กว่าอาการปวดระบมทั่วร่างกายจะหายเป็นปกติก็ใช้เวลาถึงสามวัน
ไม่เอาอีกแล้ว สภาพเหมือนคนแก่ที่ลุกก็โอยนั่งก็โอยน่ะ แพทเข็ดจนวันตาย คราวหน้าถ้าเจอพวกมันจะวิ่งหนีให้ไวเลย
“พี่มินมาไงอ่ะ” เด็กหนุ่มถามอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าพี่มินมารับตนถึงหน้าโรงเรียนสอนพิเศษ
“ยืมรถต๊อดมา” ความจริงคือมินอยากมารับเพื่อให้แน่ใจว่าแพทจะไม่มีเรื่องเจ็บตัวแบบก่อนหน้านี้อีก
“ต๊อดใจดีจัง แต่ก็ดีละ ไปหาอะไรกินกันเถอะ ฉลองที่แพทหายดีแล้ว”
“เอาสิ อยากกินอะไร” มินถามก่อนจะเปิดประตูรถและเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ แพทเองก็สอดตัวเข้าไปนั่งข้างคนขับอย่างรู้งาน
“ไว้ไปถึงห้างฯ ก่อนค่อยเลือกร้านได้ไหมพี่มิน”
กว่าจะมาถึงห้างฯ ได้ก็เกือบครึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว แพทไม่คิดว่ารถจะติดหนักขนาดนี้
เขาไม่เรื่องมากในการเลือกร้านอาหาร เมื่อเจอร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นร้านแรกก็พาพี่มินเข้าไปทันที จากนั้นก็เปิดเมนูสั่งอาหาร คอยบริการรินน้ำดื่มให้พี่มินเสร็จสรรพ พอก๊วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟก็เริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย ระหว่างนั้นก็พูดคุยกับพี่มินไปเรื่อย
อ่า...เหมือนมาเดทกันเลยเนอะ
“พี่มิน”
“ครับ” ตายไปเลยไอ้แพท พี่เขาตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนขนาดนี้ ตายไปเลยสิ
“อันนี้ไม่กินเหรอ” อันนี้ที่ว่าคือลูกชิ้นในชามก๊วยเตี๋ยวเรือขึ้นห้างฯ ที่เหลืออยู่ในชามกับบรรดาผักต่างๆ ที่มินยังไม่ได้กิน
“ของดีต้องเก็บไว้กินทีหลังสิ”
“แพทไม่เห็นด้วยนะ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องเก็บของที่เราชอบไว้กินทีหลัง”
มินเองก็ตอบเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรแล้วที่เขามักจะเก็บของที่ชอบไว้กินทีหลัง เคยโดนต๊อดแย่งบ้างเหมือนกันแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยเข็ดหลาบซักที
“ถ้าชอบก็กินไปเลยตั้งแต่แรกสิ เก็บไว้ทีหลังเดี๋ยวหมาคาบไปแดกหรอก” ว่าแล้วหมาแพทก็ตักลูกชิ้นในชามพี่มินเข้าปากไปเฉยเลย
เจ้าเด็กนิสัยไม่ดี!
“เป็นหมารึไง”
“พี่มินอยากให้เป็นอะไรแพทก็เป็นได้หมดแหละ”
หยอดขนาดนี้แล้ว ช่วยเขินหน่อยสิครับคุณครูพี่มิน
หลังจบมื้อเย็นมินก็พาแพทไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ เพราะเครื่องเก่าปุ่มกดพังแล้ว เมื่อกดรับสายไม่ได้ มีโทรศัพท์ไว้ก็ไร้ประโยชน์ มินยังแปลกใจที่น้องทนใช้รุ่นเก่ามาได้ตั้งหลายปี ทั้งที่เด็กสมัยนี้ชอบของรุ่นใหม่ยี่ห้อดีๆ กันทั้งนั้น
ความจริงไม่ใช่เพราะแพทไม่อยากได้โทรศัพท์รุ่นใหม่ แต่เพราะเขาแค่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี เห็นคุณค่าของโทรศัพท์แม้มันจะเก่าไปหน่อย แต่ถ้ายังใช้ได้แพทก็คงไม่เปลี่ยน เขารู้ดีว่ามีเด็กอีกมากมายหลายคนไม่ได้ใช้ของฟุ่มเฟือยแบบนี้ด้วยซ้ำ
พี่แพทในวัยเด็กเรียนรู้ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ
มินดีใจที่น้องมีสำนึกดี เขาไม่เคยผิดหวังเลยที่ได้รู้จักและได้เป็นคุณครูพี่มินของพี่แพทในตอนนั้น
“พี่มิน ถ่ายรูปกัน”
มินหันไปตามเสียงก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาเมื่อแพทเปิดกล้องหน้าของโทรศัพท์เครื่องใหม่และขยับหน้าเข้ามาชิดเขา
หลังจากนั้นแพทก็มีภาพเซลฟี่คู่กับพี่มินเป็นภาพแรกในเครื่อง และยังใช้เป็นรูปโปรไฟล์ประจำเครื่องอีกด้วย
กลับบ้านเมื่อไหร่จะไปเขียนลงในไดอารี่ว่าวันนี้มีเดทแรกกับพี่มิน
พอหยุดเรียนไปหลายวัน แพทก็ต้องทำการบ้านและตามงานต่างๆ ให้ทันเพื่อนๆ ในห้อง ซึ่งเขาก็หัวหมุนอยู่สองสามวันเลยกว่าจะเคลียร์ทุกอย่างเสร็จ โชคดีที่มีพี่มินคอยช่วยสอนโจทย์การบ้านที่ไม่เข้าใจด้วย
“เซียน” แพทหันไปเรียกเพื่อน หลังจากคุณครูที่สอนในคาบสุดท้ายเดินออกจากห้องไป
“ว่า?”
“ไปร้านเกมกัน” วันนี้แพทอยากรีแล็กซ์หลังจากอ่อนล้ามาหลายวัน
“เมื่อไหร่” ถ้าเซียนเป็นน้องหมาก็คงแสดงอาการหูตั้งหางกระดิกทันที เมื่อได้ยินชื่อสถานที่ที่พวกเขาจะไปกัน
“เสร็จจากนี่ก็ไปเลย”
“กูว่างนะ แต่มึงมีเรียนพิเศษไม่ใช่เหรอ”
“แล้วไง กูไม่อยากไปเรียน” อีกอย่างแพทก็เรียนๆ โดดๆ อย่างนี้จนเป็นเรื่องปกติ และถึงแม้ไม่เรียนเขาก็ยังทำข้อสอบได้เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นจึงไม่คิดว่ามันสำคัญอะไร
“เหี้ยแพท จะท้าอำนาจมืดยายมึงหรือไง”
คุณยายเหรอ เวลาปกติก็ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไหร่หรอก แต่พอมีปัญหาก็มักตามคุณแม่มาด่าเขาอยู่เรื่อย เป็นอะไรมากมั้ยก็ไม่รู้ แพทโคตรจะไม่ชอบคนแก่ขี้บ่นแบบคุณยายเอาซะเลย
“กูไม่กลัวหรอก อีกอย่างพักนี้เขาก็ไม่ค่อยสนใจกูเท่าไหร่ด้วย”
“อย่าทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาน่า...”
เซียนรู้เรื่องครอบครัวของแพทจากคำบอกเล่าของเจ้าตัว ปกติแพทไม่ใช่คนที่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง แต่ก็ยอมเล่าให้เซียนฟัง ซึ่งนั่นทำให้กำแพงระหว่างพวกเขาพังทลายลง และกลายเป็นเพื่อนซี้ที่ไม่มีความลับต่อกันจนถึงวันนี้
“สรุปมึงจะไปมั้ย”
“ไปก็ได้ แต่มึงเลี้ยงนะ”
“กูอีกแล้ว”
“มึงก็รู้ว่ากูเก็บตังค์ซื้อกีตาร์ตัวใหม่อยู่นี่หว่า”
แพทจิ๊ปาก ทำหน้าเหมือนไม่พอใจแต่สุดท้ายเขาก็ยอมจ่ายค่าชั่วโมงร้านเกมให้เพื่อนด้วยความเต็มใจอยู่ดี
บางครั้งแพทก็นึกอิจฉาเซียนอยู่หน่อยๆ ที่มันรู้ว่าตัวเองชอบอะไรไม่ชอบอะไร เซียนน่ะชอบมอเตอร์ไซค์ ความเร็วและกีตาร์ ความฝันสูงสุดที่เจ้าตัวพูดถึงอยู่เสมอก็คือการเป็นนักดนตรีมืออาชีพ ต่างจากแพทที่ถึงแม้จะพยายามเรียนหนังสือให้เก่งตามที่ถูกผู้ใหญ่สอนสั่งและยัดเยียดมา แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าความฝันของตนจริงๆ แล้วคืออะไร
ทุกวันที่ใช้ชีวิตตั้งแต่เด็กยันวัยรุ่น เขาหวังอย่างเดียวว่าสักวันจะได้พบพี่มินอีกครั้ง อยากเจอพี่มิน อยากอยู่ด้วยกันไปทุกๆ วัน
ถ้าสามารถบอกคนอื่นได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าพี่มินคือความฝันอันสูงสุดก็คงจะดีไม่น้อย
!!!!!
แพทแยกกับเซียนที่ป้ายรถเมล์ตอนเกือบสี่ทุ่ม ซึ่งเวลาเคอร์ฟิวส์ของพี่มินคือสามทุ่ม เท่ากับว่าเขาสายมาแล้วเป็นชั่วโมง พี่มินต้องโกรธมากแน่ แพทมั่นใจ
พอต้องยืนรอรถเมล์คนเดียว แพทจึงล้วงมือถือเครื่องใหม่ซึ่งมีภาพหน้าจอเป็นรูปเซลฟี่คู่กับพี่มินขึ้นมาเช็ก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าแค่ดูรูปพี่มินก็ทำให้แพทยิ้มได้ หากไม่นานรอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนวัยก็เจื่อนลงเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อพบว่ามีสายเรียกเข้าเยอะทีเดียว ทั้งจากคุณแม่และพี่มิน
แพทไม่แปลกใจที่พี่มินจะโทร.ตาม แต่คุณแม่นี่สิ ร้อยวันพันปีไม่โทร.มา วันนี้กลับโทร.มารัวๆ เป็นกลองชุดเชียว
เอายังไงดี โทร.กลับหาคุณแม่หรือพี่มินก่อนดีนะ
ขณะกำลังครุ่นคิดรถเมล์ก็เข้าจอดที่ป้ายพอดี โทรศัพท์มือถือถูกเก็บใส่กระเป๋ากางเกงอย่างเคย คนบนรถแน่นขนัดถึงแม้จะเป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วก็ตาม ลำพังแค่ประคองตัวบนรถยังยากแล้วไม่ต้องนึกถึงการล้วงมือถือออกมาโทร.หาใครหรอก
ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะผ่านความทรหดมาได้
ประตูห้องถูกเปิดออก เสียงทีวีลอดผ่านออกมา เจ้าของห้องนั่งอยู่บนโซฟาสายตาจับจ้องไปยังข่าวภาคดึกที่กำลังฉายอยู่
“กลับมาแล้วครับ” เด็กหนุ่มวัยสิบสี่บอกเสียงเบาอย่างคนมีชนักติดหลังพลางก้มเก็บรองเท้าเข้าชั้นอย่างเป็นระเบียบ
“เรียนพิเศษเลิกดึกจังเลยนะ”
“ขอโทษครับ วันนี้เรียนเลิกตั้งแต่สองทุ่มแล้วแต่แพทไปเที่ยวต่อกับพวกไอ้เซียน เล่นกันติดลมไปหน่อย”
“อย่างนั้นเหรอ แต่คุณแม่แวะไปหาแพทที่โรงเรียนสอนพิเศษตอนทุ่มกว่านะ ท่านไม่เจอแพท มันหมายความยังไง” น้ำเสียงเย็นชาของพี่มินทำให้คนฟังชาวาบไปทั้งตัว
กรรมมาแบบติดจรวดเลยแฮะ ร้อยวันพันปีคุณแม่ไม่เคยแวะไปหา แต่กลับไปวันที่แพทโดดเรียนซะงั้น
“เอ่อ...” แพทกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“ไม่ได้ไปเรียนพิเศษใช่มั้ย”
“แพท...” เจ้าของชื่อก้มหน้าลง
“โดดเรียนบ่อยแค่ไหน”
“ไม่บ่อยครับ” ทำใจโกหกพี่มินไม่ได้เลย
“รู้ใช่มั้ยว่ามันไม่ดี”
“รู้”
“แต่ก็ยังทำ”
“ก็ไม่ได้อยากเรียนสักหน่อย มีแต่แม่กับยายที่คิดเองตัดสินใจเอง ไม่เคยถามความเห็นแพทสักคำ”
“แล้วเคยบอกหรือเปล่าว่าตัวเองคิดยังไง”
“บอกไปก็ไม่ฟังหรอก ผู้ใหญ่น่ะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลใบนี้เสมอแหละ”
มินพูดต่อไม่ออกเลย คำพูดของแพทอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เป็นเรื่องจริง
“พี่กำลังฟังแพทอยู่นี่ไงครับ” มินไม่แน่ใจนักว่าต้องรับมือกับเด็กวัยรุ่นอย่างไร เพราะตัวเขาเองก็ผ่านช่วงนั้นมาพอสมควรแล้ว เมื่อเห็นน้องเริ่มขึ้นเสียงอย่างคนมีอารมณ์ เขาจึงจำต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ทั้งที่ตัวเองก็โกรธจะแย่แล้วเหมือนกัน
“พี่มินช่วยอะไรแพทไม่ได้อยู่ดี” เด็กหนุ่มก้มหน้าพูดไม่เต็มเสียงด้วยอารมณ์โกรธ น้อยใจ ปนอยู่กับความรู้สึกผิด
คำพูดที่แพทคิดว่ามันช่างธรรมดา แต่สำหรับมิน ยิ่งได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งเหมือนกับเป็นการย้ำว่าเขาเป็นแค่คนอื่นสำหรับแพทจริงๆ
“อย่างนั้นเหรอ” คนอายุมากกว่าว่าเสียงแผ่วขณะทอดสายตากลับไปมองทีวีที่เปิดทิ้งไว้อย่างเลื่อนลอย
ทั้งที่คิดว่าอาจจะเป็นที่พึ่งให้น้องได้เหมือนตอนที่น้องยังเป็นเด็กแท้ๆ แต่ในความเป็นจริงเขาก็เป็นเพียงคนอื่นเท่านั้นเอง
“โทร.หาคุณแม่หน่อยก็แล้วกัน ท่านเป็นห่วงมาก”
ทีอย่างนี้ทำเป็นห่วง
แพทรู้ว่าการคิดอย่างนั้นเป็นสิ่งไม่ดี แต่มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ตั้งแต่มาอยู่กับพี่มิน ช่วงวันแรกๆ แม่ก็โทร.หาอยู่หรอก แต่พอเวลาผ่านไปก็ค่อยๆ ห่างหายจนกลายเป็นห่างเหิน ทั้งที่เวลาผ่านมาไม่นานแท้ๆ แต่แพทกลับลืมไปแล้วว่าความอบอุ่นที่เคยได้รับมันเป็นอย่างไร
เด็กหนุ่มถูกทิ้งให้นั่งลำพังที่หน้าทีวี มองรูปพี่มินที่หน้าจอมือถือ ทำใจอยู่นานทีเดียวกว่าจะกล้ากดโทร.ออกหาคุณแม่ที่พี่มินบอกว่าเป็นห่วงเขานักหนา
แม่ลูกคุยกันไม่กี่ประโยค แม่ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ‘รัก’ แค่นั้น
รักเหรอ? ซึ้งจัง
แต่ไม่รู้ทำไมแพทถึงไม่รู้สึกถึงความหมายของคำนั้นเลย
!!!!!
ความคุกรุ่นยังคงลอยตัวอยู่ในห้องถึงแม้ว่าจะเช้าแล้วก็ตาม มินทำเป็นเมินแพทตอนที่พวกเขาเดินสวนกันหน้าห้องน้ำ
การกระทำนั้นย้ำให้แพทแน่ใจว่าตนโดนโกรธแล้วแน่ๆ แล้วจะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายหายโกรธล่ะ
“ต๊อดคิดว่าไง แพทควรง้อพี่มินยังไง” ที่ปรึกษาที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คงไม่พ้นต๊อด
“กูจะไปรู้มั้ยล่ะ”
“ต๊อดเป็นเพื่อนพี่มินนะ”
“เพื่อนแล้วไงวะ กูไม่เคยง้อมันหรอก ปล่อยให้หายเอง” แพทเบะปาก นึกค้านสุดชีวิตเรื่องที่ว่าต๊อดไม่เคยง้อพี่มิน
“ต๊อดใช้ไม่ได้เลย”
“ใช้ได้เหี้ยไรล่ะ” พอถูกเซ้าซี้หนักๆ เข้าคนที่กำลังซ่อมรถก็เริ่มโมโห
“ต๊อด”
“อะไรอีก”
“ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าแพทต้องง้อพี่มินยังไง”
“ไม่รู้เว้ย!” ต๊อดโคตรเกรี้ยวกราดสมกับเป็นคนเหี้ยประจำซอย และตอนนี้ก็พ่วงตำแหน่งคนโง่ที่ถามอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เอาไหนจริงๆ
“ต๊อด”
“อะไรของมึงอีกกก”
“ทีหลังก็หัดใส่ใจเรื่องของคนอื่นให้มากกว่านี้หน่อยนะ”
สิ้นคำพูดปุ๊บน้ำในกะละมังก็ถูกสาดมาปั๊บ ยังดีที่แพทเป็นเด็กฉลาดมีไหวพริบจึงหลบได้อย่างหวุดหวิด แต่ถึงอย่างนั้นรองเท้าก็เปียกน้ำตั้งข้างนึงแน่ะ
ต๊อดเนี่ย ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ
ว่าแต่...แพทต้องง้อพี่มินยังไงเนี่ย
โทร.หาก็ไม่ยอมรับสายด้วย และเพราะเอาแต่นึกถึงคนที่วันนี้ไม่ยอมยิ้มให้กัน การเรียนพิเศษวันนี้จึงไร้ความหมายสุดๆ
‘มึงกับไอ้เด็กนั่นมีเรื่องอะไรกันวะ มันดูกังวลมากนะ มึงก็โตแล้วอย่าทำตัวเหมือนเด็กๆ ไปหน่อยเลย’
คำพูดของต๊อดที่โทรศัพท์มาคุยดังขึ้นในหัว
มินก็ไม่อยากทำตัวเป็นเด็ก แต่คำพูดไม่คิดของแพททำให้เขารู้สึกแย่มากจริงๆ
ในเมื่อเด็กมันก็ไม่คิดอะไรแล้วเขาจะเก็บมาคิดมากทำไม เป็นผู้ใหญ่แท้ๆ แต่กลับงอนเด็กนี่นะ ใช้ไม่ได้เอาซะเลย
[ติดตามตอนต่อไปในเล่มค่ะ]
ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วมั้งที่พี่มินโกรธเจ้าแพทได้ไม่นานเลย
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็แพ้ทางน้องมันอยู่ดีอ่ะคนเรา
ใจแข็งหน่อยสิวะพี่มิน
คุณครูพี่มินตอนนี้จะเป็นตอนสุดท้ายที่อัพลงเว็บแล้วค่ะ
อย่างที่แจ้งให้ทราบเมื่อตอนที่แล้ว
แม้เพิ่งมาเจอกันเมื่อไม่นานมานี้แต่ก็ขอบคุณสำหรับความรัก ความเอ็นดูและคอมเมนต์นะคะ
เราตามอ่านทั้งหมดเลย ใจฟูมากๆ
ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ ฝากติดตามเรื่องอื่นๆ ด้วยนะคะ
และสามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจนะคะ เผื่อปีใหม่มีหนังสือแจก
รักแหละ รักจริงๆ นะ
[แจ๊ส]
#คุณครูพี่มิน