จอมใจ จ้าวโลกันต์
28
ตอน
9.65K
เข้าชม
90
ถูกใจ
6
ความคิดเห็น
37
เพิ่มลงคลัง

บทที่ 1

โลกต่างมิติดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อในยุคที่การสื่อสารไร้พรมแดนดั่งเช่นในปัจจุบัน เมื่อมนุษย์สามารถออกท่องอวกาศ หรือดำดิ่งสู่ใต้พิภพด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย การสื่อสารทำได้แค่ลัดนิ้วมือ มนุษย์พยายามอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นด้วยคำว่า ‘วิทยาศาสตร์’ และผู้คนในยุคนี้เลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่วิทยาศาสตร์อธิบายได้เท่านั้น

ลึกลงไปเบื้องล่างในอีกห้วงมิติแห่งความมืดมิด คือที่อยู่ของราชาปีศาจ ‘แบล็คเนส’ ผู้มีใบหน้างดงามดุจอิสตรีที่เหล่าทวยเทพเทวดาหลายคนต่างพากันอิจฉาในความงดงาม หากแต่นิสัยอันแสนโหดร้ายไม่เคยแยแสผู้ใด เป็นสิ่งที่น่าเขย็ดขยาดแก่ผู้ที่จะมาเกี่ยวข้องด้วยเป็นยิ่งนัก

ทางเดินอับชื้นจากอุโมงค์หินทอดยาว มีแสงสว่างนำทางจากคบไฟบนผนังหินเป็นระยะ โครงกระดูกขาวหม่นโครงใหญ่รีบจ้ำเดินให้ออกทางทางเดินนี้โดยไว จนเสียงกระดูกกระทบกันดังก๊อกแก๊ก เพื่อแจ้งข่าวร้ายเรื่องนักโทษอุจฉกรรจ์ได้หลบหนีออกจากที่คุมขังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากเขาเป็นมนุษย์คงได้เหงื่อแตกซิกๆกันไปข้าง เพราะราชาแบล็คเนสคงเรียกสอบสวนเรียงตัว ก่อนจะทำการลงโทษโดยการสั่งแยกกระดูกพวกเขาเป็นแน่แท้ อย่างน้อยก็ 2 อาทิตย์เป็นอย่างต่ำ กว่าพวกเขาจะได้รับอภัยโทษ หากพระองค์ไม่ลืม

“แจ้งองค์แบล็คเนส จอมโจรป่วนมิติแหกคุก พร้อมมอนเตอร์อีกจำนวนหนึ่ง” เจ้าโครงกระดูกกระซิบกับอีกาที่สุดทางเดินอับชื้น

ก๊า!!!!เสียงอีการับคำสั่ง ก่อนจะออกบินขึ้นยังท้องฟ้าดำทะมึน สู่ปราสาทโครงกระดูกที่เห็นยอดแหลมของปราสาทอยู่ลิบๆ

อีกาสีดำทะมึนประดับเหล็กแผ่นประทับตราหัวกระโหลก บินผ่านป้อมทหารยาม พร้อมทั้งส่งสัญญาณทักทายกันอย่างคุ้นเคย จนเมื่อถึงประตูทางเข้าปราสาท ร่างดำทะมึนก็แปรเปลี่ยนเป็นกายหยาบคล้ายมนุษย์ แต่ปากอูมดำเฉกเช่นอีกา เขาถอนหายใจยาว ก่อนสูดอากาศเข้าปอดลึกแล้วเดินผ่านทหารยามซอมบี้บึกบึนเข้าสู่ห้องโถงของตัวปราสาท ที่มีปีศาจชั้นสูงในแต่ละเผ่าพันธ์เดินผ่านและทักทายเขาบ้างประปราย

“ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าเลย เดวี่ เจ้ามาทีไรมีแต่ข่าวร้ายทุกที” เสียงทักจากบนบัลลังค์หินตระหง่านสุดปลายห้องโถงกว้างสีขาว บุรุษซึ่งประทับอยู่บนบัลลังค์สีขาวนั้นจึงดูโดดเด่นแต่ไกลไปโดยปริยาย ดวงตาเรียวทรงอำนาจดุจมังกรแน่นิ่ง ทับทิมฝัง ณ ภายในมิมีแววเคลื่อนไหว หากขนงเรียวเข้มกลับขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด ขณะบุรุษผู้เดินเข้ามาน้อมทำความเคารพด้วยท่าทีอันองอาจ

“หามิได้องค์แบล็กเนส ข้าเองได้รับหน้าที่จากท่าน ที่ท่านบัญชาให้คอยแจ้งข่าวจากคุกบาบาดุกเมื่อยามเกิดปัญหา ข้าจึงมิอาจจะหาเรื่องชื่นมื่นประการใดมาแจ้งแก่ท่าน เพราะข้ามิได้อยู่ ณ ที่อันรื่นรมย์ ” เสียงแหบห้าวจากชายในชุดผ้าคลุมสีดำตอบอย่างเคารพ

“ถ้าอย่างนั้นคงเกิดเรื่องมิดีเป็นแน่ จงรีบแจ้งมา” องค์แบล็คเนสยังคงใช้น้ำเสียงเนิบนาบที่ไม่อาจแยกออกว่าเป็นชายหรือหญิง

“จอมโจรอุรุกรัน จอมป่วนมิติได้แหกคุกออกไปแล้วขอรับ พร้อมมอนเตอร์อีกจำนวนหนึ่ง”

“ข้าคิดไว้อยู่ เจ้าพวกนี้ไม่คิดจะให้ข้าได้พักกันเลยหรืออย่างไร กลับไปบอกพวกผู้คุมหากข้ากลับมาแล้วมีผู้คุมคนใดคนหนึ่งหายไป ข้ารับรองเลยว่าข้าส่งพวกเจ้าไปลงนรกที่เลเวียธานแน่” จบคำจอมปีศาจแบล็คเนส ก็ลุกขึ้น ยืดตัวเต็มความสูงอย่างเมื่อยขบ หันไปพยักหน้าให้เหล่าปีศาจผู้ติดตาม ก่อนจะทยานตัวขึ้นด้วยปีกดั่งนก 4 คู่ด้านหลังอย่างทรงพลัง

อีกาเดวี่มองจอมปีศาจและคณะผู้ติดตามบินผ่าวงแหวนแห่งเวทย์เหนือห้องโถงไปจนลับสายตา จึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังกลับไปยังทางเก่าเพื่อแจ้งข่าวแก่เหล่าผู้คุมโครงกระดูกที่พักหลังมานี้ปล่อยนักโทษแหกคุกกันบ่อยเสียเหลือเกิน เหมือนเป็นลางร้ายอะไรสักอย่างที่ปีศาจอีกาคิดว่าจะเกิดขึ้นกับโลกปีศาจแห่งนี้ในอีกไม่นานเป็นแน่

โลกมนุษย์ ณ กาแลคซี่ทางช้างเผือก

ดวงจันทร์กลมโตเจือสีแดงจางๆลอยเด่นแม้จะเป็นเพียงช่วงหัวค่ำ หากแต่ว่าความเชื่อ ณ เขตชนบทมีคำสอนแต่โบร่ำโบราณว่า จันทร์สีเลือดจะนำมาซึ่งโชคร้าย และการเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างกระทันหัน การหลีกหนีเข้าบ้านจึงเป็นทางออกที่ง่ายที่สุดที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับมัน อีกทั้งในบางพื้นที่บอกไว้ว่าการต้องแสงจากจันทร์สีเลือดจะนำหายนะมาสู่ตัวเอง

มอเตอร์ไซด์กลางเก่ากลางใหม่ ส่องไฟมาตามถนนสีดำ ที่เป็นหลุมเป็นบ่อแทบทุกหย่อมหญ้า แบบไม่ต้องหาที่หลบให้เสียเวลา วิ่งมาค่อยๆ ความเร็วสม่ำเสมอ ผู้ขับขี่ตัวโยกโยนตามหลุมตามบ่อที่รถตกลงไป เธอเงยหน้ามองพระจันทร์สีเลือดเป็นระยะอย่างกังวล ด้วยความเชื่อแต่เก่าก่อนฝังหัวมาแต่ยังเล็กยังน้อย ถึงกระนั้นก็ยังคงดูเหมือนเธอขี่รถมอเตอร์ไซด์ไล่ตามพระจันทร์อาถรรพ์อยู่ดี

นิ่มงาม เป็นชื่อของหญิงสาววัย 19 ปีที่แม่เสียชีวิตเมื่อเธออายุได้เพียง 7 เดือน เธอจึงถูกเลี้ยงดูมาโดยซิสเตอร์และบาทหลวงของโบสถ์แห่งนี้ ซึ่งพ่อของเธอเป็นสัปเหร่อให้โบสถ์คริสต์แห่งนี้ที่แยกตั้งออกมาจากตัวเมืองกว่า 10 กิโลเมตร ทำให้เธอลำบากในการเดินทางไปกลับระหว่างที่พักและวิทยาลัยที่เธอกำลังศึกษาต่อ แต่เธอไม่เคยคิดที่จะหาหอพักอยู่ใกล้กับวิทยาลัยด้วยสงสารพ่อที่ได้รายได้จากการทำศพเพียงน้อยนิด ถึงเธอจะได้ทุนในการศึกษาต่อจากซิสเตอร์แต่เธอก็ไม่คิดที่รบกวนท่านมากไปกว่านี้ อีกอย่างการเดินทางไปกลับ แม้จะเหนื่อย แต่ก็ทำให้เธอมีเวลาเหลือมาดูแลพ่อและช่วยการเล็กๆน้อยๆในโบสถ์ที่เธอพอจะหยิบจับได้ เป็นการตอบแทนพระคุณของท่าน

ชายชราวัยเกือบ 60 ปี ลุกจากม้านั่งพลาสติกเก่าๆ เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่คุ้ยเคย ก่อนเดินไปเข็นประตูรั้วสูงให้เปิดออกเพียงพอที่ลูกสาวของเขาจะเอารถมอเตอร์ไซด์คันนั้นเข้ามาได้

“สวัสดีค่ะพ่อ” นิ่มงามเอ่ยทั้งที่เธอยังสวมหมวกกันน็อค หลังนำรถเข้ามาภายในบริเวณโบสถ์เรียบร้อยแล้ว

“ทำไมวันนี้ถึงกลับค่ำนักละลูก” บิดาเอ่ยถามหลังเขาปิดประตูเข้าที่เรียบร้อยดีแล้ว

“งานค้างนิดหน่อยค่ะพ่อ ก็เลยรอสะสางส่งอาจารย์ให้เสร็จแล้วค่อยกลับ” นิ่มงามอธิบาย

“ดีแล้วลูก งานนิดๆหน่อยๆ รีบทำรีบส่ง จะได้มีคะแนนเก็บ เรานะหัวไม่ดี ตอนสอบจะได้ไม่ลำบาก”

“ค่ะพ่อ” นิ่มงามรับคำพ่ออย่างมั่นใจ ก่อนที่ทั้งสองคนพ่อลูกจะพากันเดินผ่านข้างโบสถ์ไปยังบ้านหลังน้อยติดปากทางเข้าป่าช้าของโบสถ์

“พ่อทานอะไรรึยังค่ะ” เธอถามขึ้นขณะเก็บรถมอเตอร์ไซด์เข้าที่อย่างทะนุถนอม

“เรียบร้อยแล้วเหลือแต่เรานั่นล่ะ ลองหาอะไรกินดู เดี๋ยวพ่อจะไปนอนแล้ว”

“ค่ะพ่อ” เธอรับคำง่ายดาย แล้วแยกย้ายไปจัดหาอาหารลงท้องของตัวเอง ในขณะที่ผู้เป็นพ่อแยกไปนั่งดูข่าวอยู่ในห้องนั่งเล่นที่อยู่ในห้องเดียวกันกับครัว แต่ถูกจัดแยกเป็นสัดส่วนดูเรียบร้อยและสะอาดสะอ้าน เพราะทั้งพ่อทั้งลูกเป็นคนเจ้าระเบียบด้วยกันทั้งคู่

หลังรับประทานอาหารเรียบร้อย นิ่มงาม ยังคงนั่งคุยกับพ่ออยู่สักพัก ดูละครหลังข่าว จากนั้นพ่อของเธอก็ขอแยกไปนอนเสียก่อน โดยที่นอนของพ่ออยู่ด้านนอกของตัวบ้าน มีแท่นปูนก่อขึ้นมาปูกระเบื้องสีเรียบเพื่อไว้ใช้รับแขกได้ในเวลากลางวัน ตอนกลางคืนพ่อจะกลางมุ้งนอนอยู่ด้านนอก เพราะได้รับลมเย็น บรรยากาศไม่อ้าวเหมือนอยู่ในตัวบ้าน หากวันไหนฝนตกถึงย้ายเข้ามานอนอยู่หน้าโทรทัศน์บ้าง

นิ่มงามปิดโทรทัศน์หลังที่พ่อออกจากบ้านไปแล้วได้ไม่นาน แล้วไปอาบน้ำเข้านอนบ้าง ทั้งสองคนพ่อลูกเป็นคนเรียบง่าย กินง่ายอยู่ง่ายกันมาแต่ไหนแต่ไร จึงเป็นทั้งที่รักและที่สงสารของบาทหลวง แม่อธิการ และบรรดาซิสเตอร์ประจำโบสถ์นี้ การสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักทำให้พ่อของนิ่มงามเป็นคนเก็บตัวมากยิ่งขึ้นจากที่ไม่เคยสุงสิงกับใครอยู่แล้ว แม้แต่นิ่มงงามเองที่ในวัยเด็กมีแต่เพื่อนรังเกียจ ไม่อยากเล่นด้วย เพราะว่ามีพ่อทำงานคลุกคลีอยู่กับศพ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ได้ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา เธอชอบเสียด้วยซ้ำที่ไม่มีใครมาวุ่นวายกับเธอ จนมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอชอบพูดกับตัวเอง จนชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงคิดว่าเธอมีจิตที่ไม่ปกติ แต่ความจริงแล้วเธอแค่อยู่ในสภาวะซึมเศร้าแบบเด็กๆเพราะขาดการเข้าสังคมเป็นเวลานาน ซิสเตอร์จึงได้ส่งเธอไปเรียนโรงเรียนประจำหญิงล้วนจนกระทั่งเธอจบม.ปลาย และตัดสินใจที่จะเรียนต่อ ปวส.เพื่อที่จะได้ทำงานแบ่งเบาภาระของพ่อได้ไวยิ่งขึ้น

การเข้าเรียนโรงเรียนประจำหญิงล้วนได้ทั้งที่ครอบครัวไม่ได้มีฐานะอะไร ทำให้เธอโดนกลั่นแกล้งจากผู้ที่คิดว่าตัวเองแน่ ตัวเองอยู่เหนือกว่าทุกคนในโรงเรียน โดนใช้งานสารพัดเยี่ยงทาส แต่เธอก็ไม่เคยปริปากบ่นหรือเล่าให้ซิสเตอร์ที่รับอุปการะเธอได้ฟัง เพราะเธอไม่อยากให้พวกท่านมาทุกข์ใจกับปัญหาที่เธอคิดว่ามันเป็นเพียงปัญหาเล็กๆน้อยๆที่พระเจ้าส่งมาเพื่อพิสูจน์เธอ เธอจึงกลายเป็นคนหัวอ่อนในสายตาของใครๆ และมองโลกในแง่ดีมาก จนขนาดเพื่อนที่เคยรักเคยสงสารเธอรู้สึกหมั่นไส้และตีตัวออกห่างในภายหลัง จนทุกวันนี้ เธอเลยไม่มีใครที่สามารถเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้เต็มปากเต็มคำเลยสักคน

ภายใต้เงาของป้ายสุสานและไม้กางเขนที่ทอดตัวยาว มีเงาขยับไหวซ้อนเร้น มันส่งเสียงเป็นสัญญาณสื่อสารกัน ที่หากมนุษย์เดินผ่านมาได้ยินคงคิดว่าเป็นแค่เพียงเสียงหริ่งหรีดเรไรร่ำร้อง เงาซ้อนเงาเคลื่อนไหวเงียบเชียบระวัดระวังตัวอย่างที่สุด เพราะพวกมันรู้ว่ามันกำลังโดย ‘ล่า’

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว