยนตร์ที่ถูกฉายให้ช้าลงสักร้อยเท่า เสียงยานคางเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากหนา

“พวกเราได้พยายามกันเต็มที่แล้ว แต่อาการของเขาสาหัสเหลือเกิน เสียใจด้วยนะครับ”

คำพูดเพียงไม่กี่คำก็เพียงพอที่จะทำให้โลกทั้งใบของเธอถล่มทลาย

“ในมือของเขากำของสิ่งนี้ไว้แน่น ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นของคุณ”

ชายชุดขาวยื่นสิ่งหนึ่งวางไว้บนฝ่ามือหญิงสาว และเพียงแค่ได้เห็นน้ำตาก็ร่วงพรู สะอื้นไห้แทบขาดใจ สองมือกุมวงแหวนสีทองที่เพิ่งได้รับมาเอาไว้แนบอก

ถ้าเพียงทุกอย่างไม่เกิดขึ้น ถ้าไม่เพราะคนขาดสติขาดจิตสำนึกเพียงคนเดียว ตอนนี้เธอก็จะเป็นหญิงสาวที่มีความสุขที่สุดในโลกไปแล้ว แต่ขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างของเธอได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

จากความคิดก็กลับกลายเป็นความเคียดแค้น มันถาโถมรุนแรงในอก แต่เพียงฉับพลันไฟอันคุกรุ่นนั้นก็หยุดกระพือและมอดลงไปเสียเฉยๆ สีหน้าแววตาร้อนรุ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าสร้อยเหลือคณานับ

ไม่ ไม่ใช่ เป็นเพราะฉันเองต่างหาก ใช่แล้ว เพราะฉันเอง ถ้าฉันมาเร็วกว่านี้เรื่องร้ายทั้งหมดก็จะไม่เกิดขึ้น และเขาก็จะไม่ต้องจากไป

หลังความคิด ทุกสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงจนกลายเป็นหยุดนิ่ง หญิงสาวมองไปรอบๆ ชายชุดขาวที่กำลังปลอบโยนเธอเมื่อสักครู่นิ่งไปเสียเฉยๆ ผู้คนที่กำลังเดินไปมาก็ค้างอยู่ในท่านั้น เธองุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มืออันสั่นเทายื่นไปด้านหน้าเพื่อพิสูจน์สิ่งที่ตาเห็น แต่ก่อนจะได้สัมผัสถูกอะไร จู่ๆ ภาพตรงหน้าก็บิดม้วนเป็นเกลียวพร้อมๆ กับที่มันเลื่อนไหลเข้าหาตัวเธอ มันเร็วขึ้น รุนแรงขึ้น จนกลายเป็นพายุบ้าคลั่ง

เธอหรี่ตา ยกแขนขึ้นป้อง ภาพตรงหน้าละลายไปกับสายลมที่ยังทวีความรุนแรงขึ้นจนสายตาไม่อาจสู้ได้ และเพียงวูบเดียวที่ได้รู้สึกถึงสายสมกรรโชกสุดท้าย ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยุติลงราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

เสียงกระหึ่มจากเครื่องยนต์และเสียงจอแจดังเข้ากระทบโสตประสาท หญิงสาวลืมตาและพบว่าตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาล แต่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางตึกระฟ้า การจราจรคับคั่ง และฝูงชนบนทางเท้าของถนนสายหลักที่เธอใช้เดินทางเป็นประจำ

เธอคลี่ยิ้มเมื่อมองไปยังทางเท้าฝั่งตรงข้าม ชายคนรักกำลังยืนรอเธออยู่ แต่ชั่ววูบต่อจากนั้นหญิงสาวก็นึกอะไรบางอย่างออก

 

หกโมงห้าสิบแปดนาที

นาฬิกาข้อมือบอกเวลา ขณะนี้เลยเวลานัดกับเขามาแล้วเกือบหนึ่งชั่วโมง และต่อจากนี้ไปอีกไม่กี่วินาที เหตุการณ์เลวร้ายบางอย่างจะเกิดขึ้น

ต้องพาเขาออกไปจากที่นี่ให้ได้

เพียงประโยคเดียวที่ดังวนเวียนอยู่ในหัวสมอง หญิงสาวตื่นตระหนก ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอพยายามพุ่งตัวไปด้านหน้าฝ่าผู้คนหนาแน่น แต่ยิ่งเบียดแทรกเข้าไปก็เหมือนกับยิ่งเดินเข้าไปหากับดักมนุษย์ที่ไร้ทางออก ฉับพลันนั้นสายตาที่กำลังสอดส่ายหาเส้นทางก็เห็นอะไรบางอย่าง มันมีขนาดมหึมาและกำลังเคลื่อนตัวมาตามถนนด้วยความเร็วที่ทำให้ทุกคนถึงกับตะลึง

มัน มันนั่นเอง

อสูรกายคลั่งที่พร้อมจะบดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางหน้า ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา เธอดิ้นรนขัดขืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเต็มกำลัง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้นไปได้ เสียงกรีดร้องเป็นสิ่งที่ถูกปลดปล่อยออกมาแทนเมื่อสติรับรู้ได้ว่าทุกสิ่งกำลังจะสายเกินไป

มันเสียการทรงตัวและกำลังวิ่งส่ายไปมาเหมือนงูพุ่งเข้าหาทางเท้าฝั่งตรงข้าม ไม่มีสิ่งใดที่ต้านทานขนาดและความเร็วขนาดนี้ได้ สิ่งที่ขวางหน้าถูกเก็บกวาดไม่เหลือชิ้นดี

ชายหนุ่มหันไปมองด้วยอาการตกตะลึง สายเกินกว่าแม้คิดจะเปล่งเสียงใดๆ ออกมาจากลำคอ

“ระวัง...งงง”

“เอี๊ยด...ดดด โครม...มมม”

หัวใจสลาย ความเย็นเยียบเกาะกุมไปถึงไขสันหลัง เธอทำได้เพียงจ้องมองภาพตรงหน้า มีเพียงใจเท่านั้นที่ล่องลอยไปถึงเขา

ไม่ ไม่จริง มันต้องไม่เป็นอย่างนี้ ถ้ามาเร็วยิ่งกว่านี้ ใช่ ต้องเร็วกว่านี้สิ เร็วกว่านี้

หลังเสียงพึมพำ ทุกสิ่งเชื่องช้าและหยุดลงอีกครั้ง เหตุการณ์สับสนยุติลง ทุกคนแข็งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง มิติรอบกายบิดเบี้ยวหมุนวนอีกครั้ง หญิงสาวหลับตาปล่อยให้กระบวนการตรงหน้าดำเนินไป และเมื่อกระแสลมสุดท้ายกระชากผ่านตัวไป

 

บ่ายโมงห้านาที

หญิงสาวกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะในสำนักงาน เผลอยิ้มออกมาคนเดียวเมื่อตรวจสอบเวลาบนนาฬิกาข้อมือ

“นี่คุณ ทำงานได้แล้ว อย่ามัวแต่เหม่อ อะไรก็ไม่รู้ นั่งยิ้มอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เดี๋ยวงานการก็ไม่เสร็จกันพอดี ยิ่งรีบๆ กันอยู่ด้วย”

“ค่ะๆ ขอโทษค่ะพี่”

เธอยอมรับผิดแต่โดยดีก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการกองงานตรงหน้า เพียงเวลาไม่นานเอกสารเป็นตั้งๆ ก่อนหน้านี้ก็ลดลงไปถนัดตา

คราวนี้ล่ะ ทันเวลาแน่ มันจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็น จะไม่มีใครต้องจากไป แล้วก็ไม่มีใครต้องเสียใจอีก

“โอ้ย...ยยย”

เสียงเอะอะที่มุมหนึ่งของสำนักงานดึงหญิงสาวออกจากความคิด เธอมองไปยังต้นเสียงและพบว่าเพื่อนร่วมงานเริ่มกรูกันเข้าไป ส่วนหนึ่งกำลังพยายามช่วงกันพยุงตัวเจ้าของเสียงท้องโย้อุ้ยอ้าย

“เกิดอะไรขึ้น”

“สงสัยจะคลอดแล้วน่ะ ไม่รู้สิ ยังไงก็รีบพาไปส่งโรงพยาบาลก่อนดีกว่า”

สาวท้องแก่ถูกพยุงออกไปอย่างเร่งด่วน บรรยากาศแบบสำนักงานกลับมาอีกครั้งหลังเหตุการณ์ตื่นเต้นเล็กๆ น้อยๆ หากทว่าสิ่งที่หลงเหลืออยู่ตรงหน้าของหญิงสาวในขณะนี้กลับกลายเป็นงานชิ้นโต

“คุณก็รู้ว่างานชิ้นนี้สำคัญกับผม กับทีมเรามากขนาดไหน แล้วตอนนี้เราก็ขาดไปอีกคนหนึ่งแล้ว ยังไงคุณช่วยเก็บรายละเอียดที่เหลือต่อก็แล้วกันนะ”

“แต่ว่า พี่คะ นี่มันไม่ใช่งานของหนู แล้วเย็นนี้หนูก็...”

“ผมรู้ ผมอาจจะขอร้องคุณมากไป แต่ยังไงซะก็ถือว่าผมขอร้องก็แล้วกันนะ เพื่อความอยู่รอดของทีมเรา”

หญิงสาวเลือกที่จะหยุดเรื่องราวทั้งหมดแค่นั้นเพื่อไม่ให้ต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้และก้มหน้าก้มตาทำงานที่ไม่คาดคิดตรงหน้า เธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูบ่อยกว่าความจำเป็น นึกในใจถึงคำพูดของใครบางคนที่ว่าถ้าดูนาฬิกาบ่อยๆ จะรู้สึกเหมือนเวลามันผ่านไปช้ามาก

ไม่เห็นจะจริงเลย

เวลาล่วงเลยไปรวดเร็วจนน่าใจหาย เวลางวดใกล้เข้ามา ยิ่งรีบก็ยิ่งลนลาน จนในที่สุดเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารที่ถูกจัดการอย่างเรียบร้อย แสงสีส้มหม่นก็กลืนกินผืนฟ้าอย่างเงียบเชียบแล้ว

ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ ไว้ ไปตอนนี้ยังทันถมเถ

หญิงสาวคว้ากระเป๋าถือไม่ตรวจสอบหรือเก็บข้าวของสัมภาระอื่น ก้าวเท้ายาวๆ ออกจากห้องทำงานไปยังลิฟต์ ตัวเลขแสดงที่อยู่ของลิฟต์ค้างอยู่ที่ชั้นหนึ่งเนิ่นนานไม่ว่าเธอจะกดเรียกกี่ครั้ง เธอตัดสินใจวิ่งไปที่บันไดแทนเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ

ท้องถนนในเวลานี้มีรถรามากและติดขัดกว่าที่ควรจะเป็นโดยไม่ทราบสาเหตุ ถึงแม้จะใช้บริการรถแท็กซี่แล้วแต่ก็ไม่ได้ทำให้ถึงที่หมายได้เร็วดังใจคิด แม้ห้องโดยสารจะถูกปรับอากาศจนเย็นฉ่ำแต่เธอกลับกระสับกระส่ายจนคนขับแปลกใจ

“แอร์ไม่เย็นรึเปล่าครับ”

“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรค่ะ”

เธอตอบในขณะที่สายตาไม่วางตาจากนาฬิกาข้อมือ

“นี่ค่ะ”

“เดี๋ยวครับคุณ คุณจะลงตรงนี้เลยเหรอครับ คุณ เฮ้อ ทำไมจะรีบอะไรขนาดนี้เนี่ย”

เธอจ้ำอ้าวเดินตามทางเท้าหลังยื่นค่าโดยสารให้คนขับ ใจคิดหามอเตอร์ไซด์รับจ้างที่ใกล้ที่สุดเพื่อเดินทางต่อ หรือหากหาไม่ได้จริงๆ เดินไปก็ยังดีกว่านั่งนิ่งๆ อย่างไร้จุดหมาย

 

หกโมงห้าสิบนาที

บนถนนเส้นเดิม บนทางเท้าเดิม ในที่สุดหญิงสาวก็มาถึงด้วยอาการเหนื่อยหอบเหลือกำลัง ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าตลอดเส้นทางที่ผ่านมาไม่มีมอเตอร์ไซด์รับจ้างเลยแม้แต่คันเดียวทั้งที่ปกติไม่เป็นอย่างนี้ เธอเบียดแทรกฝูงชนที่กำลังรอข้ามถนนจนมายืนอยู่แถวหน้าสุด ไม่สนใจสายตาของใครว่าจะมองยังไง

ใครจะมองยังไงก็ช่าง สิ่งสำคัญคือคนที่อยู่ในสายตาตรงหน้าเท่านั้น ตอนนี้เหลือเพียงรอจังหวะข้ามไปฝั่งตรงข้ามและดึงชายคนรักออกมา แล้วทุกอย่างก็จะยุติ

แต่จนแล้วจนรอดรถราก็ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นใจให้ได้มีโอกาสทำตามแผน เธอยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา ใบหน้าซีดเผือด ตัดสินใจโบกมือป้องปากตะโกนสุดเสียงหวังให้ชายคนรักรับรู้ว่าเธอมาถึงแล้วและให้เดินออกจากตรงนั้นมาหาเธอโดยเร็ว

ถนนกว้างขวางหลายช่องวิ่ง การจราจรขวักไขว่ ผู้คนเบียดเสียด เสียงอึกทึกครึกโครม ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงที่ดังกว่าเสียงของหญิงสาว เขายังคงยืนนิ่งที่เดิม และเจ้าอสูรกายยักษ์ก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

“ระวัง...งงง”

“เอี๊ยด...ดดด โครม...มมม”

อีกแล้ว อีกครั้งแล้ว ไม่ ไม่ใช่ เป็นเพราะว่ายังเร็วไม่พอ ต้องเร็วกว่านี้อีก เร็วกว่านี้ยิ่งขึ้นไปอีก

หญิงสาวหลับตา กระแสลมกรรโชกผ่านอีกครั้ง เธอลืมตาเมื่อครบกระบวนการ บนหน้าปัดนาฬิกาแขวนผนังเข็มสั้นชี้ไปที่เลขเจ็ดและเข็มยาวเลขสิบสอง

 

เจ็ดโมงเช้า

เธอนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอนของตัวเอง ลมเย็นจากอากาศยามเช้าพัดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ ม่านสีชมพูอ่อนพลิ้วเบาๆ ตามแรงลม นกน้อยหลายตัวประชันเสียงกันบนกิ่งไม้ด้านนอก บรรยากาศในเวลานี้ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย มันเหมือนกับไม่เคยมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

เธอยกหูโทรศัพท์ขึ้นกดหมายเลขปลายทางหลังคิดหาทางอยู่ครู่หนึ่ง

“อะไรกันคุณ จะมาขอลาอะไรเอาวันนี้ คุณก็รู้นี่ว่าวันนี้ครบกำหนดส่งงานลูกค้าแล้ว แล้วพวกเราก็เร่งกันแทบล้มประดาตายกันอยู่เนี่ย”

“ขอโทษจริงๆ ค่ะพี่ หนูไปไม่ไหวจริงๆ”

“เฮ้อ”

เสียงถอนหายใจเบาๆ ที่ปลายสายบ่งบอกอารมณ์คู่สนทนา น้ำเสียงถูกปรับลงมาให้อยู่ในระดับปกติ

“เอาเถอะ คนจะป่วยยังไงก็คงเลี่ยงไม่ได้ ยังไงซะก็รีบรักษาตัวให้หายก็แล้วกัน พักผ่อนมากๆ ล่ะ เรื่องงานส่วนของคุณก็ไม่ต้องห่วง ยังดีที่โทรฯ มาลาแต่เช้า ยังพอหาคนมาจัดการต่อได้ทัน”

“ขอบคุณค่ะพี่”

ดีแล้วล่ะ อย่างนี้ดีที่สุดแล้ว ต่อจากนี้ถึงที่ทำงานจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องรับรู้ ยังไงซะก็มีคนทำแทนอยู่แล้ว ตอนนี้คิดถึงเรื่องตรงหน้าก็พอ ทิ้งเรื่องอื่นไปให้หมด ขอเพียงให้พ้นวันนี้ไปเท่านั้น

หญิงสาวจัดการเรื่องต่างๆ และออกเดินทางจากบ้านตั้งแต่เวลาบ่ายโมง และเช่นเคยที่มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในขณะเดินทาง หลายสิ่งหลายอย่างติดขัดไม่น่าเชื่อ แต่สุดท้ายในวันนี้เธอก็เดินทางมาถึงที่หมายได้ก่อนเวลานัดถึงเกือบครึ่งชั่วโมง

ที่เดิมแห่งความเจ็บปวด เธอพบว่าชายหนุ่มคนรักมายืนรออยู่ก่อนแล้ว ขาทั้งสองพาเธอเดินข้ามฝั่งถนนไปหาเขาด้วยความดีใจ แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังอดกลัวไม่ได้ สายตาคอยสอดส่องรอบๆ อย่างหวาดระแวง รถยนต์หลายคันจอดอยู่เพื่อรอคนเดินข้ามผ่านทางม้าลายไปก่อน บางคันแล่นเอื่อยเฉื่อยเตรียมต่อท้ายแถว

เธอเดินอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังเกาะกลุ่มกันข้ามฟาก รอบบริเวณในระยะสายตาดูสงบราบเรียบจนน่าแปลกใจ มันราบเรียบจนเกินไปจริงๆ แม้แต่สายลมยังสงบจนดูน่ากลัว

“คุณมาเร็วจังนะครับ”

ชายหนุ่มทักหญิงสาว ใบหน้ายิ้มแย้มอบอุ่นตามแบบฉบับ เพียงแค่เห็น เพียงแค่ได้ยิน เธอก็ลืมความกังวลจนหมดสิ้น

“แต่ก็ยังสู้คุณไม่ได้อยู่ดีนะคะ แล้วนี่มายืนรอนานรึยังคะเนี่ย”

เธอหยอกเขากลับ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงนี้อีกครั้ง ในที่สุดก็ได้เห็นรอยยิ้มนี้อีกครั้ง ประสาทตึงเครียดก่อนหน้าผ่อนคลายลง รู้สึกถึงสายลมแห่งโชคชะตาที่กำลังพัดเข้าข้างเธอแล้ว

“ก็ตั้งแต่ห้าโมงน่ะครับ”

“ตายแล้ว ทำไมมาเร็วขนาดนี้ นี่คุณเลิกงานกี่โมงกันแน่เนี่ย หรือว่าฉันหลงเข้าใจผิดไปเสียนานว่าคุณเลิกงานสี่โมงครึ่ง”

เธอทำตาโต ขึ้นเสียงสูง เขายืนเกาหัว ยิ้มหวาน

“คุณเข้าใจไม่ผิดหรอกครับ แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ ผมเลยไม่มีสมาธิทำงาน สุดท้ายก็เลยต้องขอลางานมาก่อนน่ะครับ”

หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในทุกคำพูด มันเป็นความยินดีอย่างเหลือล้น มันเจือไปด้วยความสุข เต็มเปี่ยมจนเธอรู้สึกพองโต

“แล้วอะไรที่พิเศษมันคืออะไรล่ะคะ”

ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วแต่ก็ยังแกล้งถาม แอบยิ้มในใจที่เห็นเขาทำท่าอึกอัก

“เอาอย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวพวกเราข้ามไปหาอะไรทานที่ฝั่งนั้นกันก่อน พอท้องอิ่มแล้วค่อยคุยกันต่อ”

เขาเสนอทางเลือก เธอตอบรับ นึกโล่งใจที่จะได้ออกไปจากบริเวณนี้เสียที แม้รู้ว่ายังอีกนานกว่าจะถึงเวลานั้นแต่ก็ยังอดระแวงไม่ได้

“ดีเหมือนกันค่ะ กำลังหิวเลยด้วย”

มันกำลังจะยุติลงแล้ว ในที่สุดก็สำเร็จ ต่อจากนี้ไปโลกของเธอก็จะกลับมาเป็นโลกใบเก่าที่ทุกแห่งหนล้วนเป็นสีชมพู

“ระวังครับ”

หญิงสาวหลุดจากภวังค์เพราะเสียงตะโกนอันน่าตื่นตระหนกของชายคนรัก ข้อมือเธอถูกดึงรั้งไว้ด้วยมือที่แข็งแรงกว่า ร่างกายปลิวกลับตามแรงฉุดของเขา เพียงแค่เส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้นที่รถยนต์คันนั้นแล่นผ่านไป เธอรอดจากอันตรายครั้งนี้ได้อย่างฉิวเฉียด

แต่ทว่าแรงฉุดของชายหนุ่มกลับทำให้สิ่งที่หญิงสาวกำอยู่ในอุ้งมือมาตลอดนับตั้งแต่วินาทีแรกของเรื่องราวทั้งหมดปลิวหลุดออกจากมือของเธอไป

สายตาจ้องมองวงแหวนสีทองด้วยความตกใจ มันลอยคว้างราวไร้น้ำหนักอยู่กลางอากาศ ประกายเงาวับงดงามสะท้อนเจิดจ้าในดวงตา

เชื่องช้า เนิ่นนาน ราวกับทุกสิ่งจะหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นชั่วนิรันดร์

ไวกว่าความคิด เธอกระโจนออกไปหมายจะคว้ามันกลับมา เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่ไหล่ของเธอถูกรั้งเอาไว้ และเมื่อเธอเหลียวไปมอง เขาก็พุ่งตัวออกไปหาแสงเรืองรองเล็กๆ นั้นแล้ว

มันเป็นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นจริงๆ แต่แล้วมันก็กลับกลายเป็นชั่วนิรันดร์สำหรับเธอ น้ำตารินไหลออกมาในทันที ภาพชายคนรักค่อยๆ ลอยคว้างออกไปสู่ถนนดำมะเมื่อม ไปสู่เงื้อมมือมัจจุราชที่บัดนี้มันได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่อีกครั้งหนึ่งแล้ว

และ...

“เอี๊ยด...ดดด โครม...มมม”

เหตุการณ์เดิมได้สร้างรอยแผลใหม่ มันกรีดลึกเจ็บปวดจนคราวนี้ปราศจากแม้แต่เสียงกรีดร้อง หญิงสาวทรุดตัวลงกับพื้น หยาดน้ำรินไหล มือไม้สั่นเทา หัวใจเธอแตกสลายอีกครั้ง

ฉันเอง เพราะฉันเอง อีกนิดเดียวเท่านั้น

คำซ้ำที่เหมือนทุกครั้งล้วนกล่าวโทษตัวเอง เธอยังกายยืนอย่างคนไร้สติ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้มวลอากาศไม่บิดเบี้ยว ภาพรอบกายไม่เลื่อนไหล ไม่มีลมกรรโชก รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นบางๆ กำลังโอบกอดเธออยู่

หญิงสาวลืมตา บรรยากาศรอบกายค่อยๆ โปร่งใสและเลือนหายไปเหลือเพียงความขาวโพลน เท้ากำลังเหยียบย่ำอยู่บนความว่างเปล่า ไม่มีข้างบน ไม่มีข้างล่าง ไม่มีซ้ายขวา

แม้ไม่หันกลับไปมองก็รู้ว่าเป็นเขา เธอเลื่อนมือกระชับอ้อมกอดให้แนบแน่นยิ่งขึ้น สายตาเหม่อมองออกไปไกล

“อีกนิดเดียวฉันก็จะช่วยคุณได้อยู่แล้ว ถ้าวินาทีนั้นฉันไม่ตัดสินใจทำอะไรโง่ๆ ถ้าฉันไม่กระโดดออกไป คุณก็คงไม่ต้อง...”

“พอได้แล้วล่ะครับคนดีของผม คุณรู้รึเปล่า ยิ่งคุณพยายามเท่าไหร่ ยิ่งคุณคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมามากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะเป็นตัวคุณเองที่จะยิ่งบอบช้ำ และก็จะยิ่งจมลงสู่อดีตที่โหดร้ายเหล่านี้มากขึ้นเท่านั้น”

“หยุดทำร้ายตัวเองได้แล้วครับ ไม่ว่าคุณจะพยายามเพียงใด ไม่ว่าจะฝืนสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะอีกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ที่ปลายทางแห่งความฝันของคุณก็จะยังคงเป็นแบบเดิม ไม่ว่าเมื่อวาน วันนี้ พรุ่งนี้ หรือวันไหนๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

สายตาอ่อนโยนที่กำลังจับจ้องหญิงสาวคนรักฉายแววเศร้าหมองอย่างเหลือกำลัง

“สุดท้ายแล้ว การที่ผมไม่ได้มีตัวตนอยู่ในโลกนี้แล้ว นั่นล่ะครับคือความจริง”

รอบกายคนทั้งสองเงียบเชียบ หญิงสาวหมุนตัวกลับ จ้องใบหน้าเข้มราวกับต้องการจะแทรกลึกลงไปให้ถึงจิตใจ

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย คุณรู้มั้ย ฉันเจ็บ มันหนักหนาจนฉันแทบทนไม่ไหว มันทรมานจนฉันไม่อยากอยู่อีกต่อไปแล้ว”

เสียงปนสะอื้นสะกดความบอบช้ำแสนสาหัสไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มโอบร่างเล็กกระชับแน่นเข้าอกอุ่น

“ผมรู้ ผมเองก็เหมือนคุณ คุณก็รู้ใช่มั้ย ข้างในนี้ของผมมันไม่ได้แตกต่างไปจากคุณเลย”

มือหนาลูกศีรษะหญิงสาวอย่างทะนุถนอม ความรู้สึกของเธอในขณะนี้คล้ายแก้วบางที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ

“แต่นี่คือสิ่งที่คุณจะต้องผ่านพ้นมันไป ชีวิตของคุณยังอีกยาวไกล คุณยังต้องเจอใครอีกมาก สักวันคุณจะได้พบกับคนที่ดีและเหมาะสมกับคุณยิ่งกว่าผม ที่สำคัญกว่านั้น ยังมีคนอีกมากมายที่รักคุณและรอการกลับไปของคุณอยู่”

“ไปเถอะครับคนดีของผม ได้เวลาที่คุณจะต้องตื่นจากฝันร้ายแล้ว เลิกยึดติดอยู่กับความรู้สึกผิดในอดีต เลิกโทษตัวเองได้แล้ว ถึงเวลาที่คุณจะต้องเข้มแข็งขึ้นแล้ว”

ทุกสิ่งพร่าเลือน รอยยิ้ม อ้อมกอด คำพูดสุดท้ายค่อยๆ ไกลออกไป กระแสลมแผ่วพลิ้วผ่านร่างหญิงสาว มันช่างอบอุ่นและอ่อนโยนกว่าลมไหนๆ ที่เคยสัมผัสมา

“เดินออกจากอ้อมกอดอันว่างเปล่านี้ไปสู่ที่ๆ จะให้ความอบอุ่นที่แท้จริงกับคุณได้เถอะนะ”

 

…………………………………………

 

ภาพตรงหน้ากระจ่างชัดขึ้นเป็นลำดับ หญิงสาวหันมองรอบกาย เธอกำลังนั่งอยู่บนม้านั่ง รอบบริเวณเป็นสนามหญ้าเขียวขจีแซมด้วยไม้ดอกหลากสี แดดอ่อนยามเช้าทาทับมอบความอบอุ่นทั่วบริเวณ สายลมต้องผิวหอบเอากลิ่นหอมและความเย็นสบายมาให้ โลกเบื้องหน้าช่างสว่างไสวแปลกตา

“เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ จะเอาอะไรมั้ย หรือว่าหิวแล้ว”

น้ำเสียงอ่อนแรงทว่าช่างอ่อนโยนกล่าวกับหญิงสาว เธอหันไปมองยังที่มาของเสียง และเพียงได้เห็นความรู้สึกหนึ่งก็เอ่อท้นออกมา

“แม่”

เสียงอิดโรยแผ่วเบา แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้หญิงชราที่คอยเฝ้าดูเธอมาตลอดถึงกับน้ำตาร่วงออกมาได้อย่างง่ายดาย

“หนู เมื่อกี้หนูพูดใช่มั้ย เสียงของหนูใช่มั้ย เมื่อกี้หนูพูดว่าอะไรนะ”

นางถามวกไปวนมาด้วยเกรงว่าสิ่งที่นางได้ยินจะเป็นเพียงฝันไป น้ำเสียงสั่นเครือแฝงความหวังและความปีติเหลือล้น

“แม่คะ”

เธอเงยหน้าซีดเซียวขึ้นมองหญิงชราตรงหน้า พูดคำเดิมซ้ำอีกครั้ง

“รู้สึกตัวแล้วเหรอลูก”

นางเอ่ยราวเลื่อนลอย ทั้งดีใจและตื้นตัน สองมือเหี่ยวย่นโอบประคองใบหน้าลูกสาวอย่างแผ่วเบา นางกลัวว่ามันจะเป็นเพียงแค่ฝันดีอีกคืนหนึ่งที่เมื่อตื่นขึ้นมาทุกอย่างจะกลับเป็นแบบเดิม

“หนูหายไปนานมั้ยคะ”

“นานจ้ะ นานมาก นานจนแม่คิดว่าจะไม่มีโอกาสได้ยินเสียง ไม่มีโอกาสได้คุยกับหนูอีกแล้ว”

หญิงสาวโน้มตัวซุกผู้เป็นมารดา มือโอบกอด น้ำตารินไหลจากดวงตาที่ทำได้เพียงเหม่อลอยมาตลอดระยะเวลานาน ดวงตาที่บัดนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง

“ขอโทษค่ะแม่ หนูกลับมาแล้ว”

หญิงชราลูบศีรษะคนในอ้อมกอด นานแล้วที่นางไม่เคยได้ทำแบบนี้ ลูกสาวนางที่เอาแต่นั่งนิ่งไม่รับรู้อะไรตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้น

“แม่รู้แล้ว กลับมาอยู่กับแม่นะคนดี ปล่อยให้เรื่องทุกเรื่องผ่านพ้นไปแล้วเรามาเริ่มต้นกันใหม่นะลูก”

“ค่ะ แม่”

สายลมอุ่นพัดผ่านโอบคลุมคนทั้งสองเข้าด้วยกันอีกครั้ง หญิงสาวได้หลุดพ้นจากภาพฝันที่ดูเหมือนไร้ที่สิ้นสุดซึ่งปลายทางของมันมีเพียงจุดเดียว ภาพฝันที่เริ่มต้นจากจุดจบซึ่งทำให้เธอได้แต่จมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความทุกข์ระทมอันไร้ขอบเขตและไร้ความหวัง

บัดนี้เธอเดินออกจากอ้อมกอดอันว่างเปล่าที่เธอสมมติขึ้นเองและกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง โลกที่เธอต้องยืนหยัดและผ่านพ้นมันไป

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว