โลกกว้างทางเถื่อน
109
ตอน
12.7K
เข้าชม
94
ถูกใจ
42
ความคิดเห็น
29
เพิ่มลงคลัง

โลกกว้างทางเถื่อน

                                       ยอด  เดชา

…….

1.    คนรกโลก

ชายคนนั้นกำลังไต่ขอนไม้ข้ามแม่น้ำสายหนึ่งอย่างเร่งรีบ ท่าทางของเขาลุกลี้ลุกลนคล้ายกับหนีใครมา   ครั้นไต่มาถึงกลางแม่น้ำแล้ว  แต่...ทันใดนั้น…

เสียงปืนก็ระเบิดขึ้นสามนัดซ้อนๆ ร่างของชายคนนั้นสะดุ้ง แล้วตกลงไปในน้ำ เสียงดังสนั่น ก่อนที่ร่างของเขาจะทะลึ่งโผล่พรวดขึ้นมาเหนือน้ำอีกครั้งหนึ่ง แล้วต่อจากนั้น ร่างนั้น ก็จมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำอันเย็นเฉียบ แผ่นน้ำกระเพื่อมไหวรุนแรงอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงค่อยๆนิ่งสงบ ทิ้งไว้แต่เพียงสีเลือดจางๆที่ค่อยๆละลายไปกับสายน้ำ ก่อนจะกลมกลืนกลายเป็นสีเดียวกัน นั่นคือสีน้ำไปในที่สุด

โดม ดาวดึงส์เสียบปืนเข้ากับซองชายพก เดินดุ่มตรงไปที่ที่ร่างของเหยื่อจมหายลงไปในก้นแม่น้ำ ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น แสดงความพึงพอใจ เยี่ยงคนอำมหิต และเลือดเย็นที่สุด

สายตาที่คมกริบหยั่งลึกลงไปในก้นแม่น้ำ ดั่งจะมองให้ทะลุลงไปยังซากศพที่นอนแช่เย็นอยู่ รอเวลาแข็งกระด้าง อยู่ตรงนั้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

แต่แล้วสายตาของเพชฌฆาตหนุ่มก็แตกวาบขึ้น เมื่อพบว่า ณ ที่แห่งนั้นไม่มีเฉพาะเขาคนเดียว หากแต่มีคนอื่นรู้เห็นการกระทำนี้ด้วย

ปืนถูกกระชากออกมาอีกครั้งหนึ่ง  แล้วเบนปากกระบอกเข้าใส่ร่างนั้นอย่างรวดเร็วซึ่งไม่ได้แสดงถึงความหวาดหวั่นพรั่นพรึง หรือตื่นกลัวออกมาเลยแม้แต่น้อย

แน่นอน ร่างนั้นเป็นบุรุษเพศ ห่มผ้าสีกรัก นั่งนิ่ง ตัวตรง สงบเงียบ ดวงตาทั้งสองข้าง หลับพริ้ม ไม่แสดงการรับรู้ใดๆทั้งสิ้น สีหน้าที่ราบเรียบเยียบเย็น แผ่ซ่านออกมาด้วยรังสีแห่งเมตตาธรรม ฉายรัศมีออกมาอย่างเห็นได้ชัด จนคนที่ได้พบเห็นรับรู้ได้ ถึงความเย็นสงบแห่งธรรมนั้น แม้ไม่ได้เปล่งวาจาใดๆออกมาก็ตาม

โดมสืบเท้าไปตามขอนไม้ข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม ที่กลดพระธุดงค์ปักอยู่ กลดน้อยสีกรัก ไหวพะเยิบอยู่เหนือชายฝั่งแม่น้ำขึ้นไปราวสิบเมตร

ร่างนั้นสงบนิ่งอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวใดๆออกมาเลย เมื่อตอนที่โดมก้าวไปยืน และจ่อปากกระบอกปืนอยู่ตรงหน้า

กิ๊ก ก

ง้างนกขึ้นมาอย่างชำนิชำนาญ นิ้วเตรียมกระดิก แต่แล้ว ร่างของเขาก็ต้องหนาวยะเยียบ ไปจนถึงไขสันหลัง ขนตามตัวลุกซู่ชูชันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ลมพัดวูบมาจากแม่น้ำเพิ่มความเยือกเย็นขึ้นอีกหลายองศา

“ ประสกกำลังนึกถึงแต่การทำลาย”

เสียงนั้นลอดออกมาจากกลดสีกรัก ปืนชะงัก ดวงตาสองข้างเบิกโพลง เขารู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง พระรู้ได้ยังไงว่าเขากำลังจ้องปืนเตรียมลั่นกระสุนใส่ ในเมื่อดวงตาทั้งสองข้างยังหลับพริ้มอยู่

“ ประสกคงแปลกใจ ที่อาตมารู้ว่าประสกคิดอะไรอยู่”

ความมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อพระท่านอ่านความคิดของเขาออก แต่เขาก็ไม่ยอมให้ความอัศจรรย์นั้นมามีอิทธิพลเหนือจิตใจที่เหี้ยมหาญนั้นได้

“อย่าพูดมากท่านเห็นการกระทำของผมแล้ว”

“เรื่องของโลกอาตมาตัดแล้วปัจจุบันแม้จะอยู่ในโลกแต่อาตมาก็อยู่ในโลกแห่งธรรม ไม่ใช่โลกของโลกีย์ ที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเข่นฆ่ากันอย่างไร้ความปรานี ”

“ โลกธรรมหรือโลกมนุษย์ก็ติดต่อถึงกันได้ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ แต่โลกมนุษย์กับโลกของวิญญาณเท่านั้นที่ติดต่อถึงกันไม่ได้ ”

“ แสดงว่าประสกจะทำบาปเพิ่มขึ้นให้ได้ว่างั้นเถอะ”

“ มันจำเป็น ผมต้องรักตัวเองมากกว่า”

พระท่านถอนหายใจเบาๆแล้วลืมตาขึ้นช้าๆก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความตื่นกลัว หรือหวาดหวั่น

“ ประสกกำลังกล่าวเท็จ”

“ เรื่องอะไร”

“ ที่ว่ารักตัวเอง คนรักตัวเอง เขาไม่ทำยังงี้หรอก คนที่รักตัวเองจะต้องแสวงหาสิ่งที่ดีใส่ตัวเอาไว้ให้มาก แต่นี่ประสกทำเหมือนกับคิดร้าย และเกลียดชังตัวเอง ทำในสิ่งที่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน หาบาปใส่ตัว ยังงี้เขาไม่เรียกว่าการรักตัวเองเลย ”

“ ท่านอย่าพูดมากเลย ท่านก็รักตัวเองเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”

“ อาตมาไม่เถียงว่าไม่รักตัวเอง”

“ นั่นปะไร ที่ท่านพูดเพราะกลัวตายล่ะซี”

พระท่านยิ้มอย่างสำรวม ความเมตตาฉายออกมาทางดวงตาคู่นั้น

“ เรื่องความตายเป็นธรรมดาของสัตว์โลก ถึงยังไงอาตมาก็ยืนยันว่ารักตัวเอง และเพราะรักตัวเองนี่แหละ จึงทำให้อาตมามาอยู่ตรงนี้”

“ ทำไม” ขมวดคิ้ว กระชากเสียงถาม

“ อาตมารักตัวเองจึงเพียรแสวงหาความสงบสุข ไม่วุ่นวายอยู่กับโลกภายนอก ความสุขใดเล่าจะเท่ากับความสุขใจ อันเกิดจากความวิเวก”

ปืนชะงักแล้วต่อจากนั้น ก็ค่อยๆลดลง ในที่สุดมันก็กลับเข้าไปอยู่ในซองใต้ชายพกอีกครั้ง

“ ผมหวังว่าท่านคงไม่ปากโป้งเอาเรื่องนี้ไปบอกใครหรอกนะ”

“ เรื่องของโลก อาตมาไม่อยากยุ่งหรอก แต่ถ้ามีคนมาถาม อาตมาก็ต้องพูดความจริง”

“ เอ๊ะ ท่านก็ยังไม่พ้นจากโลกอยู่ดี”

“ อาตมาเป็นพระ โกหกไม่เป็น”

“ยังงั้นผมก็ต้องขออนุญาตปิดปากท่านเสียก่อน”

ปืนถูกกระชากออกมาอีกครั้ง

“ตามใจถ้าประสกคิดว่าเมื่อปิดปากอาตมาแล้วจะปิดปากนรกได้”

“ท่านอย่าอ้างเลยนรกไม่มีปากเสียงเอาผมเข้าคุกไม่ได้หรอก”

“ใช่แต่ปากนรกก็ต้องเผาไหม้หัวใจของประสกอยู่ตลอดไป”

โดมดาวดึงส์ชะงักคำพูดของพระรูปนี้ชวนให้คิดอยู่ตลอดเวลาจิตใจที่เหี้ยมหาญของเขาอ่อนยวบลงทุกขณะเวลาโต้ตอบกับพระธุดงค์

“เก็บปืนซะแล้วนั่งลงสักครู่อาตมาอยากพูดอะไรกับประสกหน่อย”

ราวปาฏิหาริย์โดมเก็บปืนแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าก้มกราบลงแทบตักของพระธุดงค์

บทเทศนาง่ายๆเริ่มขึ้นเมื่อเขานั่งพับเพียบลงตรงหน้าท่านแล้ว

ท่านกล่าวเพียงสั้นๆแต่กินใจทุกถ้อยกระบวนความยังความอิ่มเอิบปิติ ยินดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนทำให้เกิดแก่จิตใจของเขา หัวใจของเพชฌฆาตผู้เห็นการฆ่าเป็นเรื่องธรรมดา

ตอนหนึ่งท่านได้กล่าวถึงความเป็นคนรกโลก

“คนเราเกิดมาอย่าทำตัวเป็นคนรกโลกเราต้องทำให้โลกเจริญสงบร่มเย็นไม่เบียด เบียนกันเพราะการทำตัวแบบนั้นรังแต่จะทำให้โลกเสื่อมสลายไปและร้อนรนราวกับขุมนรก”

โดมดาวดึงส์ก้มหน้านิ่งไม่พูดไม่จาอะไรจนกระทั่งเวลาผ่านไปชั่วอึดใจใหญ่ๆเขาจึงลุกขึ้นและกล่าวอย่างไว้ลายนักเลง

“เอาล่ะผมจะไว้ชีวิตท่านหวังว่าท่านคงรักษาศีลให้บริสุทธิ์ทุกข้อ”

พระธุดงค์พยักหน้าน้อยๆแล้วยิ้มออกมาอย่างปรานี

“อาตมาเป็นพระย่อมไม่ยุ่งกับเรื่องของโลกอยู่แล้วหวังว่าประสกคงไม่ทำกรรมอันหนักยังงี้อีก”

“ไม่แน่เพราะนี่มันเป็นอาชีพของผม”

โดมดาวดึงส์ลุกขึ้นแล้วดุ่มเดินจากไปอย่างรวดเร็ว มีสายตาของพระธุดงค์มองตาม พลางถอนหายใจยาว

อ้า....สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม มีกรรมเป็นของตัวเอง มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเท่านั้นที่จำแนกสัตว์ให้เลวหรือประณีต ต่างกันไป..

…………………

นับแต่วันที่ได้ฟังธรรมะสั้นๆแต่กินใจในวันนั้นแล้วความคิดของโดมดาวดึงส์ก็เปลี่ยนไปทุกครั้งที่เขามองเห็นปืนหัวใจของชายหนุ่มจะเสียวแปลบปวดร้าวไปทั้งทรวงอกมือสองข้างกำแน่นเข้าหากันแล้วความคิดก็หวนระลึกไปถึงความหลังเมื่อครั้งที่เขาหลงเดินไปตามทางสีดำจนกระทั่งบัดนี้

ครั้งแรกในชีวิต ใช่ครั้งแรกที่เขาเป็นนักเลง ชกต่อยกับคนอื่น ครั้งแรกที่ริเป็นขโมย และครั้งแรกที่ปล้นและฆ่า

ครั้งแรกที่เขาปล่อยกระสุนสังหารเพื่อนมนุษย์ด้วยกันซึ่งครั้งนั้นเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยนอกจากความสะใจที่ได้จัดการกับคู่อริ

เขาปล่อยชีวิตให้โลดแล่นอยู่บนเส้นทางที่โลดโผนหวาดเสียวเสี่ยงภัยและเสี่ยงต่อการตกนรกหมกไหม้ จนกระทั่งบัดนี้ มันช่างนานแสนนานราวกัปกัลป์ที่ล่องลอยอยู่ในเปลวไฟอันเผาไหม้หัวใจให้ทุรนเร่าร้อนจนบางครั้งต้องพึ่งพาน้ำนรก คือสุราที่กล่อมหัวใจให้กล้าแกร่ง ดั่งชื่อสุราที่แปลว่ากล้าของมัน

ในวัยยี่สิบสองโดมดาวดึงส์กำลังฮึกเหิมเต็มที่การคลุกคลีตีโมงอยู่กับโลกสีดำทำให้เขาแทบมองไม่เห็นแสงสว่างเพื่อนพ้องมือปืนนักเลงสารพัดรูปแบบผ่านเข้ามาในชีวิตสิ่งบำรุงบำเรอหัวใจนอกจากเหล้ายาบาร์คลับแล้วก็มีผู้หญิงที่หาดีไม่ได้ทุกคนล้วนแต่ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนที่คนทั่วไปขนานนามให้ว่ากะหรี่

แต่ทว่าหลังจากวันที่พบพระธุดงค์นั้นแล้วความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปจนเป็นที่แปลกใจแก่เพื่อนพ้องน้องพี่ทั้งหลายซึ่งต่างก็เฝ้าจับตามองเขาอยู่แม้กระทั้งนายเหนือหัวของพวกเขาก็ยังไม่วายแปลกใจที่เห็นโดมเปลี่ยนไป

“แกจะเลิกอาชีพนี้จริงๆหรือวะโดม”

ฉลองถามในเย็นวันหนึ่ง

“จริงครับพี่หลอง”เขาตอบจริงจัง

“ทำไมล่ะแกจะไปทำมาหากินอะไร”

โดมนิ่งคิดเขายังคิดไม่ออกเลยว่าจะไปทำมาหากินอะไรในเมื่อชีวิตทั้งชีวิตตกหล่มสีดำไปแล้วถ้าจะหันมาทำอย่างอื่นก็คงสายเกินไปเสียแล้ว

“ยังไม่รู้เหมือนกันแต่ฉันว่ามันคงมีอะไรให้ทำสักอย่างล่ะน่า”

ฉลองยิ้มเขารู้ว่าคนอย่างโดมนั้นออกไปทำงานร่วมกับคนอื่นลำบากแน่ความที่เคยผ่านชีวิตอิสระปากว่ามือถึงมีอะไรไม่พอใจก็โป้งป้างปึงปังกันเลยคงปรับตัวเข้ากับคนอื่นยาก

“แกคิดว่าคนอย่างพวกเรายังจะมีคนจ้างทำอะไรอีกรึนอกจากฆ่าคน”

“ผมเองก็หนักใจเหมือนกัน”

เส้นทางชีวิตที่ผ่านมาบนขวางหนามสีดำเคยแต่ระรานถากถางด้วยความรุนแรงครั้น

ออกไปสู่โลกอีกโลกหนึ่งเขาจะทำยังไงถึงจะอยู่ในโลกที่แตกต่างนี้ได้

“คิดให้ดีก่อนอย่าเพิ่งตัดสินใจวู่วาม”

“ผมคิดแล้วรับจ้างเขาทำงานก็คงพออยู่ได้มั่ง”

“ถ้ารับจ้างฆ่าคนน่ะพอได้แต่ค่าจ้างอื่นๆ คงอยู่ไม่ไหว แค่ค่าเหล้าก็ไม่พอแล้ว ”

ฉลองสัพยอกน้อยคนนักที่จะทิ้งกลิ่นดินปืนและคาวเลือดไปได้ผีตายโหงเข้าสิงสู่เกาะกินหัวใจแล้วมีหรือจะเลิกร้างห่างหายไปง่ายๆ

โดมดาวดึงส์ส่ายหน้า

“ผมตั้งใจจะเลิกให้ได้จริงๆ”

“ก็ดีว่าแต่แกวางแผนเอาไว้ยังไงบ้างไม่ใช่คิดอยากไปก็ไปไปแล้วเคว้งคว้างไม่มีงานทำก็ซมซานกลับมาที่เก่าอีกยังงั้นน่ะมันไม่ใช่นักเลงจริง”

“ผมคิดว่าจะไปหาซื้อที่ดินทำไร่สักแปลงหนึ่งในที่ไม่มีใครรู้จัก”

“ ก็ดีว่าแต่แกมีเงินเท่าไหร่”

โดมส่ายหน้าเขาไม่แยแสกับชีวิตมานานแล้วชีวิตที่โลดแล่นอยู่บนเส้นทางที่โลดโผนเสี่ยงตายหาเงินได้มาง่ายๆและมันก็หมดไปด้วยวิธีง่ายๆเช่นกัน

เงินร้อนหมดง่ายใช้คล่องเพราะหยิบจับนานไม่ใคร่ได้เนื่องจากมันร้อนนั่นเอง

“มีไม่ถึงห้าหมื่นเหล้ากับบาร์มันเอาไปกินหมดแล้ว”

“กะหรี่ด้วยอย่าลืม”ฉลองต่อให้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

โดมยอมรับว่าสิ่งที่ฉลองพูดนั้นเป็นความจริง

เขากับหล่อนรักกันจริงๆโดยฝันร่วมกันว่าอยากมีบ้านหลังเล็กๆสักหลังมีที่ดินทำไร่สักแปลงหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากที่นี่  มีลูกชายหญิงไว้สืบสกุลมีชีวิตอยู่อย่างสงบตามวิถีของชาวไร่ผู้รักสันโดษ และตอนนี้เขากับหล่อนก็อยู่ด้วยกันอย่างเปี่ยมสุขแม้หล่อนจะไม่มีอาชีพอะไรก็ตามแต่เงินที่เขาหามาได้ก็เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายผัวเมียที่ยังไม่มีภาระอื่นให้รับผิดชอบ

“ผมยอมรับว่ารักเธอ”โดมสารภาพ

“แต่ข้าว่าไม่ใช่แค่รักเท่านั้นหรอกอย่างแกน่ะมันถึงขั้นหลงเชียวล่ะ”ฉลองกล่าว“แต่มันก็ไม่แปลกนะชีวิตคนอย่างพวกเรามีกะหรี่ไว้นอนกอดก็ดีถมไปแล้ว”

ใช่.ชีวิตอย่างพวกเขาผู้เอานรกฝังไว้ในอกตัวเองจนร้อนรุ่มดิ้นทุรนด้วยความทุกข์ใจ

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (1)

5.0

ของรีวิวบอกว่าเนื้อเรื่องสนุกชวนติดตาม