คำอธิษฐานจากจันทร์
1
ตอน
12.4K
เข้าชม
274
ถูกใจ
8
ความคิดเห็น
3
เพิ่มลงคลัง

ตอนที่ 1

 

หากจะเล่าเรื่องนี้ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องของผมหรือเธอ แต่ที่ผมรู้แน่ๆ คือเป็นเรื่องของ "เรา" จากตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ถึงจะผ่านมาเนิ่นนาน แต่ผมไม่เคยเลยที่จะลืมทุกวินาทีที่ผมได้รู้จักเธอ "สาวน้อยของผม" แค่คิดถึงเธอ ผมก็เผลอยิ้มออกมาเบาๆ ผมจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดีละ หากผมย้อนไปเมื่อ 1000 ปีที่แล้ว มันจะนานไปไหม แต่จะทำยังไงได้เมื่อจุดเริ่มต้นของผมเริ่มจากตรงนั้น

"จากบัดนี้ไป เจ้าคือ ลำแสงที่1309" วันเกิดของผมเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว โดยที่ผมถือกำเนิดจากจักรวาล ซึ่งเป็นที่ไม่มีขอบเขต ไม่มีแรงโน้มถ่วงใดๆ เปรียบเสมือนความว่างเปล่า แต่ถึงอย่างนั้น ในจักรวาล ยังมีประกอบไปด้วย ดาราจักร ระบบสุริยะ ที่อยู่ของดาวเคราะห์มากมาย และหากจะถามว่าแล้วผมถือกำเนิดมาเพื่ออะไร ผมลำแสงที่ 1309 หรือลำแสงอื่นๆจะได้รับคำสั่งให้ไปประจำตามหมู่ดาวหรือดาวเคราะห์ดาวฤกษ์ เพื่อดูแลดาวเหล่านั้น ให้ทำหน้าที่และล่องลอยอยู่ในอวกาศได้ หากดาวดวงไหนมีแสงที่ต้องส่องแสงเราก็จะพยายามให้ดาวเหล่านั้นได้ส่องแสงสว่างไสวในจักรวาล แม้จะเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆในจักรวาล

 

ตลอด 1,000 ปีที่ผ่านมา ผมถูกส่งไปประจำที่นู่นที่นั่นไปมา แต่ที่น่าขำคือ ระบบการทำงานเราก็ไม่ต่างกับมนุษย์นัก เชื่อหรือไม่ว่าเราก็มีการเลื่อนตำแหน่งเหมือนกันนะ น่าขำไม่ละ พวกเราจะเริ่มต้นจาก ดูแลวัตถุในจักรวาล เป็นดาวในดาราจักร และแน่นอนว่าต้องมีตำแหน่งที่ยอดนิยม ทุกคนอย่างถูกส่งไปประจำที่นั่นคือ ระบบสุริยะ ซึ่งเป็นระบบที่มีสิ่งมีชีวิต มีอากาศ เป็นระบบที่น่าสนใจพอที่จะทำให้การทำงานของเราไม่น่าเบื่ออีกต่อไป และปีนี้เองเป็นปีที่ผมตื่นเต้นที่สุดตั้งแต่ทำงานมา เพราะ จะได้ไปประจำบนดวงจันทร์ ที่เป็นดาวบริวารเพียงดวงเดียวของดาวเคราะห์ที่เขาเรียกกันว่า "โลก" เป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวในระบบสุริยะนี้ แต่อย่างที่ทุกคนทราบดี พระจันทร์มีลักษณะกลมๆ ที่ไม่มีแสงใดๆ ทำหน้าที่หมุนอยู่รอบๆโลก และส่งแรงโน้มถ่วงบางอย่างให้แก่โลก จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ผมพูดมาถึงจนถึงตอนนี้ทุกคนอาจคิดว่านี่เรียนวิชาดาราศาสตร์อยู่รึเปล่า

แต่การไปประจำบนดวงจันทร์ ดาวที่ใครๆก็ใฝ่ฝันนั้นกลับมีกฎข้อสำคัญที่ต้องปฏิบัติตาม หากไม่ปฏิบัติตามจะหมายถึงชีวิต นั่นก็คือ "ห้ามอธิษฐานขอพรกับดวงจันทร์" เพราะดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก นั่นก็หมายถึงมนุษย์ หาใช่ลำแสงอย่างพวกผม หากเราขอพรกับจันทร์นั่นหมายถึงเราต้องยอมแลกชีวิตเพื่อแลกกับพรข้อนั้น ซึ่งผมเองคิดว่าผมไม่น่ามีเหตุอะไรที่จะต้องขอพรกับจันทร์เลย แต่แล้วมันก็ไม่ใช่อย่างที่ผมคิดนะสิ

 

หลังจากที่ผมย้ายมาประจำที่โลก นอกจากทำหน้าที่ของตนเอง ผมยังมีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลก ดวงจันทร์ที่ผมอยู่กับโลก อย่างที่บอกว่าผมเป็นบริวารของโลก แต่พอผมอยู่ไปแล้ว ผมรู้สึกว่า ดวงจันทร์กับโลกเป็นเพื่อนกันมากกว่า และมนุษย์บนโลกทำให้ผมรู้สึกดาวที่ผมทำงานอยู่มีค่ามากขึ้น เพราะความเชื่อที่พวกเขามีต่อดาวผม ทั้งที่จริงแม้แต่แสง ผมจะส่องสว่างเองไม่ได้ แต่กลับต้องพึ่งแสงจากดวงอาทิตย์ แต่มนุษย์กลับเชื่อในดาวของผมมากกว่าดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงให้เขา แต่ผมคิดติดตลก สาเหตุที่มนุษย์ไม่ค่อยชอบดวงอาทิตย์เพราะ ทันที่อาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าเต็มที่ นั่นหมายถึงเวลาในการดำเนินชีวิตของพวกเขาได้เริ่มขึ้น ไม่ว่าจะทำงานหรืออะไรก็ตาม แต่ช่วงที่แสงอาทิตย์ได้ผ่อนลงและสะท้อนทำให้ดาวผมเกิดแสง นั่นหมายถึง ช่วงเวลาพักผ่อนของพวกเขา เป็นช่วงที่หลายชีวิตบนโลกหลับใหลและทำให้เกิดความสงบ

ความเชื่อที่มนุษย์มีต่อดวงจันทร์นั้นมีหลากหลายตำนานที่เล่าขานต่อกันมา หลากหลายมุมโลก แต่ปัจจุบันความเชื่อต่อดวงจันทร์ค่อยๆน้อยลงไป เพราะตอนนี้โลกมนุษย์มีอะไรหลายสิ่งที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแทน ไม่ว่าจะเป็นศาสนา สิ่งของหรือบุคคลที่พวกเขานับถือ จึงทำให้ปัจจุบันเสียงอธิษฐานของมนุษย์ที่ผมจะได้ยินทุกคืนค่อยๆลดน้อยลงไปทุกที จะมีแต่วันสำคัญที่แรงโน้มถ่วงของโลกมีต่อผิวโลกทำให้เปิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง หรือแม้แต่ช่วงเวลาการส่องแสงของผมที่มนุษย์เรียกกันว่า "วันข้างขึ้น ข้างแรม" แต่ก็อย่างที่ผมบอกว่าตอนนี้เสียงอธิฐานน้อยลงไปทุกที แต่คุณรู้ไหม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้เสียงอธิษฐานจะน้อยลงไป หรือเปลี่ยนคนไปมามากมาย แต่ทุกคืนผมจะได้ยินเสียงจากเด็กผู้หญิงคนนึงมาตลอด "สาวน้อยของผม" ทุกวันเธอจะส่งเสียงคำอธิษฐานของเธอมา จนทำให้ทุกวันของผมไม่เงียบเหงาอีกต่อไป แม้ในวันเดือนดับ วันที่ทุกคนมองไม่เห็นผม ไร้แสงเงาจากผม จนทำให้ใครหลายคนลืมผมไป แต่เธอไม่เคยทิ้งผมไว้คนเดียว เพราะแม้ในวันที่ผมไร้แสงเธอยังคงส่งเสียงเล็กๆของเธอมาให้ผมที่อยู่ในความมืดมิดตรงนี้

 

ผมรู้จักเธอตอนที่เธออายุได้ 5 ขวบ ที่ชื่อ "ธรณิน" ที่มาจากคำว่าธรณีที่แปลว่า โลก สาวน้อยตัวเล็ก ที่เล็กมากจนผมคิดว่าหากมีลมแรงๆ เธอต้องปลิวไปแน่นอน เธอทั้งผอม ตัวเล็ก เธอดูเปราะบางเสมือนแก้วใบใส่ที่หากโดนกระทบแค่เบาๆอาจแตกสลายได้ ดังนั้นภาพที่ผมเห็นเธอบ่อยๆ คือ สาวน้อยที่ใส่เสื้อและหมวกไหมพรมเพื่อกันลมหนาว เธออาศัยอยู่ในที่ ที่เขาเรียกกันว่า "โรงพยาบาล" สถานที่รักษามนุษย์ให้หายจากโรคภัย โรงพยาบาลของเธอเป็นโรงพยาบาลเล็กๆเท่านั้นเธออยู่ที่นั่นนานถึง 5 ปี กว่าเธอจะได้ออกจากที่นั่น ตลอดระยะเวลาที่เธออยู่ที่นั่น เธอกับผมคงเหงาไม่ต่างกันสักเท่าไหร่

ผมที่ต้องดูแลดาวคนเดียวทำงานของตัวเองไปวันๆตั้งแต่ผมถือกำเนิดมา จนทำให้ความเหงากับผมอยู่เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว แต่กับสาวน้อย ทั้งที่มีคนรอบกายเธอมากมาย แต่ผมสามารถสัมผัสได้ถึงความเหงาในจิตใจของเธอ เพราะทุกวันเธอแทบจะไม่ได้คุยกับใครเลยสักคน ในช่วงกลางวันของทุกวันเธอจะออกมานั่งที่สวนหลังโรงพยาบาลอ่านนิทานเล่มเดิมของเธอ ใบหน้าของเธอในทุกวันปราศจากรอยยิ้มบนใบหน้า สีหน้าของเธอมีแต่ความเรียบเฉย แต่ในทุกวันหยุดเท่านั้นที่ผมจะได้เห็นรอยยิ้มของเธอ เพราะมันเป็นช่วงเวลาเดียวที่เธอได้อยู่กับครอบครัวของเธอ เป็นช่วงเวลาที่คล้ายว่ามีผีเสื้อหลากหลายสีสันมาแต่งแต้มให้โรงพยาบาลที่ไร้สีสันและมีแต่ความเจ็บป่วยให้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เพราะช่วงเวลานี้มันจึงทำให้ผมรู้ว่า ผมชอบที่จะเห็นเธอยิ้มมากกว่า ผมอยากให้ทุกวันคือวันหยุด จากสายตาที่เฉยชา กลับเปร่งประกาย แววตาที่เคยมืดหม่น วันนี้มันเจิดจ้าแวววับขึ้นมา ผมอยากเห็นมันทุกวันเลย แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ผมอยากช่วยอะไรเธอบ้างแต่ทำไม่ได้ กลางวันของทุกวันผมทำได้แค่เฝ้ามองเธอเพียงฝ่ายเดียว เพราะแสงอาทิตย์ที่สว่างจ้าทำให้เธอไม่สามารถเห็นผมได้ แต่ในช่วงกลางคืนเป็นช่วงเวลาที่ผมรอคอยมากที่สุด เพราะเป็นช่วงเวลาเดียวที่ผมสามารถอยู่เป็นเพื่อนเธอ เป็นแสงนำทางให้เธอได้ เพราะโรงพยาบาลที่เธออยู่ห่างไกลจากตึกสูงที่รอบล้อมไปด้วยแสงไฟที่สว่างมากพอที่จะบดบังแสงจากจันทร์ได้ โรงพยาบาลของเธอยามราตรีนั้นแทบจะปราศจากแสงไฟ จนทำให้แสงไฟจากผมส่องลอดช่องหน้าต่างเขาไปหาเธอได้ ในทุกๆคืนเธอจะมานั่งริมหน้าต่างมองมาที่ผมด้วยสายตาแห่งความหวัง จนเสียงนาฬิกาเรือนเล็กๆข้างเธอดังเตือนว่าเป็นเวลาเทียงคืน เธอจะค่อยๆกุมมือเล็กๆของเธอ หลับตาลง เปร่งเสียงกล่าวคำอธิษฐานแผ่วเบา แต่มันกลับดังก้องมาถึงดวงจันทร์ "จันทร์เจ้าขา ขอให้ณินหายไวๆนะคะ ณินคิดถึงพ่อแม่"

ทุกคืนเธอจะอธิษฐานข้อความเดิม และนอกจากอธิษฐาน เธอจะเดินกลับไปนอนที่เตียงของเธอที่อยู่ใกล้ๆหน้าต่างพอที่เธอจะนอนมองผมจากตรงนั้นได้ ก่อนจะเริ่มนอนเล่าเรื่องชีวิตประจำวันว่า วันนี้เธอทำอะไรบ้าง อ่านนิทานเรื่องอะไร ซึ่งแน่นอนว่าทุกวันกิจวัตรประจำวันเธอก็เหมือนเดิม หรือแม้แต่นิทานที่เธออ่านก็เหมือนกันทุกวัน เพราะมันเป็นนิทานเล่มโปรดที่พ่อแม่ของเธอซื้อให้ และแม้ว่าเธอจะเล่าเรื่องเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เธอไม่เคยเบื่อที่จะเล่าให้ผมฟัง และน้ำเสียงของเธอช่างเจื้อแจ้วต่างจากเวลาที่เธอคุยกับเหล่าพยาบาลยิ่งนัก แต่นาเสียดายที่มีสิ่งเดียวที่เธอไม่เคยเล่าให้ผมฟังคือ อาการป่วยของเธอ เธอไม่เคยเล่าถึงความทุกข์ของเธอให้ผมฟัง นั่นทำให้ผมไม่สามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่มันคืออะไร

 

ทุกวันดำเนินแบบเดิมมาตลอด 5 ปี โดยที่เธอและผมอยู่เป็นเพื่อนกันมาตลอด จนในที่สุดวันนั้นก็มาถึง วันที่สาวน้อยได้ออกจากโรงพยาบาล วันนั้นเป็นวันที่เธอยิ้มกว้างมากที่สุด เธอได้สวมใส่ชุดกระโปรงสีสวยแทนชุดโรงพยาบาลชุดเดิมๆที่เหมือนกันตลอด 5 ปี จากสาวน้อยตัวเล็กเปราะบางคนนั้น วันนี้เธอดูเข้มแข็งและมีเรี่ยวแรงมากขึ้น จากเด็กน้อยในชุดกันหนาวกับหมวกไหมพรมคนนั้นได้หายไปแล้ว จากสาวน้อยใบหน้าเรียบเฉย วันนี้กลับสดใสจนเห็นเลือดฝาดบนแก้มใสๆของเธอ ผมได้แต่ยิ้มกับตัวเองอยู่อย่างนั้น น่าตลกดีที่สิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จะเรียกว่ามีชีวิตได้รึป่าวอย่างผม กลับรู้สึกอุ่นใจได้แบบนี้ ผมไม่เคยรู้สึกยินดีกับอะไรมาก่อน ฮึม! ผมได้แต่กระตุกยิ้มเบาๆแล้วมองไปบนอวกาศที่ว่างเปล่าเหมือนเคย แต่ทำไมว่านี้มันถึงสวยกว่าทุกวันกันนะ เป็นเพราะผมได้เห็นรอยยิ้มสดใสของเธอในวันนี้หรืออาจเป็นเพราะเสียงเล็กๆของเธอในคืนก่อนที่ถูกเปล่งออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนที่เธอจะผล่อยหลับไป "ขอบคุณนะคะ จันทร์เจ้าขา" ไม่รู้สิ ผมจะเห็นแก่ตัวไปรึป่าว ทั้งที่ผมไม่ทำอะไรเลย แต่เธอกลับเชื่อว่าเป็นเพราะผม แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีนะ ที่อย่างนั้นเธอก็ยังเชื่อผมอยู่และผมยังเป็นที่พึ่งให้เธอได้

แต่...คืนวันเดียวกัน คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ผมรู้สึกเหงาและว่างเปล่าที่สุดทั้งแต่ทำงานมา ทั้งที่เมื่อก่อนผมก็ต้องเฝ้าดาวคนเดียวมาตลอด ไม่ได้คุยกับใคร แค่ทำงานของตัวเองไปเรื่อยๆ แต่พอคืนนี้เป็นคืนแรกที่ผมต้องอยู่คนเดียวหลังจากที่มีเธออยู่กับผมมาตลอด 5 ปี มันทำให้ความเหงาที่ผมควรจะชินชากับมัน กลับกลายเป็นทวีคูณความเหงาเป็นสองเท่า เพราะตอนนี้เธอไปแล้ว และผมก็ไม่สามารถทราบได้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหน เพราะหากเธอไม่ส่งเสียงมาและผมก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าจะต้องตามหาเธอที่ไหน แต่แล้วความเหงาก็อยู่กับผมแค่อึดใจเดียว เพราะสาวน้อยไม่ทำให้ผมได้เคว้งคว้างนานไปเพราะในคืนถัดมา เธอก็ส่งเสียงให้ผมได้ยินและทราบว่าเธออยู่ที่ไหนได้

"จันทร์เจ้าขา ณินขอโทษนะคะ ที่ไม่ได้มาคุยด้วย" สาวน้อยของผมกุมมือเล็กๆของเธอ หลับตาปี้ ขอโทษ มันทำให้ผมอดที่จะยิ้มไม่ได้ เธอช่างบริสุทธิ์และไร้เดียงสาจนผมกลัวว่าโลกที่เธออยู่จะทำร้ายเธอเข้า เพราะตลอดเวลาที่ผมเฝ้ามองโลกก่อนที่จะมาพบกับเธอ มันทำให้ผมได้รู้ว่าดาวเคราะห์ที่เรียกกันว่า "โลก" ไม่ใช่ดาวเคราะห์ที่น่าอยู่สักเท่าไหร่อย่างที่เขาลือกันในจักรวาล เขาว่ากันว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เพราะมีสมองที่ใหญ่กว่าสัตว์ชนิดอื่น จนทำให้มนุษย์สามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆได้เพื่อใช้ประโยชน์ แต่ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็สามารถสร้างสิ่งมาเพื่อทำลายได้เหมือนกัน นอกจากนั้นมนุษย์ยังมีความรู้สึก โลภ โกรธ หลง การแย่งชิง ความกดดันในสังคม และอีกหลายสิ่งที่มีผลให้มนุษย์หลายๆคนสูญเสียความเป็นตัวเอง หลายคนสามารถต่อสู้กับมันต่อไปได้ ในขณะที่บางคนที่ไม่ไหวกับสภาพที่คนเผชิญจนในที่สุดก็เลือกที่จะยอมแพ้และจบสิ่งที่เรียกว่า "ชีวิต" ลง เพราะเหตุเหล่านี้จึงทำให้ผมไม่แน่ใจมากนักว่าสาวน้อยของผมที่เพิ่งแข็งแรงจากช่วงที่เปราะบางที่สุดแล้วกำลังเติบโตจะพร้อมเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้นได้มากขนาดไหน

บ้านใหม่ของเธอ ยังคงห่างไกลจากเมืองพอให้แสงจันทร์ของผมยังสามารถอยู่เป็นเพื่อนเธอได้ แต่ที่เปลี่ยนไปคือ ตอนนี้ผมจะสามารถเฝ้ามองเธอได้แค่ตอนกลางคือและรุ่งเช้าเท่านั้น เพราะตอนกลางวัน จากที่เธอเล่าให้ฟัง เธอเรียกมันว่า "โรงเรียน" เธอจะออกไปตั้งแต่รุ่งเช้าแล้วกลับมาอีกทีคือหัวค่ำ เธอจะมาพบผมก็ต่อเมื่อได้เวลานอน โชคดีที่ห้องนอนของเธอยังสามารถมองเห็นผมได้ จึงทำให้เธอยังสามารถเล่าเรื่องต่างๆของเธอให้ผมฟังได้ ทุกวันเธอจะเล่าให้ฟังว่าเธอไปเรียนอะไรมา ทุกครั้งเธอก็จะเล่าด้วยเสียงเจื้อแจ้วของเธออย่างเคย แต่พักหลังมานี้น้ำเสียงใสๆของเธอค่อยๆหายไปกลายเป็นน้ำเสียงเศร้าลง "ณินไม่มีเพื่อนเลยจันทร์เจ้าขา" เธอบอกผมทุกวันเธอไม่มีเพื่อนเลย ไม่มีใครยอมคุยกับเธอเลย เพราะเธออายุมากกว่าเพื่อน เธอโตกว่าเพื่อนทุกคนเพราะเธอต้องหยุดเรียนช่วงที่เธอป่วยและเพราะเหตุนี้มันก็ค่อยๆทำร้ายความรู้สึกของเธอ จนทำให้จากเด็กน้อยหน้าตาสดใสที่ตั้งหน้าตั้งตารอไปโรงเรียน วันนี้ได้หายไปเปลี่ยนเป็นน้ำตาที่เปื้อนบนใบหน้าของเธอแทน ทุกเช้าผมได้แต่เฝ้ามองเธอร้องไห้ขึ้นรถไปโรงเรียน เธอร้องบอกพ่อแม่ว่าไม่อยากไปโรงเรียน แต่นั่นก็ไม่ได้ผล ทุกวันเธอยังต้องไปโรงเรียนโดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่า เพราะเหตุใดเธอถึงไม่อยากไปโรงเรียนนอกจากผม แต่ถึงอย่างนั้น ถึงผมจะรู้ แต่ผมก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อเธอได้เลย ทุกวันของเธอผ่านไปอย่างยากลำบากจนในที่สุดเสียงอธิษฐานที่ผมไม่ยินมาสักพักก็ดังขึ้น "จันทร์เจ้าขา ขอให้ณินมีเพื่อนด้วยเถิดนะคะ" มือเล็กๆขอเธอกุมขึ้น หลับตาอธิษฐานเหมือนเคย ด้วยพลังจากใจดวงเล็กๆทั้งหมดของเธอ นั่นทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิดที่ทำอะไรให้เธอไม่ได้นอกจาก "รับฟัง" แต่ถึงอย่างนั้นสาวน้อยก็ไม่เคยละความพยายาม ทุกคืนเธอจะมาอธิษฐานทุกคืน จนในที่สุดวันที่เธอรอคอยมาตลอดก็มาถึง "จันทร์เจ้าขา ณินมีเพื่อนแล้วนะ" เสียงบอกเล่าพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆของเธอที่ส่งมาให้ผม มันทำให้ผมรู้สึกดียิ่งนัก จากที่หนักใจมาตลอดกลัวว่ารอยยิ้มของเธอจะหายไป แต่วันนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอกลับมาอีกครั้ง เสียงร้องไห้ยามเช้าก่อนไปโรงเรียนก็หายไป สาวน้อยของผมกลับมาสดใส ร่าเริงอีกครั้ง

ผมและสาวน้อยอยู่เคียงข้างกันมาเรื่อยๆ จนตอนนี้สาวน้อยของผมโตขึ้นมากแล้ว จากเด็กตัวเล็กตอนนี้เธออายุได้ 15 ปีแล้ว วัยที่กำลังเริ่มโตเป็นสาว ถึงจะมีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยคือ ความไร้เดียงสาของเธอ เธอเปรียบเสมือนผ้าขาวที่มีสีจากครอบครัวค่อยๆวาดความเป็นเธอ แต่สีเหล่านั้นไม่เคยทำให้ผ้าของเธอหม่นหมองลงเลย แต่กลับทำให้เธอค่อยๆเปร่งประกายขึ้นเรื่อยๆ จากเด็กน้อยที่พูดน้อย ไม่มีเพื่อน วันนี้กลับมีเพื่อนรอบกาย นั่นจึงทำให้เธอสดใสและเป็นช่วงเวลาที่เธอได้เปร่งประกายที่สุดที่สุดตั้งแต่ผมรู้จักเธอมา แต่... มันทำให้เธอคุยกับผมน้อยลง เพราะตอนนี้เธอมีคนคอยรับฟังมากมายและสิ่งที่สำคัญคือ คนรับฟังเหล่านั้นสามารถให้คำปรึกษาเธอกลับได้ ดังนั้นนานๆครั้งเธอจะมาคุยกับผมที ซึ่งผมยอมรับว่ารู้สึกเหงาที่ไม่ได้ยินเสียงเธอบ่อยๆ แต่ผมไม่รู้สึกเดียวดาย เพราะอย่างน้อยผมยังสามารถเฝ้ามองเธอจากตรงนี้ได้

"จันทร์เจ้าขา ขอให้ณินได้รู้จักความรักด้วยเถิด" คำอธิษฐานของสาวน้อยที่นับวันค่อยๆโตขึ้น อยากจะเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว และในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่สาวน้อยของผมอย่าวทำความรู้จักกับคำว่า "รัก" ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร หน้าตาเป็นยังไง แต่เท่าที่ผมเฝ้ามองมนุษย์มา มันทำให้ผมรู้ว่าความรักเป็นยิ่งกว่าภัยร้ายสิ่งใด ยิ่งกว่าโรคร้าย เพราะยามรัก ความรักทำให้เกิดความสุขที่ราวกับได้ล่องลอยอยู่ในจักรวาลหรือที่มนุษย์เรียกว่าสวรรค์ ซึ่งยามสุขผมไม่ค่อยเป็นห่วงสักเท่าไหร่ แต่ยามทุกข์นี่สิ ความทุกข์ที่เกิดจากความรัก ผมไม่ค่อยเห็นปลายทางที่สุขมากนัก ความทุกข์จากรักเกิดขึ้นได้หลายแบบ คนแอบรักมีทุกข์แบบไร้ปลายทาง มองไม่เห็นแม้แต่ปลายทาง หากคนมีคู่อยู่แล้ว มักเป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ที่เกิดจากคนสองคน แต่ถ้าสามคนละ คงเรียกได้ว่าทุกข์ตลอดทาง และในท้ายที่สุดทุกความรักมักจบด้วยคำว่า "จากลา" หากคุณไม่จากหรือทิ้งกันไปกลางทาง แล้วเดินต่อไปด้วยกันจนสุดปลายทาง แต่ท้ายที่สุดก็ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งจากลาไปด้วยอายุขัย และทิ้งอีกคนให้ตายทั้งเป็น และสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้คำอธิษฐานของเธอในครั้งนี้ เป็นคำขอที่หนักใจมากที่สุด หลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่เธอมาเล่าเรื่องรางต่างๆเหมือนเคย แต่เธอมักจบด้วยคำอธิษฐานขอความรักตลอด อาจเป็นเพราะวัยของเธอที่อยากรู็จักความรัก รวมทั้งเพื่อนๆของเธอที่ต่างทยอยมีคนรักเสียหมด เหลือเพียงแต่เธอคนเดียว เธอบอกว่าตอนนี้เพื่อนๆที่คอยรับฟังเธอตอนนี้หันไปคุยกับคนรักกันหมด ทำให้เธอรู้สึกเหงาอีกครั้ง และตัวผมก็ไม่ใช่ผู้รับฟังหลักของเธออีกต่อไป เพราะผมไม่สามารถให้คำปรึกษาเธอได้ แต่เป็นได้แค่ความหวังของเธอเท่านั้น

 

"สุขสันต์วันเกิดครบ 19 ปีนะสาวน้อย" วันนี้เป็นวันเกิดครบ 19 ปีของเธอ ปีนี้เธอกำลังค่อยๆเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น "จันทร์เจ้าขา ณินต้องย้ายไปเรียนที่อื่นแล้วนะคะ" ข้อความบอกเล่าจากสาวน้อย ก่อนที่วันถัดมาเธอจะต้องออกเดินทางไปเรียนและย้ายไปอยู่ใกล้ๆที่เรียน ซึ่งในตอนแรกผมแค่รู้สึกใจหายเล็กน้อย เพราะไม่ว่ายังไง เธอก็ยังคงจะมาคุยกับผมแน่นอน ซึ่งนั่นจะทำให้ผมสามารถรับรู้ได้ว่าเธออยู่ที่ไหน โดยที่ผมไม่รู้เลยว่านั่นจะทำให้เกิดปัญหาขึ้น

"จันทร์เจ้าขา จันทร์เจ้าขา" เสียงจากเธอที่ผมจำได้ขึ้นใจ เธอเรียกผมอยู่หลายครั้ง แต่ผมไม่สามารถเห็นเธอได้ เธอเองก็คงจะมองหาผมได้ยาก เพราะที่เธออยู่ตอนนี้ถูกล้อมรอบได้ด้วยตึกสูง ที่มีแสงไฟจากจอภาพและแสงจากหลอดไฟสว่างจ้ามากพอที่จะบดบังแสงจันทร์ของผมเสียหมด ประกอบกับฝุ่นควันที่หนาแน่นจนทำให้เกิดกลุ่มเมฆเกาะตัวกันอย่างแน่นหนา แม้แต่แสงที่จะลอดลงไปยังทำได้ยาก และตั้งแต่วันนั้น ผมก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเธออยู่ที่ไหน มีเพียงเสียงของเธอที่ดังขึ้นมาเล่าเรื่องของเธอมากมาย ทั้งเมืองใหม่ที่เธอมาอยู่ สถานที่เธอเรียน สิ่งที่เธอเรียน หรือเพื่อนใหม่ของเธอ จนถึงตอนนี้ผมไม่รู้ว่าความจะสุขหรือทุกข์ดี ผมสุขที่เธอยังนึกถึงผมเสมอ ผมยังสามารถเป็นที่ระบายให้เธอได้จนกว่าเธอจะสบายใจแล้วผล่อยหลับไป และผมก็รู้ดีว่าเธอมองไม่เห็นผมด้วยซ้ำ และเธอเลือกที่จะเห็นผมจากเพดานที่ว่างเปล่าในห้องเธอ แต่ผมทุกข์ที่ตอนนี้ผมได้แต่นอนมองดูท้องฟ้าที่ว่างเปล่าในอวกาศ โดยที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหนสุขทุกข์หรือไม่ เปรียบเสมือนวิทยุที่เราได้แต่ฟังทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่าผู้พูดดีใจหรือเสียใจอยู่กับเรื่อวที่พูด ปากบอกว่าสุขทั้งที่กำลังทุกช์ใจรึเปล่า นั่นจึงทำให้ผมเศร้าใจ

 

จากวันนั้นถึงวันนี้ครบรอบ 1 ปี สาวน้อยยังมั่นมาคุยกับผมเหมือนเคย แม้เธอจะห่างหายไปบ้าง เพราะเธอกำลังมุ่งมั่นกับการเรียน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดี ผมรู้สึกยินดีด้วยจนกระทั่ง "จันทร์เจ้าขา ณินคิดว่า ณินกำลังชอบใครคนนึง" ไม่รู้เพราะอะไรตอนนั้นเหมือนเสียงของเธอโดนตัดไป อาจเพราะฝนตก ฟ้าร้องรึเปล่า แต่ก็ไม่หนิ วันนี้ท้องฟ้าก็เหมือนเคยหรือเมฆหนาขึ้น ตอนนั้นผมรู้สึกอื้ออึงคล้ายกับผมหลุดลอยกลับไปในอวกาศลอยกลับไปในความว่างเปล่า จนผมมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่เธอกำลังเล่าถึงชายคนนั้น แต่เสียงที่เธอพูดกลับขาดๆหายๆจนผมไม่สามารถจับใจความได้ เฮ้อ...หลังจากวันนั้นเสียงของเธอค่อยๆหายไปเรื่อยๆ จาก 3 วันต่อสัปดาห์เป็น 1 ครั้ง จากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จนตอนนี้ผ่านมาได้ 4 ปีแล้ว ผมแทบไม่รู้เรื่องราวของเธอเลย จนกระทั่งวันที่เธอเดินทางกลับมาที่บ้านพร้อมใบปริญญา  เธอจบการศึกษาเป็นที่เรียบร้อย และหากถามว่าผมรู้ได้ยังไง ผมบอกเลยว่าในที่สุดวันที่ผมรอคอยก็มาถึง วันที่เธอกลับเข้าในแสงจันทร์ของผม วันที่ผมได้เห็นใบหน้าสาวน้อยอีกครั้ง ตอนนี้สาวน้อยผมโตจนแทบไม่เหลือเคล้าตอนเด็กแล้ว แต่เธอเติบโตอย่างงดงาม สายตาเฉยชาของเด็กที่เจ็บป่วยในวันนั้น แต่วันนี้กลับเปร่งประกาบสดใสดั่งดาวบนท้องฟ้า ตามความคิดของผม ผมว่าเธอ"สวย"เหมือนดอกไม้ที่ผุดขึ้นมาในพื้นที่ว่างเปล่าที่มีแต่ดินทรายอย่างดวงจันทร์ดวงนี้ ทำดาวที่ว่างเปล่าให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น

แต่แล้ววันถัดมาเหมือนว่าบ้านของเธอจะมีแขกมา เป็นเด็กผู้ชายที่อายุราวๆกับสาวน้อย ผมไม่รู้ว่าเขามาทำไม แต่ฟังจากเสียงแล้วคงจะเป็นช่วงเวลาที่สนุกน่าดู จนกระทั่งถึงเวลากลางคืน คนในครอบครัวแยกย้ายกันเข้านอน ผมก็มีรอสาวน้อยเหมือนเคยแต่แล้วเธอก็ออกมาพร้อมเด็กหนุ่มนั่น มานั่งที่ม้านั่งตัวเดิม ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรตราบจนเด็กหนุ่มนั่นล้มตัวนอนลงบนตักของเธอ ความรู้สึกผมตอนนั้น หากพูดแบบมนุษย์ก็อะไรนะ "ฟ้าผ่ากลางใจ" แต่ผมไม่รู้จักฟ้าผ่า เพราะผมอยู่เหนือมวลอากาศเหล่านั้น หากเปรียบเทียบในมุมผม ผมว่าเหมือนอุกาบาตที่มาด้วยความเร็วสูงแล้วพุ่งใส่ดาวผม มันทำให้ดาวของผมได้รับความเสียหายเป็นหลุมที่ไม่มีวันหาย

"จันทร์เจ้าขา นี่คนรักของณินเองค่ะ"

"ณิน คุยกับใครหน่ะ"

"คุยกับจันทร์ไง"

"คุยทำไมอะ"

"เฮ้อ..จันทร์กับเราหน่ะเป็นเพื่อนกันมาตลอดเลยนะ โดยเฉพาะตอนณินเด็กๆ จันทร์อยู่กับณินทุกคืนในวันที่ณินไม่มีใคร ก็มีแค่จันทร์เท่านั้น และอีกอย่างณินก็เชื่อว่าจันทร์สามารถทำให้คำอธิษฐานของเราเป็นจริงได้ เพราะตอนที่ณินป่วยมากๆจนคิดว่าจะไม่รอดเสียแล้ว แต่เพราะณินมาขอพรกับจันทร์ทุกคืน จนในที่สุดณินก็รอดมาได้ รวมทั้งเรื่องของเธอด้วย เพราะเราเคยขอพรเอาไว้หรอกนะ จนทำให้เราได้พบกัน" เธอเล่าให้เขาฟัง แต่มันกลับดังก้องขึ้นมาหาผมชัดเจน จนทำให้ดินแห้งๆชุ่มชื้น เพราะได้น้ำที่รดดอกไม้สวยงามอย่างเธอที่ทำให้ดินแห้งๆของผมพลอยได้รับน้ำไปด้วย แม้ว่าคืนนี้ผมจะเจอแรงกระแทกของอุกาบาตมากลางดวง แต่การที่ผมได้ฟังความในใจของเธอที่มีต่อผม มันทำให้ผมลืมทุกอย่าง รวมทั้งความเหงาตลอด 4 ปีที่ผ่านมาด้วย ลืมทุกสิ่ง

หลังจากสาวน้อยจบการศึกษา เธอกลับมาอยู่ที่บ้าน โดยที่เธอทำงานเป็นนักเขียน นั่นจึงทำให้เธอสามารถทำงานที่บ้านได้ และนั่นมันก็ดีต่อเธอรวมถึงผมด้วยเพราะผมสามารถเฝ้ามองเธอได้เหมือนเคย แต่ก็จะมีแค่วันเสาร์อาทิตย์ที่ผมไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ เพราะเด็กหนุ่มคนรักของเธอจะมาหาทุกอาทิตย์ นั่นทำให้ผมค่อนข้างหงุดหงิด จนอยากให้เกิด "สุริยุปราคา" วันที่ดวงจันทร์เคลื่อนไปอยู่ตรงกลางระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก จนทำให้ข้างนึงของโลกมืดสนิทไม่เห็นแม้แต่แสงจากอาทิตย์ มืดให้ใจหายเล่น แม้จะไม่กี่นาทีแต่ผมอยากให้มันเกิด ฟังดูอาจน่าขำ แต่พอเห็นหน้าไอหนุ่มนั่นก็ขำไม่ออกเถอะครับ แต่ก็เอาเถอะเพราะการที่ไอหนุ่มมาที่นี่มันก็สามารถทำให้สาวน้อยยิ้มออกมาอย่างสดใสมากกว่าทุกวัน เธอดูสนุกสนานกับทุกสิ่งที่ได้ทำกับไอหนุ่ม และทุกคืนของวันเสาร์ ทั้งคู่จะออกมานั่งรับลมที่ม้านั่งตัวเดิม นั่งคุยกันแบ่งปันประสบการณ์หรือเรื่องราวที่เจอะเจอระหว่างอาทิตย์ แบ่งปันสุขทุกข์ของกันและกัน และทุกคืนก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายกันไปนอน ไอหนุ่มจะกุมมือเธอแล้วเงยหน้ามองมาที่ผมแล้วพูดกับผม "ฝากดูแลณินด้วยนะครับ คุณพระจันทร์" ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มให้กันแล้วเข้าบ้านไป ผมได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้ารับอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์

 

และแล้วเวลาก็ผ่านไป 45 ปีผมก็ยังเป็นผมไม่เปลี่ยนแปลง แต่คนที่เปลี่ยนแปลงไปคือสาวน้อยของผม ตั้งแต่วันนั้นวันที่เธอเรียนจบมาราว 5 ปี สาวน้อยก็แต่งงานกับไอหนุ่มนั่น ซึ่งมันก็ไม่เกินไปจากที่ผมคิดไว้ แม้ผมจะรู้สึกเหมือนมีอุกาบาตมาเฉี่ยวดาวผม แต่พอเห็นหน้าของเธอที่ยิ้มแย้มมีความสุข มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีเช่นกัน โดยที่คืนวันแต่งงานของเธอ เธอและไอหนุ่มเดินจูงกันมามองผม แล้วเธอก็ส่งกุมมืออธิษฐานกับผมอีกครั้ง "จันทร์เจ้าขา ขอให้เราสองคนอยู่ด้วยกันตลอดไป" หลังจากงานแต่งของเธอ ไอหนุ่มก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านเธอ ทุกคืนทั้งสองยังออกมานั่งคุยกันและเล่าเรื่องต่างๆให้ผมฟัง ใช่ครับ รวมทั้งไอหนุ่มด้วยที่พักหลังก็จะคุยกับผมด้วย ทุกวันเหมือนผมได้เข้าไปนั่งคุยกับพวกเขาทั้งสองคน ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจที่ทั้งสองเชื่อถึงการมีอยู่ของผม ทั้งสองทำให้ผมได้เรียนรู้ถึงคำว่า "เพื่อน" และไม่เปล่าเปลี่ยวเดียวดายที่จะอยู่ในอวกาศอีกต่อไป

แต่ตอนนี้เพื่อนของผมเริ่มมีความเปลี่ยนแปลง จากสาวน้อยและเด็กหนุ่มได้เปลี่ยนมาเป็น สาวใหญ่ จากที่เคยผมดำยาวสวย วันนี้ เธอกลับตัดสั้นและสีของตัวผมก็เปลี่ยนเป็นสีขาว อีกทั้งดูเหมือนส่วนสูงของเธอเองค่อยๆลดลงด้วย สังเกตได้จากหลังค่อมๆของเธอ เธอดูเดินช้าลง พูดช้าลงและเหนื่อยง่าย แต่ถึงอย่างนั้นในสายตาของผมก็ ธรณินก็ยัคงงเป็นสาวน้อยของผมเสมอ แต่ทั้งนี้คนที่เปลี่ยนไปมากกว่าสาวน้อยคือ ไอหนุ่มสามีของเธอ จากเด็กหนุ่มสูง ร่าเริง กระฉับกระเฉง วันนี้แทบไม่เหลือเคล้าเดิม จากเด็กหนุ่มที่พูดมาก วันนี้กลับพูดไม่กี่คำ จากคนที่เดินไปมาทั้งวัน วันนี้กลับนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิมทั้งวัน แต่ถึงอย่างนั้นทุกคืนทั้งสองยังจูงมือกันมานั่งที่ม้านั่งตัวเดินแล้วมองมาที่ผม แต่ที่เปลี่ยนไปคือ ทั้งสองนั่งกันอยู่ในความเงียบจับมือกันไว้อย่างนั้น แม้ทั้งคู่จะไม่ได้พูดอะไร แต่ผมสามารถรับรู้ได้ถึงคำอธิษฐานเดิมๆของพวกเขาตั้งแต่วันแต่งงาน "ขอให้เราสองคนอยู่ด้วยกันตลอดไป"

ไม่นานจากนั้น เช้าวันหนึ่งสาวน้อยกับไอหนุ่มเดินทางออกจาบ้านกันไปตั้งแต่เช้า และคืนนั้นกลับมีแต่สาวน้อยที่กลับมาบ้านคนเดียวพร้อมกับลูกสาวของเธอ เธอกลับมาพร้อมสีหน้ากังวล แววตาที่สั่นไหวถูกปกคลุมไปด้วยน้ำตา เธอค่อยๆเดินเข้าบ้านก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาของไอหนุ่มแล้วร้องไห้ออกมา และคืนนั้นก็กลายเป็นคืนที่เงียบสงบ เพราะเธอไม่ได้ออกมาหาผม แต่เธอหลับไหลไปพร้อมกับน้ำตา ตอนนั้นผมรู้สึกเคว้งคว้าง ไม่ใช่เพราะไม่มีใครมาคุยกับผม แต่เป็นเพราะเพื่อนที่อยู่กับผมทุกวันไม่อยู่ โดยที่ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมเธอถึงกลับมาพร้อมกับน้ำตาแบบนั้น

แล้ววันถัดมาธรณินก็ออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า และ คืนนั้นเองผมก็ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับไอหนุ่ม  หญิงสาวกลับไปที่โรงพยาบาลที่ผมได้เจอกับเธอครั้งแรก แต่วันนี้คนที่ใส่ชุดคนป่วยไม่ใช่เธอ กลับเป็นไอหนุ่มแทน เขานอนหลับอยู่บนเตียงโดยมีสายระโยงระยางรอบตัว เสียงจากเครื่องฟังหัวใจที่ดังอย่างแผ่วเบา และ ช้า จนน่าใจหาย สาวน้อยนั่งกุมมือเขาไว้ แล้วสรรหาคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้เพื่อทำลายความตึงเครียดและซ่อนความโศกเศร้าไว้ในใจ แต่มันก็ไร้การตอบสนองจากไอหนุ่ม และคืนนั้นสาวน้อยก็นอนที่โรงพยาบาลนั้น ห้องพักของไอหนุ่มคล้ายกับห้องที่เธออยู่ตอนเด็กๆ สามารถมองเห็นผมผ่านช่องหน้าต่าง คืนนั้นเธอเล่าให้ฟังว่า ไอหนุ่มป่วยหนัก แต่มันก็เป็นโรคตามวัย เธอหัวเราะแห้งๆพร้อมกับยิ้มรับให้กับชีวิตที่ดำเนินมาถึงขนาดนี้ แต่เมื่อเธอยิ่งพูด จากรอยยิ้มเริ่มเปลี่ยนเป็นน้ำตา เธอพยายามร้องไห้ให้เบาที่สุด เพราะกลัวว่าหากไอหนุ่มได้ยินขึ้นมาเขาจะเป็นห่วง เธอบอกว่าไอหนุ่มมีโอกาสรอดแค่ 50% แม้แต่หมอที่รักษายังบอกให้เธอทำใจเผื่อไว้บ้าง เนื่องจากสภาพร่างกายของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วและไม่สามารถรับยาได้มากนัก เสียงเธอเล่าสลับกับเสียงสะอื้นมันยิ่งทำให้ผมพูดไม่ออก และก่อนที่เธอจะเผลอหลับไปเธอกุมมือกล่าวคำอธิษฐานที่ผมไม่ได้ยินมานาน "จันทร์เจ้าขา อย่าเพิ่งพรากเขาไปจากฉันเลยนะ"

 

ตั้งแต่วันนั้นเราทั้งสามอยู่ที่นั่นตลอด จะมีบางวันที่สาวน้อยกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ซึ่งผมทำหน้าที่เฝ้าไอหนุ่มแทน ทุกอย่างดำเนินมาเรื่อยๆ ในความเงียบสงบมีเพียงเสียงเต้นหัวใจอย่างแผ่วเบาของไอหนุ่มที่ยังบอกว่าเขายังอยู่กับพวกเรา ตลอดชีวิตผมไม่รู้จักคำว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย ชีวิตลำแสงอย่างพวกผมแค่อยู่ทำหน้าที่ไปเท่านั้น ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่แก่แบบมนุษย์ จนกระทั่งวันนี้ วันที่ผมกำลังเห็นคนที่ผมเรียกว่าเพื่อน ค่อยๆพบกับความแก่ ความเจ็บ และใกล้ดับลงไปทุกที มันทำให้ผมสามารถรู้สึกได้ถึงความหมายของคำว่า"จากลา" ผมกลัวการจากไปของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นสาวน้อยหรือแม้แต่ไอหนุ่มเอง การที่จะเห็นคนที่เราเดินทางมาด้วยกัน ทั้งที่ถนนขรุขระบ้าง เจอสะพานสูงยากที่ก้าวข้าม หรือ แม้แต่โรคภัยที่ทำให้การเดินทางช้าลง แต่ เราก็ยังเดินมาด้วยกันได้ ทว่าวันนี้คนที่เดินมาด้วยกัน กำลังจะปล่อยมือเราไปแล้ว เหลือเราไว้คนเดียวบนทางเดิม แม้ก่อนหน้านี้เราจะเคยอยู่เดียวคนเดียวมาก่อน แต่วันนี้การเดินคนเดียวมันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะอะไรรู้ไหม การก้าวเดินพร้อมกับใจที่หนักอึ้งน่ะ มันคงทำให้เราเดินไปได้ไม่ไกลนักหรอก

ห้าเดือนต่อมา สภาพร่างกายไอหนุ่มค่อยๆทรุดลงเรื่อยๆ ทุกคืนธรณินจะพึมพำอธิษฐานคำเดิมวนไปวนมา "จันทร์เจ้าขา ได้โปรดไว้ชีวิตเขา อย่าเพิ่งเอาเขาไป" เธอพร่ำอธิษฐานอยู่อย่างนั้นจนหลับไป แต่แล้วในคืนหนึ่ง "ตี๊ดดดดดดดด" เสียงเครื่องฟังหัวใจดังขึ้น ทำให้ความเงียบสงบของยามวิกาลจบลงด้วยเสียงร้องไห้ของสาวน้อยและเสียงของบรรดาหมอและพยาบาลที่เข้ามาช่วยกันยื้อชีวิตไอหนุ่มเอาไว้ ทุกคนพยายามกันอย่างหนัก ธรณินร้องไห้อย่างหนัก ก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่าลงข้างๆหน้าต่างและมองมาที่ผม "จันทร์เจ้าขา ได้โปรดอย่าพรากชีวิตเขาไป ได้โปรดให้ชีวิตเขา ได้โปรด ได้โปรด"

 

ห้วงเวลานั้นเป็นเวลาที่อื้ออึงที่สุดในชีวิต ในหัวสมองว่างเปล่ามีเพียงเสียงอ้อนวอนของสาวน้อยวนเวียนดังก้องอยู่ในหัว ผมสามารถทำให้เธอได้ มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำให้เธอได้ โดยสิ่งที่แลกแล้วได้กลับคืนมาก็คือ "ชีวิต" ผมไม่รู้ว่าทุกคนยังจำได้รึเปล่าว่า ผมห้ามอธิษฐานหรือขอพรกับดวงจันทร์ เพราะนั่นจะหมายถึง ผมต้องเอาชีวิตของผมไปแลกกับพรที่จะเป็นจริง โดยผมจะต้องดับแสงของตัวเอง ซึ่งนั่นเป็นบทลงโทษสำหรับลำแสงที่ฝ่าฝืนกฎของจักรวาล และเป็นสิ่งที่จักรวาลย้ำนักหนากับเหล่าลำแสงที่มาประจำที่ดวงจันทร์เสมอ ไม่ให้ผูกพันธ์กับมนุษย์จนลืมหน้าที่ของตัวเอง ที่ต้องทำงานก็เพื่อการดำเนินและดำรงอยู่ของหมู่ดาว การขอพร มันคือการพึ่งผู้อื่น ซึ่งเราไม่มีประสิทธิภาพมากพอสำหรับงานนั้น ดังนั้นจึงต้องดับแสงตัวเองลง และตอนนี้ ผมเองก็ได้ทำไปแล้ว ผมผูกพันธ์กับเธอไปแล้ว "ผมรักเธอไปแล้ว"

ผมไม่รู้ว่าตัวเองรู้จักคำนี้ดี รึเปล่า แต่ถ้ามันคือการที่เราได้เฝ้ามองเขาสุขทุกข์ โดยที่ไม่ได้มุ่งหวังที่จะครอบครองเธอไว้ ก็คิดเข้าข้างตัวเองนะว่าผมคิดเข้าใจมันดีแล้ว ผมยอมรับว่า แอบเจ็บตอนที่ธรณิน บอกว่าเธออยากมีความรัก เพราะมันทำให้ผมรู้ว่าเธอไม่เคยรับรู้ถึงความรู้สึกผมเลยสักนิด มันเลยทำให้ผมเสียใจ แต่ก็ทำได้แค่ก้มหน้ายอมรับมัน และผมก็ต้องมาเจ็บอีกครั้งตอนที่ไอหนุ่มเสนอหน้ามาในชีวิตของเธอ ผมยอมรับว่าผมหมั่นไส้ไอหนุ่ม แต่ผมก็ต้องยอมรับว่ามันทำให้เธอมีความสุข ไอหนุ่มเองก็ไม่เคยทำให้เธอเสียใจ อยู่เคียงข้างเธอทั้งวันที่สุขและทุกข์ ยิ่งช่วงที่เธอเสียพ่อแม่ของเธอไป สาวน้อยเสียใจจนร่างกายทรุด และต้องไปอยู่พักรักษาที่โรงพยาบาลแรมเดือน โดยมีไอหนุ่มอยู่ข้างเธอไม่เคยห่าง จนเธอหายดีและสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ดังเดิม นั่นจึงทำให้ผมเลิกเหม็นหน้าเขา แล้วเริ่มฟังเสียงเขาสลับกับเสียงของเธอที่ผลัดกันเล่าเรื่องไปมา จนในที่สุด ผมกับไอหนุ่ม ก็กลายมาเป็นเพื่อนซี้กัน และถ้าหากวันนี้เพื่อนและคนที่ผมรัก กำลังเจ็บปวดมากที่สุด ผมก็ยอมที่จะทำอะไรเพื่อพวกเขาบ้าง

 

ผมค่อยๆทรุดตัวคุกเข่าทั้งสองข้างบนพื้นดินทรายที่ว่างเปล่าของดวงจันทร์ กุมมือทั้งสองข้างแล้วกล่าวคำอธิษฐานดวงพลังทั้งหมดที่ผมมี  "จันทร์เจ้าเอ๋ย ได้โปรดรับชีวิตของข้าไว้ แลกกับคำอธิษฐานของข้า ได้โปรดฟังคำข้าให้ดี ได้โปรดคืนชีวิตให้แก่เขา คืนลมหายใจให้แก่เขาด้วยเถิด"

 

ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด

"ณิน"

"ตะวัน ได้ยินณินไหม" ฉันขยับตัวเข้าไปกุมมือเขาเอาไว้ มือของเขาในวันนี้ต่างจากเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเขาเป็นผู้ชายที่สนุกสนาน ร่าเริง เขาทำให้ชีวิตของฉันมีชีวิตชีวาขึ้นมา เราเจอกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย แล้วเราก็คบกันมาเรื่อยๆจากคู่รักมาป็นคู่ชีวิตจนถึงทุกวันนี้ เสียงของชายที่รัก ที่ไม่ได้ยินมาตลอด 5 เดือน วันนี้เขากลับมาเรียกฉันอีกครั้ง

จากวันนั้น ตะวันก็กลับมาพักฟื้นที่บ้านท่ามกลางความแปลกใจของหมอ จากคนที่มีโอกาสรอดอันน้อยนิดอีกทั้ง หัวใจก็ได้หยุดเต้นไปแล้ว มันกลับมาเต้นอีกครั้งราวกับมีปาฏิหาริย์ มากไปกว่านั้น อาการของเขาก็ค่อยๆดีขึ้น จนสามารถกลับมาพักที่บ้านได้ จากตาแก่ที่วันๆนั่งอยู่หน้าทีวี วันนี้กลับมาเดินไปมาในบ้าน พูดเยอะขึ้น และ คืนนี้ก็เป็นคืนแรกหลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาล สาวน้อยออกมานั่งมองจันทร์เหมือนอย่างที่ผ่านมา ฉันเป็นคนที่เชื่อในพลังของดวงจันทร์และเชื่อว่าดวงจันทร์สามารถทำให้คำอธิษฐานของเราเป็นจริงได้เพราะจันทร์ฟังเราเสมอ ตอนเด็กๆฉันไม่ค่อยมีเพื่อนเลยมักมาบ่นให้จันทร์ฟัง แต่น่าแปลกที่ทุกครั้งที่ฉันเล่าเรื่อง แสงจันทร์จะสว่างเจิดจ้ากว่าเดิมคล้ายว่าจันทร์กำลังฟังฉันอยู่ มันจึงทำให้ฉันอุ่นใจ และ รู้สึกว่ามีจันทร์เป็นเพื่อน หลังจากนั้นฉันก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้จันทร์เหงาอีกต่อไป

 

ตอนเด็กๆแม่ของฉันชอบเล่านิทานเกี่ยวกับดวงจันทร์ให้ฉันฟัง แม่บอกบ่อยๆว่า ดวงจันทร์เป็นดาวที่เหงาที่สุด เธอมักจะส่องสว่างยามกลางคืน แต่แสงสว่างของเธอเป็นแสงที่มีแต่ความเหน็บหนาว ต่างจากแสงอาทิตย์ที่ทำให้เกิดความอบอุ่น ดังนั้นจันทร์จึงใฝ่ฝันที่จะได้พบดวงอาทิตย์สักครั้ง แต่นั่นก็ไม่สามารถเป็นไปได้ มันจึงทำให้เธอผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอมักหว้าเหว่เสมอ โดยเฉพาะวันที่จันทร์เต็มดวง เป็นวันที่ดาวรอบๆจะหนีไป เพราะ แสงที่สว่างจ้ากว่าทุกวัน ดังนั้นคืนจันทร์เต็มดวง มันจะทำให้เธอเหงามากที่สุด และนั่นเองเธอจึงตัดสินใจที่จะแปลงกายลงมาที่โลกมนุษย์ และเมือมาถึงเธอก็ได้พบเข้ากับกระต่ายตัวหนึ่ง ซึ่งกระต่ายตัวนั้น เดิมทีหลงรักในพระจันทร์ และ หวังว่าสักวันจะมีโอกาสได้ไปอยู่บนท้องฟ้า เมื่อจันทร์เจอกับกระต่าย จันทร์ก็ถามหาดวงอาทิตย์  เมื่อกระต่ายฟังเช่นนั้น กระต่ายจึงบอกเธอไปว่า หากจันทร์สามารถพาเขาขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ เขาจะทำให้เธอได้พบกับอาทิตย์ จันทร์จึงทำให้ฝันของกระต่ายเป็นจริง แต่กระต่ายกลับไม่ได้ทำให้ฝันของจันทร์เป็นจริง ดังนั้นทุกคืนจันทร์เต็มดวง จันทร์ยังคงแปลงกายมาที่โลกเสมอ แต่เธอก็ยังไม่เคยได้พบกับอาทิตย์เสียที  จันทร์ร้องไห้ท่ามกลางความมืด แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งทักเธอ ถามไถ่เธอ พูดคุยกับเธอจน เธอรู้สึกสบายใจขึ้น พร้อมบอกว่าต่อจากนี้เขาจะมาคุยกับเธอ เพราะไม่อยากเห็นจันทร์เสียใจและร้องไห้อีก หลังจากนั้นทุกคืนจันทร์เต็มดวง จันทร์ก็ไม่เหงาที่จะรออาทิตย์ต่อไป โดยที่มีเสียงปริศนาคอยคุยกับเธออยู่ตลอดนั่นเอง

 

และนี่เองเมื่อดวงจันทร์อยู่เป็นเพื่อนฉัน ฉันก็จะอยู่กับเธอเป็นการตอบแทน เราจะอยู่ด้วยกันทุกคืน รู้ไหมทุกคน การที่มีจันทร์เป็นเพื่อน เราสามารถเล่าเรื่องที่เราพบเจอให้เขาฟัง ฉันชอบ ที่จะปรับทุกข์กับจันทร์ เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกว่าในวันที่ฉันทุกข์ ก็เปรียบเหมือนกับยามกลางคืนที่มืดมิดที่ยังคงมีแสงจันทร์ส่องทางเราเสมอ เช่นเดียวกับปัญหาของฉันไม่ว่าจะหนักขนาดไหน ก็ต้องมีทางออก ออกจากปัญหานั้นมาได้ และนี่เองจวบจน 80 ปีกว่าแล้ว ที่ฉันยังคงมีจันทร์เป็นเพื่อนเสมอ แต่อะไรรู้ไหม ฉันกลับรู้สึกว่า วันนี้จันทร์เปลี่ยนไปแล้ว เหมือนไม่ใช่จันทร์ดวงเดิม ฉันไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เธอเหมือนไม่ใช่เพื่อนของฉัน ทั้งที่เธอยังส่องแสงเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกบอกฉันว่าไม่ใช่เธอ

"ทำไมวันนี้จันทร์ดูแปลกไป" เสียงจากสามีที่นั่งข้างๆฉันดังขึ้น

"นั่นสิ" ฉันตอบเบาๆก่อนที่เราสองคนจะนั่งมองจันทร์กันอย่างเงียบๆ มองจันทร์ที่เปลี่ยนไป ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป และ สงสัย เพื่อนคนสำคัญของเราไปไหนกันนะ

 

แล้วชีวิตของเราสองคนก็ดำเนินเป็นปกติจากนั้นได้ไม่นาน นอกจากฉันจะเสียเพื่อนอย่างจันทร์ไปแล้ว ไม่นานสามีก็จากฉันไปอีกคน โดยก่อนที่เขาจะลาไป คืนนั้นเขานอนมองดูจันทร์เป็นครั้งสุดท้ายแล้วเอ่ยขึ้น "หากชาติหน้ามีจริง ฉันขอตอบแทนนายบ้างนะจันทร์ แลกกับชีวิตที่ทำให้ฉันอยู่มาได้นานขนาดนี้" สิ้นประโยคเขาก็จากไป เขาคงไปรอฉันอยู่บนท้องฟ้า ไปรออยู่กับเพื่อนเก่าของเราอย่าง "จันทร์" และในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ฉันจะได้ไปอยู่กับทุกคน ฉันหวังว่าจะได้พบจันทร์สักครั้งนะ ดังนั้นนี่คงจะเป็นคำอธิษฐานครั้งสุดท้ายของฉันแล้วละ

"จันทร์เจ้าขา ขอให้เราได้เจอกันอีกครั้งด้วยเถิด"

 

 

To be continue.......

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว