บทนำ
เจอดี
ภายในฟิตเนสที่เคยครึกครื้นบัดนี้กลับเงียบกริบราวกับป้าช้า ซึ่งเมื่อชั่วโมงกว่าๆ ก่อนหน้านี้ สถานที่ออกกำลังกายแห่งนี้เต็มไปด้วยเสียงเพลงที่ดังกึกก้องผสมผสานไปกับเสียงแผ่นน้ำหนักกระทบกันอยู่เกือบตลอดเวลา บรรยากาศรอบข้างในตอนนี้ต่างแตกจากก่อนหน้านี้กันอย่างสิ้นเชิง
‘ป้าจุ๋ม’ เป็นเพียงคนเดียวที่ยังคงอยู่ในคลับแห่งนี้ อย่าน้อยเธอก็เข้าใจอย่างนั้น หญิงวัย 40 กว่าๆ เพิ่งเข้ามาทำงานใน ‘โทมัส ฟิตเนส’ ได้เพียงสองเดือนกว่า แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะเคยทำงานเป็นแม่บ้านในออฟฟิสแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง ซึ่งแม้ว่าบรรยากาศในออฟฟิสหลังเลิกงานจะเงียบเหงาคล้ายคลึงกับที่ฟิตเนสที่เก่าก็ตาม แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้เธอรู้สึกเสียวสันหลังทุกครั้งที่ต้องอยู่ในนี้เป็นคนสุดท้าย
หลังจากที่ป้าจุ๋มทำความสะอาดห้องอาบน้ำเสร็จแล้ว หญิงวัยกลางคนก็เดินเอาอุปกรณ์ไปเก็บให้เข้าที่และเตรียมที่จะกลับบ้าน ระหว่างนั้นเธอก็ยังคงหันไปมองแลซ้ายทีขวาทีอยู่เกือบตลอดเวลา สภาพฟิตเนสที่เคยสว่างไสว ตอนนี้กลับมีเพียงแสงไฟสลัวๆ ส่องตามจุดต่างๆ โดยเบื้องหลังแสงสว่างก็คงเหลือแต่เพียงเงาสีดำทะมึนของเครื่องออกกำลังกายหลากหลายชนิดแน่นิ่งอยู่ ป้าจุ๋มก้าวเท้าอย่างฉับไวไปยังห้องใต้บันไดที่ซึ่งเป็นห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด เธอพยายามไม่สนใจสิ่งรอบข้างที่สร้างจินตนาการหลอกหลอนเธออย่างจนรู้สึกกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น
เอี๊ยดดดด...
ประตูใต้บันไดส่งเสียงชวนขนหัวลุก ป้าจุ๋มรีบยัดไม้ถูพื้นและถังน้ำเข้าไปในห้องอย่างลวกๆ และเหวี่ยงประตูปิดดังปัง พร้อมกับสะบัดหน้าหันกลับเตรียมจะก้าวเท้าออกไปจากที่นี่
“ว้ายยย! ตาเถรช่วยแม่ด้วย!”
วินาทีที่ป้าจุ๋มหันกลับมา เธอร้องลั่นทันทีที่เผชิญหน้ากับชายแก่หน้าเหี่ยวย่น หน้าของเธอและเขาห่างกับเพียงไม่กี่คืบจนเกือบจะชนกัน ป้าจุ๋มมั่นใจว่าตนนั้นได้เจอดีเข้าแล้ว แต่กระนั้นเมื่อเธอตั้งสติได้ เธอก็เพ่งมองใบหน้าที่คุ้นเคยเบื่องหน้า จึงจำได้ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นเพียง ‘ลุงเพชร’ ช่างซ่อมบำรุงอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในฟิตเนสแห่งนี้ นอกจากนั้นแล้วลุงเพชรยังควบหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลังจากโทมัส ฟิตเนสด้วย
“จะร้องโวยวายทำไมเนี่ยยายจุ๋ม ทำอย่างกับเห็นผี” ลุงเพชรขมวดคิ้วนิ่วหน้าอย่างเสียอารมณ์บ่นใส่หญิงวัยกลางคน
“จะไม่ให้ฉันตกใจได้อย่างไงก็แกเล่นไม่ให้สุ่มให้เสียงโผล่มาข้างหลังฉันแบบนี้” ว่าแล้วเธอก็ตีเข้าที่ไหล่ของช่างประจำฟิตเนสด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวไม่แพ้กัน ถึงแม้ทั้งสองจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ก็สนิทกันได้อย่างรวดเร็ว คงเป็นเพราะอยู่ในวัยใกล้เคียงกันด้วยละกระมัง
“เออ ฉันผิดเองแหละ ไอ้เราก็หวังดีจะเดินเข้ามาถามว่าต้องการให้ช่วยอะไรไหมแค่นั้น”
“ถ้าแกอยากช่วยนักล่ะก็ ช่วยหลีกทางให้ฉันเถอะ ฉันจะรีบกลับบ้าน” ป้าจุ๋มทำท่าจะผลักลุงเพชรให้ออกไปให้พ้นทางทั้งที่ทางเดินมีออกจะกว้างขวาง
“แหม จะรีบกลับไปทำกับข้าวให้ผัวกินหรือไง ถึงต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วย” ลุงเพชรประชดเสียงสูง แต่คนฟังไม่ตลกด้วย เพราะสิ้นประโยคหญิงวัยกลางคนถึงกับถลึงตาใส่ด้วยความโกรธ
“ไอ้ผีเจาะปากมาพูด ผัวฉันตายไปหลายปีแล้ว อย่าริอาจขุดมันมาพูดนะตาเพชร” มือของเธอเหวี่ยงขึ้นฟ้าและยกค้างขู่ที่จะใช้มันหวดลงบนหัวชายแก่ แต่จู่ๆ ท่าทีของเธอก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากโมโหอารมณ์ร้ายเป็นหวาดระแวงแทน “ที่ฉันจะรีบกลับนั้นก็เพราะฉันนั้นไม่อยากจะเจอผีที่นี่ยังไงล่ะ” คำว่า ‘ผี’ ทำเอาลุงเพชรถึงกับสะดุ้งเฮือก เขามองหน้าหญิงวัยกลางคนร่างอวบอ้วนด้วยสายตาที่ตำหนิใส่
“ว่าแต่ฉันเป็นผีเจาะปาก ยายจุ๋มก็เหมือนกันนั่นแหละ เวลาแบบนี้ใครเขาให้มาพูดเรื่องผีสางกันสุ่มสี่สุ่มห้าเล่า” มือที่ค้างติ่งของป้าจุ๋มเหวี่ยงพาดที่หัวไหล่ของช่างประจำฟิตเนสจนได้ จากนั้นเธอก็ยกนิ้วชี้ขึ้นชี้หน้า
“ฉันถึงไม่ค่อยอยากอยู่คนเดียวในเวลานี้ไง ถ้าแกได้เจอแบบฉัน ป่านนี้ก็คงไม่มีหน้าโผล่เข้ามาคุยกับฉันในนี้หรอก” ลุงเพชรตาโตเพราะรู้ความหมายที่ป้าจุ๋มกำลังพูดถึง
“อย่าบอกนะว่าหล่อนไปเจอผีจริงๆ เข้าน่ะ”
“จุ๊ๆ อย่าพูดดังไป เดี๋ยวผีมันก็โผล่มาหลอกแกจนหัวโกร๋นหรอก”
“หล่อนอย่าเอาอะไรซี้ซั้วมาพูด ฉันไม่ตลกด้วยนะ” คราวนี้ช่างรุ่นเก๋ากลับเป็นฝ่ายจะเดินจากไปเสียเอง แต่กระนั้นป้าจุ๋มก็รีบวิ่งไปดักหน้าชายแก่
“แหม ตัวฉันก็ไม่อยากจะพูดให้มากความหรอกแก” หญิงวัยกลางคนเริ่มคันปาก แม้ปากของเธอจะบอกเช่นนั้น แต่ใจของเธอก็คิดไปในทางตรงข้าม “ก็มีเมื่อสองอาทิตย์ก่อนที่ฉันต้องอยู่ทำความสะอาดฟิตเนสจน ดึกเหมือนกับวันนี้ ตอนนั้นฉันทำความสะอาดทุกห้องจนเสร็จหมด แต่ดันไปลืมห้องโยคะที่ชั้น 2 ไว้อีกห้องหนึ่ง ฉันก็เลยกะจะรีบๆ เข้าไปทำความสะอาดให้เสร็จๆ จะได้รีบกลับบ้าน แต่ว่า...” ผู้เล่าชะงักเรื่องเล่า ทำให้ผู้ฟังพลอยลุ้นตามไปด้วย
“ตอนที่ฉันกำลังถูพื้นในห้องนั้น จู่ๆ ไฟก็ดับขึ้นมาดื้อๆ และสักพักก็มีเสียงดังก๊อกแก๊กประหลาดๆ ดังมาจากที่ไหนสักแห่งในห้อง ฉันก็มองหาว่ามันคือเสียงอะไรอยู่ตั้งนาน แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ จนกระทั่งฉันเลิกสนใจเสียงนั้นและเตรียมจะเดินไปถูพื้นสเตจ*(1) ในห้องต่อ ฉันถึงได้เจอเข้าจะๆ สองลูกตาเลย”
“หล่อนเจออะไร ?” หัวใจของลุงเพชรบีบรัดแน่นราวกับว่ากำลังอยู่ในเหตุการณ์จริง ณ วันนั้น
“ผู้หญิง!” ป้าจุ๋มแผดเสียง น้ำเสียงของเธอสั่นเทิ้มเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ผู้หญิงที่ไหนและเข้ามาเมื่อไรก็ไม่รู้กำลังนอนเล่นโยคะอยู่บนสเตจท่ามกลางความมืด ฉันถึงกับยืนแข็งเป็นหินทำห่าอะไรต่อไม่ถูกเลย”
“ไม่ใช่ครูที่ยังอยู่ในห้องและซ้อมท่าโยคะเหรอไง ?” ชายแก่พูดขัดด้วยการให้เหตุผล ทำเอาหญิงวัยกลางคนเบ้ปากยกมืออยากจะฟาดซ้ำที่ขัดจังหวะ
“ถ้าใช่ครูจริง ทำไมฉันจะไม่รู้จักวะตาเฒ่า อีกอย่างตอนฉันเข้ามาในห้องฉันก็ต้องเห็นตั้งแต่แรกสิวะ” ก็คงจริงอย่างที่เจ้าหล่อนว่า งานนี้ทำเอาคนฟังถึงกับเชื่อครึ่งไม่เชื่อ กระนั้นลุงเพชรก็พลอยขนลุกซู่ไปด้วย
“แล้วยังไงต่อล่ะ ?” ผู้ฟังถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ตอนแรกฉันก็เตรียมจะอ้าปากบอกน้องแกว่าคลับปิดแล้ว แต่พอฉันกระพริบตาไม่ถึงวินาที แม่งก็หายตัวไปเฉยเลย...”
เป็นอันจบเรื่องเล่าประสบการณ์ตรงของป้าจุ๋มแต่เพียงเท่านี้ แม้คำนิยายของคำว่าผีในความคิดของลุงเพชรนั้น ผีจะต้องมีการโผล่ออกมาแหกไส้แหกพุงให้ดู แต่เพียงเท่านี้ก็สร้างความรู้สึกขนพองสยองเกล้าแล้ว
“ฉันงี้ทิ้งข้าวทิ้งของและเผ่นออกไปจากห้องนั้นแทบไม่ทันเลยแก” ป้าจุ๋มสรุป
“มิน่ามีอยู่วันหนึ่งที่ฉันเห็นหล่อนวิ่งก้มหน้าก้มตาเดินจ้ำออกจากที่นี่ พอฉันทักหล่อนก็ไม่หยุดหันมามองฉัน แต่รีบเดินหนีออกไปจากคลับราวกับจะรีบไปตามควายที่หายแนะ” ลุงเพชรกล่าวพร้อมกับหัวเราะชอบใจ ในขณะที่อีกคนไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องตลกตรงไหน
“ก็ใช่นะสิ วันต่อมาฉันเลยลาป่วยและคิดอยู่นานว่าจะกลับมาทำงานที่นี่ต่ออีกดีรึเปล่า แต่ในยุคเศรษฐกิจทหารครองเมืองแบบนี้ จะออกไปหางานใหม่ก็ลำบาก สู้ให้ฉันเจอผียังดีกว่ามารอวันอดตาย” หญิงวัยกลางคนพูดไม่คิด “ฉันล่ะแปลกใจที่แกเองก็อยู่ที่นี่มาตั้งปีกว่าแล้ว กลับไม่เคยบ่นให้ฉันฟังสักครั้งเลยว่าเจอผีในนี่บ้าง” ลุงเพชรถึงกับกลืนน้ำลายที่ได้ยินประโยคสุดท้ายของป้าจุ๋ม ชายแก่เลี่ยงที่จะสบตากับหญิงร่างอ้วนพร้อมกับโบกมือไปมาในอากาศ
“ไม่เคยๆ ผีเผออะไรฉันไม่เคยเห็นทั้งนั้นอ่ะ พอพนักงานทำความสะอาดออกจากคลับเป็นคนสุดท้าย ฉันก็ปิดประตูและไปนั่งเฝ้าตากยุงคุยกับหมาอยู่ข้างนอกทุกคืน ไม่เคยมาเห็นอะไรหรือได้ยินอะไรอย่างที่แกว่าหรอก” แต่กระนั้นอาการของชายแก่ก็เหมือนกับว่ากำลังปกปิดอะไรบางอย่าง ซึ่งป้าจุ๋มก็สามารถรับรู้ได้
“อย่าบอกนะว่าแกก็เคยเจอ” ผู้ถามพยายามถามเค้นจากชายแก่ด้วยการอ่านสีหน้า แต่เขาก็เบนหน้าหลบหนีไป
“ไร้สาระน่ะแก ฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแหละ” คำโกหกหลุดออกจากปากนายช่างและยามรักษาความปลอดภัย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นผีผู้หญิงปริศนาออกมาเป็นตัวๆ ให้เขาเห็น แต่กระนั้นเขาก็เคยได้ยินเสียงก๊อบแก๊บประหลาดที่ป้าจุ๋มเพิ่งเล่า หรือบางครั้งเขาก็เคยเห็นเงาคนเดินไปเดินมาในห้องโยคะ แต่พอเขาเปิดเข้าไปก็ไม่พบใครอยู่ในนั้น ซึ่งป้าจุ๋มเองก็คงไม่อยากจะไปเค้นอะไรกับชายแก่มากไปกว่านี้ เธอจึงยอมปล่อยวางแต่โดยดี
“เออๆ ว่าไงก็ว่าตาม ฉันว่าเรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ ยิ่งอยู่นานและรู้สึกหนาวๆ ยังไงไม่รู้”
เป็นความรู้สึกเดียวกับที่ลุงเพชรกำลังรู้สึกในขณะนี้ ชายแก่พยักหน้างึกๆ งักๆ เห็นตามกันไปกับเธอ ทั้งสองจึงก้าวเท้าตรงไปที่ประตูทางออก
“เอ๊ะ!?”
แต่แล้วป้าจุ๋มก็ร้องอุทานขึ้นมา ทำเอาลุงเพชรหยุดเท้าและหันไปมองยังเธอ หญิงวัยกลางคนคลำที่ร่องไหล่ด้วยความรู้สึกที่โล่งๆ เล็กน้อยก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอนั้นได้ลืมกระเป๋าสะพายไว้ที่ห้องล็อกเกอร์หญิงชั้น 2
“นี่แก ฉันลืมกระเป๋าไว้ข้างบนนะ เดี๋ยวฉันขอวิ่งขึ้นไปหยิบก่อนนะ”
“อ้าว ทำไมขี้หลงขี้ลืมแบบนี้จัง เพิ่งจะอายุแค่ 50 กว่าเองนะ” ลุงเพชรบ่นกระปอดประแปด ซึ่งป้าจุ๋มได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะรีบหันหลังและวิ่งตรงไปยังบันไดเพื่อขึ้นไปยังชั้น 2
โดยที่เธอลืมสนิทว่าห้องล็อกเกอร์หญิงนั้นจะต้องผ่านหน้าห้องโยคะด้วย...
ป้าจุ๋มใช้เวลาไปนาทีกว่าๆ จึงเดินออกมาจากห้องล็อกเกอร์ เธอบ่นพึมพำถึงนิสัยขี้หลงขี้ลืมว่าเป็นเช่นนี้บ่อยครั้ง แต่นั่นก็ยังดีกว่าถ้าเธอต้องกลับไปถึงบ้านและเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าลืมกระเป๋าไว้ที่ทำงาน
ก๊อบ... แก๊บ...
ป้าจุ๋มที่กำลังเดินก้มหน้าถึงกับยืดตัวตรงที่ได้ยินเสียงนี้เข้า เธอชะงักฝีเท้าจนไม่กล้าที่แม้แต่จะหายใจ หญิงวัยกลางคนค่อยๆ เบนสายตาไปยังที่มาของเสียง ซึ่งจังหวะเดียวกับที่เธอหันไปทางห้องโยคะ ประตูกระจกขุ่นก็ค่อยๆ เปิดออกเสมือนกับจะเป็นการต้อนรับให้เธอเข้ามา
แอ๊ดดดดดด...
เสียงฝืดของประตูกระจกสร้างความรู้สึกขนลุกให้กับหญิงร่างอ้วน ใบหน้าของป้าจุ๋มเริ่มเต็มไปด้วยเหงื่อ สีหน้าของเธอมีแต่ความหวาดกลัวเหมือนกับวันนั้น เพราะความมืดที่ปกคลุมรอบด้าน ทำให้เธอนั้นยังไม่สามารถเห็นสิ่งที่อยู่ในห้องโยคะได้ แต่เมื่อสายตาของเธอก็เริ่มที่จะปรับเข้ากับความมืด และแล้วเธอก็รู้สึกกลัวจนถึงขีดสุด เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่กลางสเตจห้องโยคะ
ผู้หญิงร่างผอมบางกำลังนอนดัดหลังอยู่กลางเวที!
ก๊อบ... แก๊บ...
ทุกครั้งที่สาวปริศนาขยับร่างกายเปลี่ยนท่วงท่าใหม่ มีเสียงกระดูกดังลั่นออกมาจากในร่างกายของเธอ คราวนี้ป้าจุ๋มถึงรู้แน่ชัดแล้วว่าเสียงนั้นก็คือเสียงกระดูกที่กำลังแตกหักอยู่ในร่างกายเธอคนนั้นนั่นเอง
หญิงสาวปริศนาค่อยๆ ยืนสองเท้าและหันหน้าในสภาพที่หลับตานิ่งมาทางประตูทางเข้า ป้าจุ๋มครั้นอยากจะตะโกนเรียกลุงเพชรให้ขึ้นมาช่วย แต่เพราะความกลัวที่ทับถมเธอไปทั้งใจ ทำให้เธอไม่อาจจะเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้ ทันใดนั้นหญิงสาวพับครึ่งตัวลงและก็ใช้มือแปะพื้นพร้อมกันนั้นก็ยกเท้าทั้งสองข้างทำท่าหกสูง ขณะที่เท้าของเธอชี้ฟ้าอยู่สักพัก ต่อมาป้าจุ๋มก็ได้เห็นกับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิต
ก๊อบ... ก๊อบ...
ศีรษะของหญิงสาวค่อยๆ หัน 180 องศาทั้งๆ ในท่าหกสูง เธอค่อยๆ ลืมตาที่ขาวโพลนไร้ซึ่งนัยน์ตาดำจับจ้องมายังป้าจุ๋ม!
ป้าจุ๋มอ้าปากกว้าง เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนที่จะกรีดร้องร้องลั่นไปถึงข้างนอกฟิตเนส
“ว้ากกกกกกกกกกกกกกก...!!!”
*(1) ‘สเตจ’ (Stage) ภาษาอังกฤษแปลตรงตัวว่า ‘เวที’ ซึ่ง ณ ทีนี้ที่ใช้เรียกพื้นเวทีในฟิตเนสหรือเวทีกลางที่ยกสูงกว่าระดับในห้อง สำหรับใช้ในการสอนคลาสเต้น โยคะหรือแอโรบิค โดยผู้ฝึกสอนจะยืนอยู่กลางสเตจและทำท่านำสมาชิกที่เข้ามาเล่นให้ทำตาม